DH บทที่ 10 - ดาบผกผัน
DH บทที่ 10 - ดาบผกผัน
แสงอาทิตย์ยามเช้าส่องประกายผ่านภูเขาและม่านหมอก มันทอดตัวลงบนร่างของติงโฮวเกิดเน้นให้เห็นเส้นกล้ามเนื้อบนร่างที่สูงโปร่งและใบหน้าที่หล่อเหลา ทำให้ติงโฮวดูราวกับรูปปั้นที่ถูกทำขึ้นอย่างพิถีพิถันโดยศิลปินผู้ยิ่งใหญ่
“เฮ้อ…”
ติงโฮวปล่อยให้ร่างกายของเขาผ่อนคลายลงและพ่นลมหายใจออกมาอย่างหม่นหมอง
เขาไม่เคยคาดคิดว่าความสามารถที่ตัวเองมีจะน่าทึ่งเช่นนี้ เขาถึงขั้นสามารถเลียนแบบท่าทางของซงเจียนหนานในการใช้ดาบได้อย่างสมบูรณ์แบบด้วยการมองเพียงครั้งเดียวเท่านั้น อีกทั้งยังเข้าใจแก่นแท้และวิธีการใช้มันหลังจากได้ฝึกเพียงสามครั้ง
ติงโฮวคิดว่า ถึงแม้เขาจะได้รับพลังจากถ้ำใต้ผาทำให้ร่างกายเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก แต่ซงเจียนหนานก็คงจะอ่อนแอและมีทักษะระดับต่ำเกินไป ทำให้ติงโฮวสามารถเลียนแบบท่าทางเขาได้อย่างง่ายดาย ถ้าเขาต้องเผชิญหน้ากับคนระดับปรมาจารย์ ติงโฮวก็คงไม่สามารถเรียนรู้ทักษะพวกนั้นด้วยการเลียนแบบได้หรอก
นอกจากเขาจะพึงพอใจกับทักษะการใช้ดาบขั้นพื้นฐานแล้ว ติงโฮวก็ยังเรียนรู้ทักษะทุกขั้นของกระบวนท่านั้นมาด้วย ตอนนี้เขาจึงมั่นใจมากขึ้นว่าจะสามารถผ่านการทดสอบเข้าสำนักพินิจดาบที่จะมีขึ้นในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้าได้แน่ ๆ
ส่วนจาวซิงเฉิงและคนอื่น ๆ นั้นต่างก็กลัวกันจนพูดไม่ออกกันแล้ว
ใบหน้าของพวกเขาเปลี่ยนเป็นและทุกคนเดาได้ว่าสถานการณ์จะต้องแย่ลง พวกลูกสมุนต่างพากันซุบซิบวางแผนจะแอบหนีไปและทิ้งซงเจียนหนานให้นอนแหมะอยู่ตรงนั้น
“คิดจะหนีงั้นรึ มันสายไปแล้ว!” ติงโฮวพูดแล้วหัวเราะเยือกเย็น เด็กชายจะต้องทำให้คนพวกนี้ได้รับสิ่งตอบแทนจากการที่ทรมานและทำร้ายร่างกายเขาในวันนี้
จาวซิงยืนตัวแข็งอยู่กับที่และพูดไม่ออก เขาดูเหมือนคนที่เพิ่งถูกฟ้าผ่าหรือโดนสาปให้ตัวแข็ง
เขาค่อย ๆ กลับหลังหันแล้วย่อตัวลงนั่งบนเข่าอย่างแรง จาวซิงก้มหน้าลงและวิงวอน “ติง...ติง...ติงโฮว สหายติวโฮว...สหายติงโฮว...ข้า...ข้าผิดไปแล้ว....ข้ามันไม่ใช้มนุษย์...ได้โปรด ได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย!”
“แน่ล่ะ แกมันไม่ใช่มนุษย์” ติงโฮวพูดตอบแล้วตบหน้าจาวซิงอย่างแรง
จาวซิงไม่กล้าหลบฝ่ามือนั้นด้วยซ้ำ อันที่จริง เขาไม่มีเวลามากพอที่จะหลบมันได้ทันหรอก ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนโดนฟาดด้วยค้อนขนาดใหญ่และส่งเสียงร้องขณะโดนเหวี่ยงไปด้านหลังดูเหมือนคนบ้าไม่มีผิด ใบหน้าซีกหนึ่งของเขากลายเป็นสีแดงและฟันที่เหลือในปากนั้นหลุดกระเด็นออกมาจนหมด ทั้งน้ำและเลือดสาดกระเซ็นไปทั่ว แล้วจาวซิงก็หมดสติไปด้วยความเจ็บปวด
“ติงโฮว ท่านติงโฮว ไว้ชีวิตพวกข้าเถอะนะ…”
“อย่าทำอย่างนี้เลย พวกข้าไม่กล้าทำอีกแล้ว เจ้าคือหัวหน้าของพวกข้านับแต่นี้ไป…”
พวกลูกกระจ๊อกดูสถานการณ์ออก จึงคุกเข่าลงอ้อนวอนขอความเมตตาจากติงโฮวด้วยใบหน้าที่เปื้อนน้ำตา
เพียะ! เพียะ! เพียะ! เพียะ!
ติงโฮวไม่ขยับเขยื้อนใด ๆ แต่เขาได้ตบหน้าพวกนั้นไปหลายต่อหลายครั้งและส่งพวกมันลอยไปกลางอากาศข้ามรั้วเตี้ย ๆ ในลานแห่งนั้นไป
“จะ...เจ้าไปรู้จัก ‘ดาบผกผัน’ มาจากไหนกัน” ซงเจียนหนานถามขึ้นด้วยความขุ่นเคือง นัยน์ตาของเขาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง”
“ไม่ใช่เรื่องของเจ้า” ติงโฮวตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ
เขาออกแรงตบอีกครั้งโดยไม่สนว่าซงเจียนหนานเป็นใคร แรกกระแทกส่งให้ซงเจียนหนานที่แทบจะยืนไม่อยู่ตัวลอยออกไปอีกครั้ง
หลังจากที่ได้พบกับถ้ำปริศนาใต้ผาและได้ฝึกฝนร่างกายในระหว่างที่ปีนกลับขึ้นมาบนพื้นดิน ความแข็งแกร่งของติงโฮวก็เพิ่มมากขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ คนพวกนั้นที่ถูกติงโฮวตบหน้าต่างก็รู้สึกเหมือนถูกค้อนยักษ์ฟาดและหมดสติไปตาม ๆ กัน
ติงโฮวยืนอยู่ในลานแห่งนั้นและใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะหยิบดาบเปื้อนสนิมขึ้นมาและเริ่มมองหาร่างของพวกลูกกระจ๊อกโชคร้ายเหล่านั้นที่โดนเขาฟาดจนหมดสติไปเมื่อกี้นี้
เด็กชายหยิบเอาเงินจากจาวซิงและคนอื่น ๆ ราวสองสามร้อยตำลึงมาเก็บไว้ และยังได้เงินกับธนบัตรทองคำจำนวนมากจากซงเจียนหนาน ติงโฮวหยุดคิดเล็กน้อยแล้วจึงทิ้งเงินตำลึงและธนบัตรทองคำพวกนั้นไว้ให้ซงเจียนหนานจำนวนหนึ่ง
เมื่อเก็บเอาเงินพวกนั้นมาได้แล้ว ติงโฮวก็โยนร่างที่หมดสติเหล่านั้นลงไปในบ่อขยะเพื่อไม่ให้มาเกะกะสายตาเขาได้อีกต่อไป ก่อนที่ติงโฮวจะออกเดินกลับบ้านของเขา
ติงโฮวไม่ได้ฆ่าใครในครั้งนี้...
ถึงแม้ว่าความทรงจำของร่างทั้งสองจะรวมเข้าด้วยกันแล้ว แต่ถ้าว่ากันตามตรง คนอย่างติงโฮวที่มาจากสังคมที่มีข้อกฎหมายบังคับใช้ต้องมาอยู่ในที่แบบนี้ เขาเองก็ยังไม่ชินกับการที่ใคร ๆ ต่างก็ชักดาบขึ้นมาใช้ได้ตามใจ เด็กชายไม่ได้เตรียมใจกับการต้องฆ่าคนเลยแม้แต่น้อย
ติงโฮวได้แต่หวังว่าวันหนึ่งเข้าใจทำให้ชินกับเรื่องพวกนี้ได้
บ้านฟางของติงโฮวถูกทำลายลงจากเหตุการณ์เมื่อครู่ แม้แต่พื้นบ้านก็ยังพังเละเทะไปด้วย เขาถอนหายใจและเริ่มลงมือทำความสะอาดและซ่อมแซมบ้าน
อย่างน้อยเขาก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ในช่วงวันที่เหลือก่อนจะถึงวันทดสอบเข้าสำนักพินิจดาบ
ร่างกายของเขาเปลี่ยนแปลงไปมากหลังจากพบกับถ้ำแห่งนั้น ดังนั้นติงโฮวจึงไม่ต้องรีบใช้ต้นกล้าหัวใจมังกรที่เขาได้มา ติงโฮวจึงตัดสินใจเก็บมันไว้ เผื่อว่าสักวันเขาอาจจำเป็นต้องใช้มันขึ้นมา
เมื่อจัดการกับบ้านเสร็จแล้ว ติงโฮวเงยหน้าขึ้นและสังเกตเห็นท้องฟ้าที่เริ่มสว่าง เป็นสัญญาณให้เขารู้ว่าใกล้ถึงเวลาที่ต้องออกไปทำงานอีกแล้ว
ติงโฮวปิดประตูออกจากบ้านและเดินผ่านรั้วที่ลานหน้าบ้านออกไป
ส่วนจาวซิงและพรรคพวกที่ถูกเหวี่ยงร่างไกลออกไปนั้นเพิ่งเริ่มรู้สึกตัว พวกเขาไม่กล้าส่งเสียงแม้แต่น้อยและเริ่มพากันหลบหนีโดยทิ้งรอยเลือดไว้ตลอดทาง
ติงโฮวยิ้มเมื่อรู้ว่าคนพวกนั้นกลัวเขาจนหัวหด พวกมันคงไม่กล้ามายุ่งกับเขาอีกแล้ว
…
พระอาทิตย์เริ่มปรากฏขึ้นทางทิศตะวันออกและส่องประกายแสงอบอุ่นมาสู่โลก วันใหม่เริ่มขึ้นแล้ว
เหมือนเช่นเคย ติงโฮวเดินไปตามทางพร้อมใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม เขาทักทายผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นั่นขณะเดินทางออกจากสลัม
เมื่อเข้าสู่บริเวณที่สะอาดและกว้างขวางของเทือกเขาที่ซึ่งเป็นทางเข้าสู่สำนักพินิจดาบ เขาทำเป็นไม่สนใจเสียงโห่ร้องอย่างคึกคะนองของผู้คนบริเวณนั้นแล้วเดินผ่านทางเล็ก ๆ เพื่อลงจากเทือกเขาไปยังบ่อน้ำแห่งดาบบริสุทธิ์ที่ตีนเขา
บ่อน้ำดาบพิสุทธิ์เป็นทะเลสาบขนาดเล็กสวยงามบริเวณตีนเขาอันเป็นที่ตั้งของสำนักพินิจดาบ ว่ากันว่าเมื่อหลายพันปีก่อน ผู้ก่อตั้งสำนักพินิจดาบได้ล้างดาบของเขาในบ่อน้ำแห่งนี้ จึงเป็นที่มาของชื่อดังกล่าว
ติงโฮวคนก่อนมีหน้าที่หลักในการดูแลความสะอาดที่บริเวณโดยรอบของบ่อน้ำแห่งนี้ งานของเขาง่ายมาก ติงโฮวใช้เวลาในแต่ละวันเพียง 6 ชั่วโมงเท่านั้นที่จะทำงานให้เสร็จสิ้น หลังจากนั้นจึงใช้เวลาที่เหลือทำในสิ่งที่เขาชอบ งานนี้ทำให้เขาได้เงินน้อยนิดเพียงหนึ่งหรือสองตำลึงเท่านั้น มันเป็นเงินที่แค่พอใช้ในชีวิตประจำวัน
วันนี้อากาศดีทีเดียว
ติงโฮวไม่ได้ยุ่งมาก เขาเริ่มวันด้วยการกระโดดลงบ่อเพื่อทำความสะอาดร่างกายและล้างเอาเศษดินที่เปื้อนตามตัวออก เมื่อรู้สึกสดชื่นแล้วจึงค่อยจับไม้กวาดและเริ่มทำงานอย่างจริงจัง
แต่ด้วยร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไป ติงโฮวจึงเคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างรวดเร็ว เขาใช้เวลาเพียงสองชั่วโมงเท่านั้นในการทำงานวันนี้!
เมื่อทำหน้าที่ของตัวเองเสร็จแล้ว ติงโฮวจึงใช้เวลาที่เหลือในการฝึกซ้อมดาบอยู่ที่บริเวณบ่อน้ำแห่งนั้น
เช่นเดียวกับกำปั้นของนักมวยที่ต้องทำงานอยู่ตลอดเวลา หรือปากของนักร้องที่จะต้องเปล่งเสียงโดยไม่มีข้อกังขา การฝึกซ้อมของติงโหวดำเนินไปเรื่อย ๆ ราวกับเรือที่เคลื่อนทวนกระแสน้ำอย่างต่อเนื่อง
ทักษะที่ติงโฮวเชี่ยวชาญนั้นคือ ‘ดาบผกผัน’ ซึ่งแม้จะเป็นเพียงแค่กระบวนท่าเบื้องต้นในการใช้ดาบเท่านั้น แต่มันก็เป็นข้อได้เปรียบอย่างดีที่จะทำให้เขาผ่านการทดสอบเข้าสำนักพินิจดาบได้ ติงโฮวจึงฝึกซ้อมโดยไม่หยุดพักแม้แต่วินาทีเดียว
นอกจากทักษะกระบวนท่าดาบแล้ว สิ่งสำคัญอีกอย่างสำหรับติงโฮวก็คือการฝึกฝนร่างกายและจิตใจภายใน โดยจากความทรงจำของเขาแล้ว ติงโฮวรู้ดีว่ามนุษย์ในดินแดนแห่งนี้สามารถมีพลังเหนือธรรมชาติได้จากการฝึกฝนขีดจำกัดและจุดสำคัญในร่างกาย