ตอนที่ 10
ตอนที่ 10
เมื่อซูฮยอนเห็นขอความของระบบ
เขาก็กระโดดโลดเต้นเต็มไปด้วยความดีใจ
ในสุดเขาสามารถเคลียร์ชั้นที่สองได้สักที
สเตตัสและปัจจัยเวทย์ที่ไม่กระดิกมานาน ในที่สุดมันก็ขยับสักที
แถมซูฮยอนยังได้รับคะแนนความสำเร็จตั้ง สองหมื่นกว่า ซึ่งมันเยอะมากๆ
ในเดือนที่ผ่านมา การต่อสู้ระหว่างเขากับพวกแชร์ทำให้สกิลกระโดดของเขาพัฒนาไปไกลมาก
ซูฮยอนใช้เวลาได้อย่างคุ้มค่า ไม่เสียเปล่าเลยจริงๆ
เขาอยู่ชั้นที่ 2 นานเกินไป
ถึงแม้ซูฮยอนอยากจะไปชั้นถัดไปเร็วๆ
แต่เขายังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องทำ
กี้ กี้ กี้
พวกลูกสมุน เมื่อมันเห็นว่าบอสของพวกมันตายลง
พวกมันก็พากันวิ่งหนีเขาตัวรอด กันไปคนละทิศคนละทาง
ซูฮยอนค่อยๆเดินไปที่ซากศพของบอส
ที่นอนแน่นิ่งอยู่ และใช้สกิล..
“สกิล จำแลง”
ช่วงเวลาที่เขาคะนึงหาได้มาถึงแล้ว
[คุณใช้สกิลจำแลง เป้าหมายคือ บอสแชร์]
[คุณสมบัติของเป้าหมายจะถูกดูดซับบางส่วน]
[คุณได้รับสกิล 'บ้าเลือด']
สกิลบ้าเลือด งั้นเหรอ....ซูฮยอนพอรู้จักมันอยู่บ้าง
“มันคือสกิลพิเศษ ที่เพิ่มความสามารถทางร่างกายในช่วงเวลาสั้นๆ มันใช้ได้เฉพาะตอนที่ สเตตัสความเหนื่อยล้าเพิ่มสูงขึ้น หรือ เสียเลือดมากเกินไป”
คุณสมบัติของมันมีประโยชน์พอสมควร
ถ้าสเตตัสความเหนื่อยล้าของคุณสูงขึ้น มันจะทำให้ร่างกายของคุณหนักอึ้ง แค่นิ้วมือคุณยังขยับได้ลำบาก
แต่สกิล บ้าเลือด มันกลับตรงกันข้าม ถ้าสเตตัสความเหนื่อยล้าของคุณสูงขึ้น
และคุณใช้คุณสกิลบ้าเลือดออกมาละก็
สเตตัสความเหนื่อยล้าของคุณจะถูกรีเช็ต
ยังไม่หมด..การโจมตีทางกายภาพของคุณจะทวีความรุนแรงขึ้นอีกมาก
ซึ่งมันเหมาะกับช่วงเป็นตายเท่านั้น
เขาคิดถูกจริงๆที่ได้เรียนรู้สกิลจำแลง
ในช่วงนี้..เขาไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนสกิลอีกต่อไปเพราะสกิลของบอสแชร์ก็พอใช้ได้อยู่
บอสแชร์มันไม่ใช้มอนสเตอร์ธรรมดาทั่วไป แต่มันคือบอสของชั้นที่ 2
เพราะฉะนั้นสกิสของมันจึงมีประโยชน์กว่าพวกลูกสมุนมากนัก
ถ้าหากซูฮยอนใช้สกิลจำแลงใส่พวกลูกสมุน มันคงได้แต่สกิลที่ไร้ประโยชน์
'เฮ่อ ฉันควรไปชั้นถัดไปได้แล้ว'
นี้มันแค่ชั้นที่สองเท่านั้น ยังมีอีกหลายชั้นที่ซูฮยอนต้องไป
ซูฮยอนไม่สามารถจมปักอยู่กับชั้นนี้ได้อีกต่อไป
ในช่วงเดือนที่ผ่านมา
ซูฮยอนได้เร่งความเร็วในการกวาดล้างพวกแชร์อย่างเอาเป็นเอาตาย
แม้ว่าระดับเวทย์ของเขาจะไม่เพิ่มขึ้น
แต่ปัจจัยเวทย์กับสเตตัสอีกกลับเพิ่มขึ้นแทน
ซึ่งมันทำให้ความเหนื่อยล้าที่วะสมใานายหายเป็นปลิดทิ้ง
ด้วยคะแนนความสำเร็จที่มากมาย
ซูฮยอนมั่นใจว่าเขาต้องหาสกิลที่มีประโยชน์ได้อย่างแน่นอน
มันจะเป็นเรื่องง่ายๆสำหรับเขาในการปีนป่ายหอคอย ในปีหน้า
ดวงตาของซูฮยอนเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น เป้าหมายของเขาคือชั้นที่ 10
ซูฮยอนรีบกำหนดเป้าหมายและแผนการต่อไปทันที
เมื่อซูฮยอนกำหนดแผนการเสร็จสิน
เขาก็รีบมุ่งหน้าไปชั้นถัดไปอย่างไม่รีรอ
“ลุยต่อเลย”ซูฮยอน บุกตะลุยชั้นที่สามทันที่ เขาใช้เวลาทั้งหมดหนึ่งเดือนในการเคลียร์ชั้นที่สาม
ส่วนชั้นที่สีและชั้นที่ห้า ซูฮยอนก็สามารถเคลียร์มันได้ในเวลา 1 เดือนเช่นเดียวกัน
1 ปีผ่านไปไวเหมือนโกหก
* * *
วันพุธ 7 ธันวาคม 2019 มันเป็นวันที่นักเรียนจำนวนมากต่างเฝ้ารอ
บางคนพอใจกับคะแนนของตัวเอง
บางคนเสียใจกับคะแนนที่ได้
ถึงแม้ว่าส่วนใหญ่จะเสียใจก็ตามที
‘หืม ก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่' ซูฮยอนเดินไปพร้อมกับตรวจสอบผลการสอบของตัวเองผ่านจดหมายที่ได้รับ
มันเป็นเรื่องที่ยากมากที่เขากับชินซูย็องจะไปกินข้าวกันนอกบ้านด้วยกัน
ถึงแม้ว่าชินซูย็องจะชวนซูฮยอนไปกินข้าวนอกบ้านหลายครั้ง
แต่เขาก็มักจะอ้างว่าติดเรียน แล้วปฏิเสธเธอกลับไปเสมอ
แต่ตอนนี้เขาไม่สามารถใช้ข้ออ้างนั้นได้อีกต่อไป
เพราะการสอบของมหาลัยต่างๆเริ่มประกาศแล้ว
ตอนนี้เขาตัองการให้ชินซูย็องเห็นผลสอบของเขามากๆ
มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ซูฮยอนต้องโกหกเธอเป็นเวลาหนึ่งปี
เขารู้สึกสำนึกผิดต่อเธออยู่เสมอ
ซูฮยอนล็อกประตูแล้วออกจากบ้านไปเพื่อขึ้นรถไฟฟ้า
แม้ว่าชินซูย็องจะสั่งรอให้เธอเลิกงานก่อนแล้วค่อยไป
แต่ครั้งนี้ซูฮยอนไม่ยอมทำตาม เพราะเขาตั้งใจจะไป เซอร์ไพรส์ เธอ โดยเฉพาะ
ซูฮยอนนั้งรถบัสสาย 1 ไปลงที่สถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน ณ. สถานนี ซูว็อน
ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่ ชั่วโมงเร่งด่วน
แต่ผู้คนยังคงพลุกพล่านเต็นสถานี
แอ็ด
ปิ๊ป ปิ๊ป ปิ๊ป
รถไฟเริ่มออกจากสถานี
ซูฮยอนจะสวมหูฟังแล้วฟังเพลงที่เขาชื่นชอบ
ถึงแม้เขาจะฟังเพลงอยู่ก็จริง
แต่จิตใจของเขาไม่ได้สนใจเนื้อเพลงเลยสักนิด
ตอนนี้เดือน ธันวาคม ปี 2019 อีกไม่กี่วันมันก็จะถึงปี 2020 แล้ว เวลาช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน
ซูฮยอนมองออกไปนอกหน้าต่างและนึกถึงสภาพแวดล้อมภายในเมือง
เมืองหลวงที่เต็มไปด้วยผู้คน วัยหนุ่มสาวเดินพลุกพล่าน
แต่ทว่า.....
ตูม
โลกถูกทำลายต่อหน้าต่อตา ตึกลามบ้านช่องต่างพังทลายลงอย่างช้าๆ
เสียงหัวเราะของผู้คน กลับกลายเป็นเสียงกรีดร้องสุดเวทนา
ท้องนภาสีคราม กลับกลายเป็นสีแดงฉานดุจโลหิต
เปลวเพลิงลุกโชนไปทั้งเมือง ควันไฟล่องลอยสู้ท้องนภา
ทั่วทุกมุมโลกถูกทำลาย แต่ที่กล่าวมามันยังไม่เกิดขึ้นตอนนี้
ซูฮยอนกลับตาลงแล้วนับ 1-3 ภายในใจ
เมื่อนับครบแล้วเขาก็ลืมตาขึ้น โชดดีที่โลกยังเหมือนเดิม
“ฟู่”เขาคิดมาเสมอว่า เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันคงเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา
แต่ความจริงมันกลับไม่ใช่เช่นนั้น
โลกถึงคราวอวสาน มนุษย์ทุกคนเสียชีวิต
โลกที่เคยมีมนุษย์ แต่เมื่อไม่มีมนุษย์อาศัย มันก็กลายเป็นสถานที่รกร้างและเงียบเหงา
เขาหวังเสมอว่าเมื่อเขาลืมตาขึ้น โลกที่เคยถูกทำร้ายจะกลับคืนสู่สภาพเดิม
ทุกครั้งที่เขานอนหลับ เขาจะฝันถึงเหตุการณ์แบบนี้นับครั้งไม่ถ้วน
เขากลัว… เขากลัวว่าเขาจะถูกทิ้งให้อยู่อย่างโดดเดี่ยว เขานึกอยู่ในใจเสมอว่าขอให้มันไม่ใช่ความจริง
แต่...ความจริงก็คือความจริง แม้ว่าไม่อยากเชื่อ แต่เขาก็ต้องทำใจยอมรับมันอยู่ดี
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น โลกครึ่งหนึ่งจะถูกทำลาย โลกที่เหลืออีกครึ่งก็สภาพร่อแร่
ถึงจะบอกไม่ได้ว่าในอนาคตจะเป็นแบบเดิมอีกไหม
แต่ถ้าเป็นไปได้เขาหวังให้มันเป็นแค่ความฝัน
ปิ๊ป ปิ๊ป
นั่งรถไฟไม่นาน ก็มาถึงสถานีปลายทาง ซูว็อน
ซูฮยอนออกมาจากรถไปแล้วเดินเท้าไปร้านที่แม่ของเขาทำงานอยู่
“อ้าวซูฮยอน ลูกมานี้ได้ไง รอแม่แปปหนึ่งน่ะ”
ชินซูย็องกล่าวพร้อมกับเก็บร้านของเธอไปด้วย
เมื่อเห็นดังนั้นซูฮยอนพูดขึ้น
“เป็นไงบ้างแม่ ขายดีไหน วันนี้”
“ก็เรื่อยๆนะ ว่าแต่ทำไมแม่ต้องขายดีด้วยหล่ะ ถึงจะขายดี แต่ค่าจ้างก็ได้เท่าเดิมอยู่ดี”
“แม่ไม่ได้โบนัสบ้างเหรอ”
“ถึงเจ้านายของแม่จะรวยมากๆ แต่เธอก็เป็นคนขี้เหนียว โบนัสเหรอ อย่างหวังเลยดีกว่า” ชินซูย็องตอบกลับแบบตลกนิดๆ
ซูฮยอนยิ้มบางๆพร้อมกับช่วยเธอเก็บร้านไปด้วย
ในหนึ่งปีที่ผ่านมาความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูก ของเขาพัฒนาไกลพอสมควร
เมื่อซูฮยอนเก็บร้านเสร็จ
พวกเขาก็พากันเดินไปที่ร้านปิ้งย่างร้านแห่งหนึ่ง
พวกเขาทั้งคู่ไม่ได้กินเนื้อย่างมานานมากแล้ว
เมื่อเนื้อเริ่มได้ที่ ชินซูย็องคีบเนื้อให้ซูฮยอนแล้วกล่าว “กินเยอะๆนะลูก ถึงซะว่าเป็นการฉลองที่ลูกตั้งใจเรียน”
ซูฮยอนรู้สึกผิดที่โกหกเธอว่าไปเรียนจริงๆ
แต่ความจริงเขาใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในหอคอยซะมากกว่า
“ขอบคุณครับ แม่ก็กินเยอะๆน่ะ”
“แล้ว ผลสอบเป็นไงบ้างลูกรัก”
ดูเหมือนว่าชินซูย็องจะไม่ลืม
เธอรีบท้วงถามผลสอบของซูฮยอนทันที
ซูฮยอนล้วงกระเป๋าแล้วหยิบจดหมายสอบออกมาให้แม่ของเขาดู
“ลูก ผลสอบมันเป็นของลูกจริงๆเหรอ?”
“แม่ ทำไมถึงทำหน้าอย่างกัลเห็นผีอย่างงั้นละครับ แม่คิดว่าผมขโมยคนอื่นมาหรือไง”
“เป็นความจริงใช่ไหม แม่ไม่ได้ฝันไปใช่ไหม”
ไม่ทราบว่าเธอกำลังดีใจหรือไม่อยากเชื่อผลสอบที่เห็นอยู่กันแน่
เนื้อย่างที่เธอใส่เตาไว้เริ่มไหม้เกรียม
ใบหน้าที่เคยอ่อนล้าของเธอ บัดนี้ถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มแสนสดใส ซึ่งซูฮยอนไม่ค่อยได้เห็นมากนัก
“ลูกแม่ แม่หวังว่าลูกจะเรียนจบมหาวิทยาลัยนะ ลูกไม่ต้องกดดันตัวเองมากเกินไป แค่มหาวิทยาลัยธรรมดาทั่วไปก็พอ”
พ่อแม่ส่วนใหญ่ต้องการให้ลูกของพวกเขาเข้าเรียนมหาลัยที่มีชื่อเสียง
มันก็เหมือนกับชีวิตที่ผ่านมาของเขาที่ถูกแม่บังคับให้เข้ามหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดให้ได้
ถึงแม้ว่าจะเรียนจบแล้ว แต่อนาคตข้างหน้าจะเป็นยังไงก็ไม่มีใครทราบ
แต่มันก็มีสิ่งหนึ่งที่ไม่สามารถปฏิเสธได้เลยก็คือวุฒิการศึกษา
มันทำให้โปรไฟล์ของผู้เรียนจบดูมีภูมิฐาน
ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า มันจะไม่มีประโยชน์อีกต่อไป
ทว่าซูฮยอนก็ต้องทำความฝันของชินซูย็องให้เป็นจริง
เขาใช้เวลาว่างจากหอคอย มาอ่านหนังสือเรียน
มันไม่ใช่เรื่องยากอะไรมาก สำหรับเขาในการสอบเข้ามหาวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยที่ซูฮยอนเคยเรียนเมื่อชีวิต ที่แล้วคือ มหาลัยดงฮา
มันเป็นมหาวิทยาลัย 1 ใน 3 ของเกาหลีที่ดีที่สุด
ด้วยการแข่งขันที่ค่อนข้างสูง
มันทำให้เขาไม่อยากจะเรียนที่เดิม
“เนื้อไหม้หมดแล้ว รีบกินกันเถอะแม่”
“ลูกกินเลยแม่อิ่มแล้ว แม่ภูมิใจในตัวลูกจริงๆ”
ชินซูย็องยังคงยิ้มหน้าบานอยู่ เธอไม่สนใจเนื้อปิ้งย่างเลยสักนิด
เมื่อซูฮยอนถูกแม่ตัวเองชมเชย มันทำให้ใบหน้าของเขาเริ่มร้อนผ่าวเป็นมะเขือเทศ
จนในที่สุดเขาไม่สามารถรับรู้รสชาติของเนื้อได้อีกต่อ
ดูเหมือนว่าวันนี้แม่ของเขาจะมีความสุขเป็นพิเศษ จนลืมความหิวของเธอ
ดูท่าทางเธอจะทนอาการคันปากไม่ไหว
เธอเริ่มหยิบโทรศัพท์ขึ้นแล้วเตรียมเมาส์มอยกับเพื่อนสนิท
ซูฮยอนคิดว่าผลสอบของเขาไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ ถ้าเทียบกับชีวิตที่แล้ว
แต่มันก็เพียงพอทำให้แม่ของเขาดีใจปานถูกหวย
ฉันควรตั้งใจอีกนิดดีไหมน่ะ ถ้าเขาสามารถเรียนจบมหาวิทยาลัยได้จะเกิดอะไรขึ้นกับแม่ของเขากัน
ไม่ใช่ว่าเธอจะกระโดดโลดเต้นเป็นลิงเลยเหรอ แค่ซูฮยอนคิดมันก็ทำให้เขามีความสุขแล้ว
แต่ทันใดนั้น ก็ได้มีเสียงก้องเข้ามาในหูของซูฮยอน
“แม่หวังว่าลูกจะทำให้ดีกว่านี้”
เสียงที่ได้ยินไม่ใช่เสียงของ ชินซูย็อง
แต่มันเป็นเสียงของแม่เขาในชีวิตที่แล้วต่างหาก
ทำไมล่ะ ทั้งๆที่ผมพยายามอย่างเต็มที่แล้วแท้ๆ แต่ทำไม..
ทำไมแม่ถึงดูผิดหวังจัง
เป็นเพราะเขาเหรอ ทั้งที่เขาของการให้เธอมีความสุขกับผลสอบของตัวเองแท้ๆ...
“เฮ่อ ช่างมันเถอะ ฉันไม่อยากได้ยินคำนั้นอีกแล้ว”ซูฮยอนส่ายหัวไปมา
ฉันจะไม่เข้ามหาวิทยาลัยที่มีการแข่งขันสูงๆโดยเด็ดขาด
เขาแค่อยากสอบผ่านให้เธอดีใจก็พอ
อีกอย่างเขาก็ไม่ได้อยากเรียนมหาวิทยาลัยแบบจริงจังเลยสักนิด
เพราะ…อีกไม่นาน… ซูฮยอนเหลือบมองไปที่ชินซูย็องที่กำลังยิ้มอย่างสดใส
'ฉันจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้มากกว่านี้'