ตอนที่ 13 : ค่าหัวคลาส S
“ฝ่าบาท! หนีไปเถอะครับ!”
“ข้าจะไม่หนีไปไหนทั้งนั้น เตรียมตัวป้องกันซะ”
ในตอนที่จักรพรรดิโยฮันเนส เลคส์ แอดเลอร์ได้รับแจ้งว่ากำลังมีสึนามิมอนส์เตอร์พุ่งเข้ามา, เขาก็เลือกที่จะอยู่
เขาห่วงประชาชนของเขาหรอ......แน่นอนว่าไม่ใช่แบบนั้น อารมณ์ส่วนตัวพวกนั้นถูกปิดผนึกไปตั้งแต่ตอนที่เขาได้เป็นจักรพรรดิแล้ว เขาก็แค่ประเมินแล้วว่าถ้าเขาหนีจากเหตุการณ์นี้จะนำไปสู่การจราจลหรืออาจถึงขั้นก่อกบฎในฝั่งตะวันออกเท่านั้นเอง
เพื่อการนี้เอง, โยฮันเนสจึงสั่งอัศวินหลวงที่อยู่กับเขาเพียงน้อยนิดไปประจำการที่กำแพงเมืองของเคียร์และแต่งตั้งผู้บัญชาการขึ้นมาคนนึง จากนั้นเขาก็สวมชุดเกราะ, และหยิบดาบมุ่งไปที่แนวหน้าด้วยตัวเอง
“พวกเจ้าทุกคน! เราจะไม่ปล่อยให้ชาวตะวันออกต้องทุกข์ทรมานอีกต่อไป! พวกเราจะช่วยทุกคนต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตของเราก็ตาม!!”
ด้วยความที่จักรพรรดิออกมายืนแนวหน้าด้วยตัวเอง, ขวัญกำลังใจจึงเพิ่มขึ้นอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม, มันก็ยังไม่เพียงพอที่จะรับมือกับฝูงมอนส์เตอร์ที่ถาโถมเข้ามาเป็นระลอก
ฝูงมอนส์เตอร์นั้นเข้ามาจากทางฝั่งตะวันออกของเคียร์อย่างต่อเนื่อง, และพื้นที่นอกกำแพงเมืองก็เต็มไปด้วยมอนส์เตอร์อย่างรวดเร็ว กองกำลังรักษาการณ์ที่เหลืออยู่ต้องต่อสู้กับมอนส์เตอร์ที่กำลังเดือดพล่าน, และไร้สติที่กำลังเคลื่อนมาทางเคียร์อย่างไม่หยุดหย่อน
ตัวโยฮันเนสเองก็ใช้ดาบจัดการมอนส์ไปได้หลายตัวแต่อีกฝ่ายมีจำนวนมากกว่า
มีอัศวินสามพันคนอยู่ในกองกำลังป้องกันอย่างไรก็ตามจำนวนของมอนส์เตอร์นั้นเยอะกว่าเกือบสามเท่า
พอเห็นเหล่าอัศวินของเขาต้องตายไปที่ละคนสองคนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้, โยฮันเนสก็เดาะลิ้น พวกเขาเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด เขาควรจะหนีแต่ถ้าเขาหนีศัตรูก็จะไม่ได้มีแค่มอนส์เตอร์
ในขณะที่โยฮันเนสพยายามหาทางทำอะไรซักอย่าง
เขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากบนฟ้า
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!! ดูสิ ดูนั่นสิ! ท่านพี่! จักรพรรดิกำลังทำหน้ากระอักกระอ่วนหล่ะ!”
“นั่นสินะ, น้องชาย นี่เป็นภาพที่น่าขบขันจริงๆ”
พอได้ยินเสียงหัวเราะอย่างกระทันหัน, โยฮันเนสก็จ้องไปที่ท้องฟ้า
ที่นั่นเขาเห็นคนอยู่สองคน
คนนึงเป็นผู้ชายผมสีเงิน เขามีลักษณะตัวที่เล็กและกำลังหัวเราะอย่างใสซื่อเหมือนกับเด็กๆ
ส่วนอีกคนนึงมีผมบลอนด์ยาว ผู้ชายรูปร่างดีคนนี้กำลังยิ้มออกมาเล็กน้อยในขณะที่เหลือบมองจักรพรรดิ
ลักษณะที่พวกเขาทั้งคู่มีเหมือนกันก็คือผิวที่ซีดจนผิดปกติและความงดงาม
“พวกเจ้าเป็นใคร?”
“ข้าแซม”
“ส่วนข้าดีน”
จักพรรดิคุ้นเคยกับชื่อของพวกเขาดี
จากนั้น, ในตอนที่จักรพรรดิเห็นเขี้ยวที่เป็นลักษณะเฉพาะในปากของพวกเขา, เขาก็หัวเราะออกมา
พวกนี้คือหนึ่งในเผ่าครึ่งมนุษย์ที่มีอยู่หลากหลายสายพันธุ์ในทวีปนี้ มันคือลักษณะเฉพาะของแวมไพร์
มีอายุยืนและแข็งแกร่ง, พวกแวมไพร์นั้นปกครองส่วนนึงของทวีปโดยใช้กลุ่มแวมไพร์ไม่กี่กลุ่มในการสร้างประเทศของพวกเขาขึ้นมา
พวกเขาเคยถูกพิจารณาว่าเป็นมอนส์เตอร์, และในอดีตก็เคยมีเรื่องขัดแย้งกับมนุษย์ แต่ตอนนี้, พวกเขามีข้อตกลงไม่แทรกแซงและแทบจะไม่ปรากฎตัวต่อหน้ามนุษย์เลย
อย่างไรก็ตาม, ในขณะเดียวกันนั้นก็มีคู่หูคู่หนึ่งที่มีชื่อเสียงโด่งดังในกลุ่มมนุษย์
“มันเป็นเรื่องเล่าที่ข้าได้ฟังมาจากบรรพบุรุษ....มันเคยมีคู่หูแวมไพร์ที่ทำเรื่องชั่วร้ายและถูกขับไล่ออกมาจากกลุ่มของตัวเอง กิลด์นักผจญภัยได้ตั้งค่าหัวแวมไพร์คู่นี้ด้วย ถ้าข้าจำไม่ผิด, ชื่อของคู่หูนั้นก็คือแซมกับดีน กลุ่มสองคนที่ถูกกำหนดให้เป็นมอนส์เตอร์คลาส S มันเป็นพวกเจ้าเองสินะ?”
“ใช่, พวกข้าเองแหล่ะ!”
“การที่กิลด์นักผจญภัยเอาพวกข้าไปรวมกับพวกมอนส์เตอร์ชั้นต่ำคือสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ พวกข้าจะไม่มีวันยกโทษให้กับการดูหมิ่นเช่นนี้ และแน่นอนว่า, รวมถึงพวกที่ให้การสนับสนุนด้วย”
“หืม? เป็นความแค้นที่ไม่เคยจางหายสินะ บรรพบุรุษของข้าไม่อยู่ในโลกนี้ตั้งนานแล้ว พวกเจ้าก็เลยวางแผนมาแก้แค้นข้าแทนงั้นสิ?”
“ใช่แล้ว! ถึงยังไงมนุษย์ก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่บอบบางและตายง่ายจนเกินไป!”
“พวกข้าตัดใจเรื่องการแก้แค้นกับตัวการจริงๆไปตั้งนานแล้ว ถึงยังไงช่วงชีวิตของพวกเรามันก็แตกต่างกันเกินไป และนี่ก็เป็นสาเหตุที่พวกข้าตัดสินใจมาล้างแค้นลูกหลานและผู้สืบทอดของเจ้าพวกนั้นแทน”
พอได้ยินพวกเขาบอกว่าจะล้างแค้นจักรวรรดิทั้งหมด, โยฮันเนสก็เดาะลิ้น โดยปกติเขาคงจะพูดตอบโต้กลับไปแต่สถานการณ์ในตอนนี้บ่งบอกว่าสาเหตุของสึนามินั้นก็คือสองคนนี้
เขากำลังยุ่งอยู่กับการจัดการกับสึนามิ, และตอนนี้ก็มีศัตรูเป็นแวมไพร์คลาส S ปรากฎตัวมาเพิ่มอีก, ถ้าเป็นแบบนี้โยฮันเนสคงรับมือด้วยตัวเองไม่ไหวแน่
ขอแค่มีอัศวินหลวงที่เขาภาคภูมิใจอยู่ใกล้ๆหล่ะก็นะ
เขากำลังคิดเรื่องนี้อยู่แต่เขาได้ส่งพวกอัศวินที่เขาภาคภูมิใจไปให้กับลูกๆแล้ว
พวกเขาอยู่ห่างจากเคียร์และต่อให้พวกเขาตอบสนองในทันที, พวกที่จะกลับมาหาเขาได้ก็คงจะมีอยู่แค่ส่วนนี้
“เอาหล่ะตอนนี้, ถ้าเจ้าอยากจะพูดอะไรที่ดูยิ่งใหญ่เหมือนที่จักรพรรดิเขาทำกัน, ก็เป็นโอกาสของเจ้าแล้ว ถึงยังไงข้าก็ตั้งใจจะดูดเลือดของเจ้าให้แห้งเป็นมัมมี่แล้วเอาศพไปโยนที่เมืองหลวงของจักรวรรดิอยู่ดี!”
“เหอะ! ถ้าเจ้ากล้าก็ลองดู! ต่อให้ข้าตาย, จักรวรรดินี้ก็ยังไม่จบสิ้นหรอก! พวกระดับสูงของจักรวรรดิของข้าจะตามล่าพวกเจ้า! ถ้าเจ้าไม่กลัวเรื่องนั้นก็เข้ามาจัดการข้าได้เลย!”
“ข้ารับรู้ถึงความมุ่งมั่นของเจ้าแล้ว แต่ไม่ว่าเจ้าจะเห่าหอนอะไรออกมามันก็เปลี่ยนความจริงที่ตอนนี้เจ้ากำลังตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบไม่ได้หรอกนะ”
ดีนยกมือขวาขึ้นมา
พลังเวทย์ได้มารวมกันในมือของเขาและลูกบอลสีดำก็ปรากฎขึ้น มันแตกต่างจากเวทมนตร์ที่มนุษย์ใช้ มันคือการโจมตีด้วยเวทมนตร์ที่มีแค่แวมไพร์ที่ครอบครองพลังเวทย์อันมหาศาลเท่านั้นที่จะใช้ได้”
“จงเสียใจที่มาเป็นศัตรูกับพวกข้าแล้วตายไปซะ!!”
ก้อนพลังเวทย์ถูกโยนใส่โยฮันเนส
จากนั้นดีนก็เผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมาเพราะเขามั่นใจในชัยชนะของเขา แต่ว่ารอยยิ้มนั้นก็เปลี่ยนเป็นความหนาวเหน็บในทันที
ก่อนที่ก้อนพลังเวทย์จะโดนโยฮันเนส, มันก็ถูกผ่าออกเป็นสองส่วน
“—ปลอดภัยใช่ไหมคะ? ฝ่าบาท”
“อ้าว...เอลน่า, ข้าดีใจที่เจ้ามานะ แต่เจ้าไม่ได้ปกป้องอาร์โนลด์อยู่หรอ?”
“...ขออภัยด้วยค่ะ ข้าไม่สามารถขัดคำสั่งของท่านโดยตรงได้เพราะงั้น.....”
ในตอนที่เห็นสีหน้าหดหู่ของเอลน่า, โยฮันเนสก็พอจะเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น
ถ้าเธอขี่ม้ามาพร้อมกับอาร์โนลด์, เธอคงจะมาไม่ทันเวลาแน่ๆ
อย่างไรก็ตาม, พอเห็นเอลน่าเป็นแบบนี้, โยฮันเนสก็เผยรอยยิ้มออกมา
“ข้ารู้สึกดีใจนะที่ได้เห็นลูกชายของข้าโตขึ้นมาเป็นแบบนี้ ต้องขอบคุณเจ้าจริงๆ, เอลน่า”
“ฝ่าบาท....ขะ..ข้า......”
“อาร์โนลด์เป็นคนส่งเจ้ามา และเจ้าก็ตอบสนองต่อความรู้สึกของเขาและสามารถมาได้ทันเวลา นี่มันทำให้ข้ามีความสุขจริงๆ เรื่องพูดคุยเอาไว้แค่นี้เถอะ, เจ้าช่วยแสดงให้ข้าเห็นหน่อยได้ไหมว่าเจ้าเติบโตขึ้นแค่ไหนแล้ว?”
เอลน่าพยักหน้าให้กับคำขอของโยฮันเนส
จากนั้นเธอก็มองตรงไปที่ศัตรูทั้งสองแล้วตั้งท่าเตรียมจู่โจม
“ตามประสงค์ค่ะ, ฝ่าบาท ข้าจะแสดงดาบของบ้านแอมส์เบิร์กให้ท่านได้เห็นเอง!”
“หึ! มนุษย์คนเดียวจะไปทำอะไรได้! ข้ารู้จักเจ้า, เจ้าคืออัศวินที่จับคู่กับเจ้าชายไร้ค่า! คงเป็นเพราะเจ้าชายของเจ้าไร้ความสามารถ, มันก็เลยไปได้ไม่ไกลสินะ พอมาคิดว่าถูกพวกไร้ความสามารถแบบนี้มาขัดขวางแผนการของท่านพี่ มันช่างชวนให้รู้สึกเศร้าจริงๆ”
“แซม, ห้ามลดการป้องกันลงนะ บ้านแอมส์เบิร์กคือตระกูลของผู้กล้า เราจะเอามาตรฐานของมนุษย์ทั่วไปมาใช้วัดไม่ได้ เจ้าห้ามคิดว่ายัยนั่นเป็นมนุษย์ธรรมดาเชียวหล่ะ”
ดีนเตือน, แต่ดูเหมือนว่าแซมจะไม่ใส่ใจกับคำเตือนนี้เลย
อย่างไรก็ตาม, ในตอนที่เขาเห็นสายตาของเอลน่า, แซมก็เข้าสู่โหมดระวังตัวอย่างเต็มที่
“!!???”
ร่างกายของแซมชุ่มไปด้วยเหงื่ออย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เขายืนอยู่บนเคียวที่สร้างขึ้นด้วยเวทมนตร์ของเขาแล้วถอยห่างจากเอลน่าเล็กน้อย นี่มันคือการพยายามหนีอย่างเห็นได้ชัดแต่แซมไม่ได้รู้สึกตัวเลย
ในอีกด้านนึง, เอลน่าได้โจมตีแซมด้วยจิตสังหารแล้วค่อยๆลอยขึ้นไปบนฟ้า
สำหรับนักเวทย์ที่มีฝีมือ, เวทมนตร์ที่ทำให้ลอยขึ้นไปบนฟ้านั้นไม่ได้ยากเลย อย่างไรก็ตาม, เวทมนตร์ที่ทำให้เคลื่อนไหวบนฟ้าได้อย่างอิสระนั้นหายาก แต่เอลน่านั้นแม้เธอจะไม่ใช่นักเวทย์เธอก็ไปถึงขั้นนั้นแล้ว
บ้านแอมส์เบิร์กไม่เคยขาดทักษะที่จำเป็นสำหรับการต่อสู้เลย
และในจุดนี้เอง แซมก็ได้ไปเหยียบโดนกับระเบิดของอัจฉริยะจากบ้านแอมส์เบิร์กเข้าให้แล้ว
“เจ้าพึ่งจะพูดเรื่องที่ข้าเกลียดที่สุดออกมา.....เจ้ากล้าพูดแบบนั้นต่อหน้าข้าได้ยังไง! ข้าจะพิพากษาเจ้า เตรียมรับมือให้ดี!”
“! อย่ามาดูถูกข้านะมนุษย์!!!!”
หลังจากนั้นในทันที, แซมก็โจมตีเอลน่าด้วยเคียวของเขา
อย่างไรก็ตาม, เอลน่าหลบเคียวของเขาได้และสวนกลับในทันที
แซมสามารถรับการโจมตีได้ด้วยเคียวของเขาแต่การโจมตีมันรุนแรงกว่าที่คิดเขาก็เลยหันไปมองพี่ชาย
“สมกับเป็นอัจฉริยะจากบ้านแอมส์เบิร์ก ข้าเข้าใจแล้วหล่ะว่าทำไมผู้คนถึงเรียกเจ้าว่าผู้กล้าของยุคนี้ แต่ว่า, พวกข้าจะทำให้เจ้าเสียใจเองที่วันนี้เจ้าเลือกมาเป็นศัตรูกับแวมไพร์อย่างพวกเรา!”
ดีนเข้าร่วมการต่อสู้
ทั้งสามคนปะทะกันเหนือน่านฟ้าของเมืองเคียรือย่างรุนแรง
ข้างใต้นั้น, จักรพรรดิกำลังตะโกนเพื่อเพิ่มขวัญกำลังใจให้กับกองกำลังของเขา กำลังเสริมจากอัศวินหน่วยที่สามของเอลน่านั้นช่วยดันมอนส์เตอร์กลับไปได้เล็กน้อยแต่ดูเหมือนว่ามอนส์เตอร์ที่โจมตีเข้ามานั้นจะไม่มีวันหมดเลย
ในสถานการณ์ที่เขาต้องยื้อจนกว่ากำลังเสริมจะมาเพิ่มนี้, มีเจ้าชายองค์นึงปรากฎตัวขึ้น
“ท่านพ่อ! คาร์ลอสมาแล้วครับ!! คาร์ลอสผู้นี้กลับมาแล้วครับ, ท่านพ่อ!!”
เจ้าชายลำดับห้า, คาร์ลอสอายุ 23 ปี
เจ้าชายคนนี้มีผมสีน้ำตาลและมีนิสัยอ่อนโยน, เขาเป็นที่รู้จักในเรื่องความอ่อนโยนนี้ อย่างไรก็ตาม, เขามีความเป็นคนช่างฝันและต้องการที่จะแสดงให้เห็นถึงการต่อสู้ที่หลักแหลมของเขาเหมือนกับนิทานผู้กล้าสมัยก่อน
สำหรับคาร์ลอสนั้น, การรีบมาช่วยพ่อของเขาและได้ยืนอยู่เคียงข้างประชาชนในช่วงวิกฤติเช่นนี้ถือเป็นการพัฒนาในอุดมคติของเขาเลย
มีหลายคนมองมาที่เขาและรู้สึกดีใจกับกำลังเสริม ท่ามกลางความดีใจนี้, คาร์ลอสก็นำทหารของเขาเข้ามาช่วยอย่างเริ่งร่า
“ฝ่าบาท! ถอยไปเถอะครับ! มันอันตราย!”
“ไม่ต้องห่วงนะครับ! เพราะตอนนี้ข้านี่แหล่ะคือผู้กล้า!”
มันเป็นคำพูดที่มาจากความอินในสถานการณ์ แต่มันมีมูลเหตุอยู่
ก่อนหน้านี้ไม่นาน, คาร์ลอสได้เจอกับแซมและดีนผ่านชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง แผนของพวกเขาก็คือให้แซมกับดีนสร้างเรื่องขึ้นมาและให้คาร์ลอสเป็นคนเข้ามากอบกู้สถานการณ์ และเพื่อเป็นการตอบแทน, หลังจากที่คาร์ลอสได้เป็นจักรพรรดิ, เขาก็จะส่งคำร้องให้กิลด์นักผจญภัยเพื่อลบค่าหัวของแซมกับดีนออก
คาร์ลอสถูกโน้มน้าวให้เชื่อว่าแซมกับดีนมีเหตุผลให้ร่วมมือกับเขา การที่กิลด์ลบค่าหัวออกนั้นมีเกิดขึ้นน้อยมาก อย่างไรก็ตาม, มันก็ยังอยู่ในขอบเขตอำนาจของจักรพรรดิ แม้กระทั่งกิลด์ก็ไม่สามารถมองข้ามความต้องการของจักรพรรดิของจักรวรรดิที่ใหญ่ระดับนี้ได้
และนี่ก็เป็นเหตุผลที่คาร์ลอสเชื่อแซมกับดีน ว่าพวกเขาจะถอยในทันทีที่คาร์ลอสปรากฎตัว
หลังจากที่เขากำจัดมอนส์เตอร์ที่เหลืออยู่ได้เขาก็จะกลายเป็นมงกุฎราชกุมารและใช้ชีวิตตามความฝันที่จะได้เป็นผู้กล้าของเขา
แต่ในตอนนั้นเองคาร์ลอสก็ถูกกระสุนเวทมนตร์ของแซมซัดปลิวไปไกล
“ไอ้หมอนั่นมาจริงๆหรอเนี่ย เป็นเจ้าชายที่โง่ชะมัด”
“ไม่ต้องไปสนใจแมลงวันตัวเล็กๆแบบนั้นหรอก มีสมาธิกับศัตรูหน่อย! ยัยนั่นกำลังเข้ามาแล้วนะ!”
พวกเขาไม่เคยสนใจคาร์ลอสอยู่แล้ว
ซึ่งเหตุผลก็เพราะว่าพวกเขาไม่ได้มองเขาว่าเป็นคู่หูธุรกิจที่เท่าเทียมกันมาตั้งแต่แรกแล้ว
พวกเขาหลอกใช้คาร์ลอส ในทำนองเดียวกันนั้น, ถ้าคาร์ลอสวางแผนใช้งานพวกเขาเขาก็คงจะไม่มาจบแบบนี้ ทั้งหมดมันเป็นเพราะความใสซื่อของเขาที่เชื่อใจสองคนนี้
โดยไม่มีแม้กระทั่งเวลาที่จะมาเสียใจกับการตัดสินใจของเขา, สติของคาร์ลอสก็ลอยหายไปหลังจากที่เขาถูกโจมตีด้วยกระสุนเวทมนตร์
หนึ่งในอัศวินสามารถรับตัวเขาได้แต่บาทแผลของเขานั้นเป็นอันตรายถึงชีวิต
อย่างไรก็ตาม, พวกอัศวินที่มากับคาร์ลอสนั้นถูกกระตุ้นด้วยการปรากฎตัวของเขาเมื่อก่อนหน้านี้และสู้พวกมอนส์เตอร์กลับไปอย่างดุเดือด
สิ่งเดียวที่คาร์ลอสทำได้, แม้ว่าจะต้องมาอยู่ในสภาพที่อนาถนี้ก็คือการเปลี่ยนกระแสของการต่อสู้
และด้วยเวลาสั้นๆที่อัศวินของคาร์ลอสช่วยถ่วงเอาไว้ให้นี้เอง, สถานการณ์ก็ค่อยๆเปลี่ยนไปทีละน้อย