PTH43 หญ้าหยกเมฆา
เมื่อเดินพ้นข่ายอาคมเคลื่อนย้ายออกมา เว่ยสั่วมาถึงภูเขาแห่งหนึ่ง ยามนี้เป็นยามราตรีมืดมิด หมอกควันรายล้อม ไกลออกไปมีซากปรักหักพังหลงเหลืออยู่
ซากเหล่านั้นมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ ไม่มีผู้ใดรู้ที่มา รู้เพียงพวกมันคงอยู่มาตั้งแต่อดีต จากจำนวนของซากปรักหักพัง บริเวณนี้อาจเป็นเมืองขนาดใหญ่ นอกจากนี้สูงขึ้นไปบนภูเขา เว่ยสั่วเห็นแสงไฟ ที่นั่นเป็นเหมืองศิลาวิญญาณหลอมของนิกายเพลิงสวรรค์
ศิลาวิญญาณหลอมคือศิลาวิญญาณที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ หากใช้เพลิงรุนแรงมากพอก็หลอมมันได้ แต่เมื่อหลอมเสร็จทิ้งไว้สักพัก มันจะก่อตัวขึ้นมาใหม่เป็นศิลาวิญญาณหลอมเหมือนเดิม แต่มีขนาดใหญ่ขึ้นและแข็งขึ้น
ศิลาวิญญาณหลอมมักจะถูกนำไปสร้างเป็นอาวุธ สมบัติ รวมถึงอุปกรณ์ป้องกัน
เหมืองที่อยู่รอบๆเมืองจิตวิญญาณสูงสุดอยู่ในการควบคุมของนิกายเพลิงสวรรค์ ที่สำคัญ ผู้ที่คอยปกป้องเหมืองเหล่านั้นยังเป็นถึงผู้ฝึกตนในเขตขั้นวัฏจักรสวรรค์ คนงานเหมืองมีทั้งคนทั่วไปและผู้ฝึกตนในเขตขั้นทะเลศักดิ์สิทธิ์
แม้ว่าเว่ยสั่วคิดว่าการครอบครองเหมืองไว้เพียงผู้เดียวของนิกายเพลิงสวรรค์จะเป็นเรื่องไม่สมควร แต่ไม่มีผู้ใดทัดทานเรื่องนี้ได้เพราะผู้ใดแข็งแกร่งผู้นั้นย่อมถูกเสมอ สำหรับเว่ยสั่วแล้ว ศิลาวิญญาณหลอมไม่เป็นประโยชน์สำหรับเขา
ก่อนที่ศิลาวิญญาณหลอมจะถูกหลอมด้วยความความร้อน ศิลาจะมีลักษณะเป็นสีขาวกระจ่าง แต่เมื่อถูกความร้อนจนได้ที่มันจะหลอมละลายกลายเป็นของเหลวสีดำ หากจะนำไปสร้างเป็นสมบัติหรืออาวุธ ต้องใช้ศิลาวิญญาณหลอมเป็นจำนวนมหาศาล
ห่างออกไปจากเหมือง เว่ยสั่วพลางตัวอยู่ในป่า เฝ้าสังเกตุการณ์โดยรอบ เบื้องหน้าทางเข้าถ้ำมีกลุ่มคนหลายกลุ่มสับเปลี่ยนกันเดินตรวจตรา
แม้จะเริ่มเข้าใกล้ถ้ำมากแล้ว แต่เว่ยสั่วยังไม่เห็นร่องรอยของหนานกงยู่ฉิง จึงลองถ่ายปราณเข้าไปในสร้อยหยกทั้งสามเส้น พวกมันเปล่งแสงก่อนที่หนานกงยู่ฉิงในเกราะหนังสีแดงจะเดินออกมาจากความมืด
“เจ้าฉลาดมาก รู้ด้วยว่าต้องทำยังไงถึงจะติดต่อข้าได้” นางกล่าว “ข้าได้ส่งข่าวผ่านสร้อยหยกทั้งสามให้เจ้าแล้วมุ่งมาที่นี่ก่อน ทำไมเจ้าเพิ่งมาถึง?”
“มีเรื่องเร่งด่วนอะไรถึงเรียกข้าออกมาตอนนี้?” เว่ยสั่วจ้องมองนางด้วยแแววตาที่แฝงด้วยความเสียดาย เพราะนางซ่อมเกราะมาแล้ว ส่วนเว้าโค้งน่ามองเหล่านั้นจึงหายไป “วันนี้ข้าเดินทางไปภูเขาลูกหนึ่งและได้ข่าวบางอย่างมา เลยส่งข่าวให้เจ้าผ่านทางสร้อยหยก แต่ดูเหมือนจะส่งไปไม่ถึงเพราะข้าอยู่ไกลเจ้าเกินไป”
“เจ้าเอายันต์เพลิงติดตัวมาด้วยเท่าไหร่?” นางกล่าวถาม
เว่ยสั่วมองด้วยสีหน้าประหลาดใจ “ประมาณ 80 แผ่น”
“80?” นางตกตะลึง คาดไม่ถึงว่าเว่ยสั่วจะมียันต์เพลิงติดตัวมากมายขนาดนี้ “มีเวลาไม่มาก เดินไปคุยไปเถอะ” นางเดินนำเว่ยสั่ว แม้ว่านางจะแจ้งข่าวให้เว่ยสั่วมา แต่ด้วยนางกลัวว่าเว่ยสั่วจะมาไม่ทันจึงได้แจ้งคนของเถี่ยเซ่อให้รุดมาช่วยอีกแรง แต่กลับกลายเป็นว่าเว่ยสั่วมาถึงก่อน
“อะไรนะ! หญ้าหยกเมฆา?” เว่ยสั่วเดินตามนางเข้าไปภายในถ้ำ ภายในเว่ยสั่วเห็นหินรูปร่างประหลาดมากมาย อากาศภายในถ้ำชื้นมาก ในระหว่างที่เดินหนานกงยู่ฉิงได้บอกเล่าเรื่องราวต่างๆให้ฟัง แต่เมื่อยินว่าหญ้าหยกเมฆา เว่ยสั่วถึงกับอุทานออกมาด้วยความตกใจ
เหตุที่นางเรียกให้เว่ยสั่วออกมาในยามนี้ เพราะนางรู้มาว่าภายในถ้ำแห่งนี้มีหญ้าหยกเมฆาที่กำลังจะเติบโตเต็มที่อยู่
สมุนไพรบางชนิดหากไม่เก็บเกี่ยวในเวลาที่เหมาะสมจะทำให้ปราณสมุนไพรสูญไป เวลาที่เหมาะสมคือเวลาที่สมุนไพรเหล่านั้นโตเต็มที่ ซึ่งช่วงเวลาที่จะเก็บเกี่ยวได้นั้นคือนับตั้งแต่เติบโตเต็มที่ไปอีกไม่นาน ซึ่งหญ้าหยกเมฆาคือหนึ่งในสมุนไพรเหล่านั้น
หญ้าหยกเมฆามีสีขาว โปร่งแสง เปล่งแสงขาวเรืองรองงดงาม เป็นประโยชน์ต่ออสูรระดับ 5 ในการยกระดับพลัง
อสูรระดับ 5 สามารถรับรู้ถึงการคงอยู่ของหญ้าหยกเมฆาได้ หากพวกมันได้กินหญ้าชนิดนี้เข้าไป จะช่วยให้ยกระดับพลังอย่างรวดเร็ว ทั้งยังช่วยให้บรรลุเขตขั้นถัดไปได้ง่าย เหมือนกับผู้ฝึกตนที่อยู่เขตขั้นทะเลศักดิ์สิทธิ์ที่ 5 หากได้โอสถผสานว่างเปล่า จะช่วยให้ยกระดับพลังไปยังเขตขั้นวัฏจัรสวรรค์ได้ง่ายขึ้น
ดังนั้นหญ้าหยกเมฆาจึงเป็นสมบัติล้ำค่า โดยเฉพาะกับนิกายหรือขุมกำลังที่เลี้ยงอสูร อย่างเช่นวังเหยี่ยวทองคำที่สามารถหญ้าหยกเมฆาไปเลี้ยงอสูร ทำให้อสูรยกระดับ
เหตุที่หญ้าหยกเมฆาเป็นสมบัติล้ำค่าอีกอย่าง คือมันมีจำนวนน้อย หาได้ยาก มีช่วงเวลาให้เก็บเกี่ยวได้เพียง 1 วัน 1 คืนเท่านั้น หากเกินกว่านั้นปราณที่อยู่ภายในจะเริ่มสลาย หากเก็บมันไปขายให้กับพลับพลาหยกทองได้ สมควรได้ราคามหาศาล
“มีสองต้น!” เว่ยสั่วนิ่งอึ้ง แต่ก็เร่งเดินตามนางไปอย่างรวดเร็ว
นางกล่าวว่าหญ้าหยกเมฆามีด้วยกัน 2 ต้น หากนำไปให้อสูรกินทั้งสองต้น สมควรยกระดับพลังได้มหาศาล
การที่มีสมุนไพรล้ำค่าเช่นนี้อยู่ เว่ยสั่วรู้ว่าต้องมีอสูรที่ทรงพลังเฝ้าอยู่แน่ อย่างน้อยสมควรเป็นอสูระดับ 4 เพราะพวกมันเองคงอยากบรรลุระดับ 5 เช่นเดียวกัน แต่นอกเหนือจากอสูรแล้ว มนุษย์เองก็น่าจะมาปักหลักคุ้มกันที่นี่เช่นกัน เพราะหากเก็บมันไปได้ สามารถนำไปประมูลเพื่อกอบโกยศิลาวิญญาณได้มหาศาล ดังนั้นเว่ยสั่วจึงกล่าวถาม “มีอสูรระดับไหนบ้างที่เฝ้าหญ้าหยกเมฆา?”
“เป็นอสูรระดับ 4 ถ้าข้าจำไม่ผิดสมควรเป็นเหยี่ยววิญญาณวายุ” นางกล่าวตอบอย่างรวดเร็ว
“ระดับ 4 เลยเหรอ?” เว่ยสั่วอุทาน เหยี่ยววิญญาณวายุมีขนาดลำตัวที่ใหญ่ หางยาว กรงเล็บแหลมคมและแข็งแกร่ง สามารถใช้กระบี่วายุจู่โจมด้วยการตวัดกรงเล็บ ขนปีกของมันสามารถสลัดจู่โจมได้ราวกับลูกธนู ยิ่งด้วยความที่มันเป็นอสูรระดับ 4 แก่นอสูรของมันย่อมล้ำค่ามาก
นางสังเกตุเห็นสีหน้าแปลกๆของเว่ยสั่ว จึงหันหน้ากลับมากล่าว “ไม่ต้องกังวล ข้าจัดการกับเหยี่ยววิญญาณวายุได้”
นางจ้องมองเว่ยสั่วไม่วางตา เว่ยสั่วเองก็มองนางด้วยสีหน้าประหลาดใจเช่นกัน “ถ้าเจ้าจัดการกับเหยี่ยววิญญาณวายุได้ แล้วเรียกข้าออกมาทำไม? หรือยามราตรีมันเปลี่ยวเหงา เลยอยากได้คนมาอยู่ข้างกาย?”
“เปลี่ยวเหงากับหัวเจ้าสิ! เวลาแบบนี้ยังล้อข้าเล่นได้อีก” นางมองเว่ยสั่วเป็นเชิงตำหนิ “นอกจากพวกเราที่สนใจหญ้าหยกเมฆาแล้ว ยังมีตั๊กแตนน้ำแข็งอีกประมาณ 30 ตัวที่สนใจหญ้าหยกเมฆา แต่เพราะมีเหยี่ยววิญญาณวายุเฝ้าอยู่พวกมันเลยไม่กล้าเข้ามา”
“บ้าไปแล้ว! นี่พี่สาว! ท่านล้อข้าเล่นหรือเปล่า? ตั๊กแตนน้ำแข็ง 30 เนี่ยนะ! ข้าจะไปจัดการพวกมันได้ยังไง?” เว่ยสั่วอยากจะหนีไปจากที่นี่
เขาได้รู้มาจากชายชราว่าเมื่อหมื่นปีที่แล้วไม่ได้มีอสูรอยู่ในโลกมากขนาดนี้ แต่หลังจากการต่อสู้ที่รุนแรง ทำให้มิติที่เชื่อมไปยังโลกใบต่างๆเปิดออก อสูรหลายชนิดหลั่งไหลมายังโลก ผู้คนบนโลกตั้งชื่อให้พวกมัน หนึ่งในนั้นคือตั๊กแตนน้ำแข็ง
ตั๊กแตนน้ำแข็งคืออสูรระดับ 3 มีปราณน้ำแข็งและเคียวคมกริบราวกับกระบี่ สามารถปลิดชีพศัตรูได้อย่างหมดจด หากมีแค่หนึ่งหรือสองตัว เว่ยสั่วจัดการพวกมันได้ แต่นี่มีถึง 30 ตัว จึงไม่มั่นใจว่าจะจัดการพวกมันได้ทั้งหมด
“เจ้าจะกลัวอะไร คิดว่าข้าจะพาเจ้ามาตายหรือไง?”
“ข้าดูลาดเลาแถวนี้มาแล้วหลายครั้ง ตำแหน่งที่หญ้าหยกเมฆาเกิดอยู่ภายในถ้ำที่เหยี่ยววิญญาณวายุอาศัยอยู่ ส่วนพวกตั๊กแตนน้ำแข็งจะอยู่นอกถ้ำ ยามนี้สมควรเข้าไปในถ้ำแล้วเพราะหญ้าหยกเมฆาใกล้จะเก็บเกี่ยวได้ ดังนั้นพวกเราจะเข้าไปปิดทางออกพวกมัน ใช้ยันต์เพลิงของเจ้ากดดันให้พวกมันเลือกว่าจะไปหาเหยี่ยววิญญาณวายุ หรือถูกยันต์เพลิงของเจ้าเผาตาย”
“มีแผนอยู่ก็ไม่รีบบอก ท่านทำให้หัวใจดวงน้อยๆของข้าแทบวาย” เว่ยสั่วหัวเราะ “เรื่องใช้ยันต์เพลิงเป็นงานถนัดของข้าอยู่แล้ว”
ในขณะที่เว่ยสั่วและหนานกงยู่ฉิงกำลังพูดคุยวางแผน ข่ายอาคมเคลื่อนย้ายที่อยู่ห่างออกไปเปล่งแสง ผู้ฝึกตนสองคนเดินปรากฏกาย หนึ่งเป็นสตรีสวมอาภรณ์แดง อีกหนึ่งเป็นสตรีงดงามในอาภรณ์เงิน เป็นสตรีคนเดียวกันที่เว่ยสั่วไปชิงจิ้งจกหางศิลามา...