DH บทที่ 12 - มนุษย์ ปีศาจ และหัวเมืองเหมันต์
DH บทที่ 12 - มนุษย์ ปีศาจ และหัวเมืองเหมันต์
แม้คู่มือควบคุมลมปราณที่วางขายในตลาดมืดนี้จะเป็นฉบับที่ดูไม่มีที่มาและไม่ใกล้เคียงกับฉบับที่มีคุณภาพสูงเลยสักนิด แต่ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องสงสัยว่ามันเป็นของปลอม เพราะทุกคนต่างก็รู้กันดีว่าหนังสือปลอมเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้มาขายอยู่แล้ว ด้วยว่าหนังสือคู่มือควบคุมลมปราณเป็นเพียงหนังสือเกี่ยวกับทฤษฎีการฝึกใช้วิชาลมปราณระดับล่างสุดเท่านั้น ไม่ถึงขั้นที่พบได้ทั่วไปด้วยซ้ำ มันจึงไม่ถูกจัดไว้ในตำราหลักทั้ง 4 อย่างอันได้แก่ ตำราเกี่ยวกับเทพเจ้า ตำราเกี่ยวกับสวรรค์ ตำราเกี่ยวกับโลก และตำราเกี่ยวกับมนุษย์ ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่ตำราเล่มนี้จะถูกปลอมแปลงขึ้นมาขายในตลาด
แต่ถึงแม้มันจะเป็นหนังสือธรรมดา แต่ราคาของมันยังถือว่าค่อนข้างสูงสำหรับคนทั่ว ๆ ไปอยู่ดี
ติงโฮวเปิดดูผ่าน ๆ เขาพิจารณาแล้วว่าหนังสือเล่มนี้ดูปกติดี เขาจึงจ่ายเงิน 500 ตำลึงเพื่อซื้อมันมาไว้ในครอบครอง
ด้วยคู่มือควบคุมลมปราณเล่มนี้ ประกอบกับความสามารถในการเข้าใจที่มากล้มของติงโฮว มันทำให้เขาเริ่มกระตุ้นเมล็ดพันธุ์แห่งลมปราณได้แล้ว! และด้วยวิธีนี้ เขาจะสามารถบรรลุวิธีการคุมลมปราณได้ก่อนที่วันทดสอบเข้าสำนักพินิจดาบจะมาถึง ซึ่งนั่นจะเพิ่มโอกาสให้เขาได้มีรายชื่อเป็นศิษย์มากขึ้นไปอีก
นอกจากนั้น ติงโฮวยังต้องการหนังสือคู่มือเชิงเทคนิคอีกด้วย เขาจะใช้มันเพื่อศึกษาคำแนะนำทั่วไปเกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้และสารพัดเทคนิคการสื่อสารในดินแดนไร้ขอบเขต เพื่อให้เขาได้เข้าใจดินแดนแห่งนี้มากยิ่งขึ้น
หลังจากเดินหาทั่วตลาด ในที่สุดติงโฮวก็พบสิ่งที่เขาต้องการ
หลังจากใช้เวลาไปกับแผงร้านเล็ก ๆ ประมาณ 5 ร้าน ติงโฮวก็ได้หนังสือแนะนำเทคนิคการใช้ทักษะที่มีชื่อว่า “ขั้นตอนสู่ความสง่างาม” มาในราคา 500 ตำลึง ซึ่งเทคนิคในหนังสือนั้นแทบจะนำไปใช้ไม่ได้กับคนที่มีขีดจำกัดของร่างกายค่อนข้างต่ำหรือเรียกง่าย ๆ ว่า “มนุษย์” และติงโฮวยังได้หนังสือความรู้ทั่วไปที่มีชื่อว่า “ประชุมพงศาวดารสำนักพินิจดาบ” มาด้วย โดยเนื้อหาในหนังสือเล่มที่สองนั้นตรงกับความต้องการของเขาทุกประการ
ดังนั้น ติงโฮวในตอนนี้จะเหลือเงินติดต่อทั้งหมด 500 ตำลึง การเป็นผู้ฝึกยุทธ์นั้นช่างมีราคาแพงเสียจริง
ว่ากันว่าการเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษนั้นมาพร้อมกับเงินและสมุนไพรล้ำค่าจำนวนมากมาย แต่หากขาดการฝึกฝนจากสำนักหรือตระกูลที่มีขนาดใหญ่แล้ว ก็จะไม่สามารถเข้าถึงวิทยายุทธขั้นสูงในเส้นทางผู้ฝึกนี้ได้เลย นี่เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ติงโฮวต้องการจะเข้าเป็นศิษย์ของสำนักพินิจดาบให้จงได้
เขากำลังจะออกจากตลาดมืดเพื่อตรงกลับบ้าน และในทันใดนั้นเอง ติงโฮวก็สังเกตเห็นหนังสือเล่มหนึ่งบนแผงร้านค้าใกล้ ๆ
“หืม ‘อาคมขั้นต้นสำหรับฝึกยุทธด้วยกระบี่’ งั้นเหรอ” ชื่อหนังสือนั้นฟังดูดีทีเดียว ทว่ามันเป็นหนังสือที่เก่าและขาดรุ่งริ่งหมดแล้ว ติงโฮวรู้สึกว่าเจ้าของแผงช่างใจดำจริง ๆ ที่เอาหนังสือสภาพนี้มาวางขายในราคาถึง 500 ตำลึง แต่กระนั้นแล้วความต้องการในใจติงโฮวกลับทำให้เขาต้องเอ่ยปากถามเจ้าของร้านว่า “ข้าขอซื้อเล่มนี้ในราคา 100 ตำลึงได้ไหมท่าน”
“ท่านช่างมีสายตาแหลมคมจริง ๆ แต่ราคานั้นมันไม่เอาเปรียบกันไปหน่อยหรือไง หนังสือเล่มนี้น่ะเป็นตำราเทคนิคโจมตีลับสุดยอดเชียวนะ เทคนิคพวกนั้นน่ะมีพลังมาก ถ้าท่านฝึกมันได้ทั้งหมดแล้วล่ะก็ ศัตรูของท่านน่ะได้ขึ้นสวรรค์ด้วยการแกว่งดาบครั้งเดียวเท่านั้นแหละ ข้าลดเหลือ 500 ตำลึงนี่ถือว่าถูกแล้วนะ จะเอา 100 ตำลึงน่ะข้าไม่ขายให้หรอก!”
เจ้าของร้านนั้นเป็นชายแก่ร่างผอมท่าทางน่าชัง รอยเหี่ยวย่นทั่วใบหน้าของเขาดูเหมือนมีใครบางคนใช้มีดเล็กกรีดลงบนผิวนั้น แววตาของเขาบ่งบอกกับติงโฮวว่าพ่อค้าคนนี้เป็นคนสามหาวไม่มีศีลธรรมอย่างแน่นอน
“ถ้ามันเป็นตำราอาคมการใช้ดาบที่สมบูรณ์ ราคา 500 ตำลึงก็ถือว่ารับได้ แต่นี่หนังสือของเจ้าขาดจนเหลือไม่ถึงครึ่งเล่มแล้ว ไม่อยากขายก็ไม่ต้องขาย” ติงโฮวตอบพร้อมกับโยนหนังสือลงบนพื้นก่อนจะกลับหลังหันเพื่อออกจากร้าน
“อ้าวเดี๋ยวสิ” เจ้าของร้านตอบกลับอย่างกระวนกระวาย “คุยกันก่อนได้นะท่าน 200 ตำลึงเป็นไง หรือ 150 ตำลึงก็ได้… อย่าเพิ่งไปสิท่าน ก็ได้ ๆ ข้าขายให้ท่าน 100 ตำลึงก็ได้ ข้าลดให้พอไหมล่ะ...นี่ข้าว่าท่านดูดีทีเดียวนะถึงได้ลดให้ โชคชะตาคงพาท่านมาพบข้าแน่ ๆ ข้ายอมขายขาดทุนเลย”
ปรากฏรอยยิ้มจาง ๆ บนใบหน้าของติงโฮว เขาจ่ายเงินตามที่ตกลงแล้วจึงเก็บหนังสือเล่มนั้นและออกเดินจากตลาดมืดเพื่อกลับบ้าน
…
เมื่อกลับมาถึงกระท่อมมุงจากของตน ท้องฟ้าก็กลายเป็นสีดำสนิทเสียแล้ว
ติงโฮวลงมือทำอาหารให้ตัวเองอย่างรวดเร็วและกินอย่างหิวโหยก่อนที่จะเริ่มเก็บกวาดบ้าน เด็กชายจุดตะเกียงน้ำมันและเปิดหนังสือประชุมพงศาวดารสำนักพินิจดาบขึ้นเพื่ออ่านรายละเอียด
ชื่อตัวละครในดินแดนไร้ขอบเขตของหนังสือเล่มนี้ถูกเขียนแตกต่างออกไปจากยุคสมัยก่อนหน้า โชคดีที่ติงโฮวรู้หนังสือและเขาได้ความทรงจำของติงโฮวอีกคนมาเป็นพื้นฐานในการอ่านมัน ทำให้เขาอ่านมันได้โดยง่ายดาย
“ก๊กใหญ่ทั้งเก้าของเหล่ามนุษย์ในหัวเมืองเหมันต์ได้แก่ สำนักแห่งสันติ สำนักเหล่ยหยิน สำนักไร้คุณธรรม สำนักไท่ซู ตระกูลแห่งศรัทธา สำนักพินิจดาบ ตระกูลแห่งดาวตก หมู่บ้านใจพิสุทธิ์ และนครอาทิตย์สังหาร ทั้งหมดนี้รวมกันเรียกว่า ‘หนึ่งสถาบัน สองเมือง สามสำนักและสามตระกูล’ โดยสำนักพินิจดาบนั้นเป็นหนึ่งในก๊กใหญ่ทั้งเก้า แต่ในความเป็นจริงนั้น อำนาจของสำนักแห่งนี้นั้นมีมากกว่าก๊กอื่น ๆ ทั้งหมด เรียกได้ว่าเป็นอำนาจหลักของเมืองเหมันต์เลยก็ว่าได้”
“นอกจากก๊กทั้งเก้าของเหล่ามนุษย์แล้ว ยังมีแหล่งอำนาจของเหล่าปีศาจสัตว์ร้ายจำนวนมากกระจายไปทั่วดินแดนอันกว้างใหญ่ของหัวเมืองเหมันต์อีกด้วย...
“ชื่อของหัวเมืองเหมันต์นั้นมีที่มาจากฤดูร้อนที่กินระยะเวลาเพียงสั้น ๆ และฤดูหนาวที่ยาวนานนั่นเอง ด้วยระยะเวลาของฤดูหนาวที่นานมากนี้เองทำให้มีปริมาณหิมะมากขึ้นอีกด้วย หัวเมืองแห่งนี้เป็นหนึ่งใน 16 หัวเมืองในดินแดงเปลี่ยวร้างในเขตทิศเหนือของดินแดนไร้ขอบเขต อาณาบริเวณของหัวเมืองเหมันต์นั้นกว้างใหญ่ไพศาลและอุดมสมบูรณ์ กินพื้นที่กว่าหลายล้านกิโลเมตร
รายล้อมด้วยเทือกเขาและหุบเขาจำนวนมากมาย ที่แห่งนี้เต็มไปด้วยมนุษย์และสัตว์ร้ายจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน เมื่อกาลเวลาผ่านไป เผ่าพันธุ์ทั้งสองเกิดการปะทะและรบราฆ่าฟันกันหลายต่อหลายครั้งโดยมีสาเหตุมาจากการแย่งทรัพยากรเพื่อความอยู่รอดของพวกตัวเอง…”
“ถึงแม้อาณาเขตของหัวเมืองเหมันต์จะกว้างใหญ่มากเพียงใด มันก็ยังเป็นเพียงแค่หัวเมืองที่เล็กที่สุดในบรรดาหัวเมืองทั้ง 16 แห่งในดินแดนเปลี่ยวร้างตอนเหนือ เนื้อที่ของหัวเมืองทั้ง 15 แห่งที่เหลือนั้นกว้างใหญ่เหลือคณาจนไม่สามารถเดินทางข้ามเมืองใดเมืองหนึ่งได้ในช่วงหนึ่งชีวิต…”
“ยิ่งไปกว่านั้น ดินแดนเปลี่ยวร้างตอนเหนือแห่งนี้ยังเป็นหนึ่งใน 5 ของเมืองใหญ่ในดินแดนไร้ขอบเขตอีกด้วย ยังมีอีก 4 เมืองใหญ่ที่แบ่งออกเป็น ทะเลทรายตะวันตก ชายแดนตอนเหนือ ดินแดนเปลี่ยวร้างฝั่งตะวันออก และ Central Plains
“ภายในอาณาบริเวณที่กว้างไกลแห่งนี้มีสำนักต่าง ๆ จำนวนนับไม่ถ้วน ทั้งพวกตระกูลโบราณ ครอบครัวต่าง ๆ เหล่าปีศาจ และเผ่าพันธุ์แปลก ๆ ที่มีอำนาจมากมายจนไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ แต่หากมีการเปรียบเทียบแข่งขันกันแล้ว สำนักพินิจดาบที่ถึงแม้จะมีสถานะเป็นถึงหนึ่งในสำนักที่สำคัญของหัวเมืองเหมันต์ แต่เมื่อเทียบกับสำนักอื่น ๆ ในดินแดนไร้ขอบเขตแล้ว มันแทบไม่มีความสำคัญอะไรเลยด้วยซ้ำราวกับว่าเป็นเพียงแค่หยดน้ำเล็ก ๆ ในมหาสมุทรที่กว้างใหญ่”
ติงโฮวรู้สึกสะท้านหลังจากได้อ่านบทนำคร่าว ๆ เกี่ยวกับดินแดนไร้ขอบเขตจากหนังสือประชุมพงศาวดารสำนักพินิจดาบ
ดินแดนไร้ขอบเขตช่างเป็นโลกที่กว้างใหญ่ไพศาลเสียจนยากจะอธิบายจริง ๆ
ผืนดินของคนยุคก่อนยังมีอาณาเขตไม่ได้ถึงหนึ่งในร้อยของดินแดนนี้เสียด้วยซ้ำ และยังมีพวกเผ่าพันธุ์และสิ่งมีชีวิตที่อธิบายไม่ได้อีกหลายชนิดที่เกิดขึ้นในภายหลัง ดินแดนแห่งนี้ช่างอุดมสมบูรณ์และลึกลับเกินกว่าที่ติงโฮวจะจินตการ มันเป็นดินแดนแสนอัศจรรย์ที่อะไรก็เกิดขึ้นได้
เรื่องราวในหนังสือเล่มนี้ทำให้ติงโฮวรู้สึกมีอารมณ์ร่วมขึ้นมาเสียแล้ว
เมื่อติงโฮวได้อ่านเนื้อหาในหนังสืออย่างละเอียดอีกครั้ง เขาสังเกตเห็นว่าแต่ละส่วนของหนังสือจะอธิบายในหัวข้อต่าง ๆ กันไปอย่างเจาะจง มีทั้งเรื่องของประวัติศาสตร์ เหล่าปรมาจารย์ปราบเซียน ความสำเร็จที่ผ่านมาในอดีต รวมถึงโครงสร้างของสำนักพินิจดาบใบปัจจุบัน หนังสือเล่มนี้อธิบายรายละเอียดทุกอย่าง มันจึงเป็นหนังสือที่ซับซ้อนทีเดียว ติงโฮวจดจำเนื้อหาพวกนั้นไว้ทั้งหมดเผื่อว่าจะได้นำมันมาใช้เป็นประโยชน์ในอนาคตต่อไป
หลังจากมีความเข้าใจเกี่ยวกับสำนักมากขึ้นแล้ว ติงโฮวจึงเก็บหนังสือประชุมพงศาวดารแล้วหยิบเอาตำราลับเกี่ยวกับเทคนิคการควบคุมและใช้ลมปราณที่เขาตัดสินใจซื้อมาเพราะคิดว่าเทคนิคเหล่านั้นคงเป็นพื้นฐานที่ดีให้กับเขาได้
ดูเหมือนว่าในดินแดนไร้ขอบเขตนี้ ผู้ที่มีทักษะวิทยายุทธดีกว่าเท่านั้นที่จะเป็นฝ่ายปฏิเสธผู้อื่นได้ แต่ทักษะพื้นฐานอย่างการควบคุมลมปราณนั้นเป็นแค่ของง่าย ๆ คงเทียบไม่ได้เลยกับวิทยายุทธขั้นสูงกว่าที่ติงโฮวจะได้รับการฝึกฝนจากสำนักพินิจดาบในอนาคต และวิชาพื้นฐานแบบนี้คงไม่เป็นที่น่าสนใจมากนัก
เมื่อพลิกผ่านหน้าสารบัญไป ติงโฮวสังเกตเห็นว่าบทแรกของหนังสือนั้นมีตัวหนังสือเล็ก ๆ อยู่แน่นหนาทั่วทั้งหน้ากระดาษ