บทที่ 74 คำสั่งเสียสุดท้ายของหนิงชิงเชวี่ย
เย่โม่เข้ามาถึงภายในสวน เขากลับพบว่าหน้าเตียงของหนิงชิงเชวี่ยมีผู้หญิงอายุราว 30 กว่าปีนั่งอยู่ ใบหน้าของเธอคล้ายกับหนิงชิงเชวี่ยอยู่หลายส่วน คาดว่าคงจะเป็นแม่ของหนิงชิงเชวี่ยนั่นเอง แต่หน้าของเธอดูคล้ายเยาว์วัยคล้ายกับวัยรุ่นคนหนึ่งจริงๆ หากไม่ใช่เพราะหนิงชิงเชวี่ยเกิดเรื่องขึ้น...บางทีคนแม่อาจจะดูเด็กกว่าคนลูกก็เป็นได้
แม่ของหนิงชิงเชวี่ยเฝ้าอยู่อย่างนี้ เย่โม่เองก็ไม่รู้ว่าจะเข้าไปอีท่าไหนเหมือนกัน
ขณะที่เย่โม่กำลังลังเลอยู่นั้นเอง แม่ของหนิงชิงเชวี่ยที่นั่งเฝ้าอยู่หน้าเตียงกลับพูดขึ้นมา “ชิงเชวี่ย… วางกล่องพยาบาลในมือลงแล้วนอนเถอะนะลูก”
“แม่คะ แม่นอนก่อนเถอะ หนูอยากอยู่เงียบๆ คนเดียว” เสียงที่ตอบกลับมาแผ่วเบา หากเย่โม่ไม่มีจิตสัมผัสคงยากจะได้ยิน
ผู้หญิงที่นั่งอยู่หน้าเตียงถอนหายใจ ผ่านไปครู่หนึ่งจึงพูดขึ้น “แม่กับพยาบาลจะนอนอยู่ข้างนอกนะ มีปัญหาอะไรก็กดกริ่งได้เลยนะลูก ถ้าปวดขึ้นมาก็บอกแม่ จะได้บอกให้พยาบาลเอายาแก้ปวดมาให้”
เย่โม่มองแม่ของหนิงชิงเชวี่ยเดินออกมาจากห้องพลางปาดน้ำตา ข้างนอกห้องได้ถูกเปลี่ยนเป็นสถานพยาบาลเฉพาะกิจไปเสียแล้ว พยาบาลสาว 2 คนกำลังนอนพักผ่อนอยู่ข้างนอกเช่นเดียวกัน
เย่โม่นิ่งรอสักพักหนึ่งจนกระทั่งแม่ของหนิงชิงเชวี่ยนอนหลับ เขาเดินเข้าไปแล้วกดจุดหลับของคนเหล่านั้นอย่างเงียบๆ เขาไม่อยากให้มีใครพุ่งเข้ามาในห้องตอนที่เขากำลังรักษาอยู่
หลังจากทำเรื่องพวกนี้เสร็จเย่โม่ก็เข้าไปในห้องของหนิงชิงเชวี่ย แรกเริ่มเดิมทีห้องนอนนี้ก็เป็นเขาที่เคยอยู่อาศัย แต่หลังจากหนิงชิงเชวี่ยย้ายเข้ามาอยู่ด้วยเขาก็ยกห้องนี้ให้เธอไป เมื่อเดินเข้ามาในห้องเย่โม่ก็รู้สึกทั้งคุ้นเคยทั้งแปลกใหม่ในเวลาเดียวกัน
มองไปยังหนิงชิงเชวี่ยที่นอนกอดกระเป๋าพยาบาล เย่โม่ก็รู้ว่าอาการของเธอสาหัสมาก เหนือความคาดหมายของเขาอยู่บ้าง แต่เย่โม่ไม่เข้าใจว่าเธอจะกอดกระเป๋าพยาบาลของเขาไว้เพื่ออะไร
เย่โม่กำลังพิจารณาอยู่ว่าจะบอกหนิงชิงเชวี่ยไปตรงๆ ว่าเขาจะรักษาเธอ...หรือปล่อยให้เธอหลับก่อนค่อยลงมือดี แต่ตอนนั้นเองที่เขาได้ยินเสียงกระซิบกระซาบเบาๆ ของหนิงชิงเชวี่ย ทั้งยังเห็นโทรศัพท์สีแดงในมือของเธอด้วย เย่โม่เข้าใจได้ทันที โทรศัพท์เครื่องนั้นกำลังบันทึกเสียงอยู่ หนิงชิงเชวี่ยกำลังสั่งเสียนั่นเอง
“เย่โม่...ขอโทษ ฉันต้องไปแล้ว เป็นฉันเองที่ทำร้ายนาย ฉันเสียใจจริงๆ แต่ฉันก็ยังอยากเจอนายอีกสักครั้งก่อนตาย พูดขอโทษต่อหน้านาย...หลังจากผ่านเรื่องราวพวกนี้มา ฉันถึงได้รู้ถึงความโง่ของตัวเอง...และรู้ว่านายใจกว้างแค่ไหน ฉันไม่นึกเสียใจเลยที่ได้ปกป้องดอกไม้ดอกนั้น...ฉันเสียใจก็แต่ความผิดที่ฉันทำไว้กับนายเท่านั้น”
“ได้เห็นจดหมายของนายฉันจึงค่อยได้รู้ว่านายโดดเดี่ยวแค่ไหน ไม่เคยมีเพื่อนแม้แต่คนเดียว...แต่ฉันก็ยังทำตัวร้ายกาจ ทำร้ายนายครั้งแล้วครั้งเล่า...ทั้งยังใช้เงินที่นายขายเลือดได้ไม่กี่พันหยวนไปซื้อไวน์อีก...ฉันไม่เคยใส่ใจความรู้สึกของนายเลย ฉันคิดจะทำอะไรก็ทำ....ตอนที่ฉันเริ่มสำนึกได้ก็สายไปเสียแล้ว...”
หนิงชิงเชวี่ยไอออกมา 2-3 ครั้ง สีหน้ายิ่งเปลี่ยนเป็นซีดขาวมากขึ้น ทว่าเธอก็ยังพูดบันทึกเสียงต่อไป “เย่โม่...ฉันเองก็ไม่รู้ตัวเองเหมือนกันว่ารักนายหรือเปล่า แต่ถ้าฉันมีโอกาสได้หมั้นกับนายอีกสักครั้ง...ฉันไม่มีทางเอานายไปเป็นโล่ห์แบบนั้นแน่...ฉันเต็มใจจะแต่งงานกับนาย...บางทีมันอาจไม่เกี่ยวกับความรัก...และกลัวว่านายคงจะมองว่าฉันไม่คู่ควร...ฉันเก็บทะเบียนสมรสไว้กับตัว ก่อนหน้านี้ฉันไม่ได้หย่ากับนาย...หลังจากนี้ฉันก็ไม่คิดจะทำเช่นกัน ในชาตินี้นายจะเป็นสามีเพียงคนเดียวของฉัน...ต่อให้นายจะไม่รับรู้...ต่อให้นายไม่ยอมรับ ฉันหนิงชิงเชวี่ยก็เต็มใจจะเป็นภรรยานาย...และตอนนี้ฉันก็เป็นแล้ว”
“เย่โม่...ถึงยังไงฉันก็อยากพูดขอโทษนายอยู่ดี...ฉันเป็นภรรยาของนาย แต่ไม่เคยทำหน้าที่นั้นเลยสักครั้งเดียว มีแต่ทำให้นายต้องลำบากใจ...ฉันคล้ายกับเด็กสาวไม่รู้ความ เคยคิดว่าตัวเองรู้ทุกเรื่อง” หนิงชิงเชวี่ยนิ่งค้างไปพักใหญ่ “…เย่โม่ ฉันจะอวยพรนายจากบนสวรรค์นะ...นายต้องหางานดีๆ ทำนะ เสียดายที่ไม่ได้มีทายาทเหลือไว้ให้กับนาย...นายต้องหาผู้หญิงที่รักนาย...อย่าให้เป็นเหมือนฉัน...”
พูดถึงตรงนี้หนิงชิงเชวี่ยก็หอบหายใจอยู่หลายเฮือก มือของเธอลูบไล้กระเป๋าพยาบาลในอ้อมอกแล้วพูดอีกครั้ง “ชาตินี้ฉันยังไม่มีโอกาสเรียกนายว่าสามีเลยสักครั้ง ฉันอยากจะเรียกนาย...แต่ฉันก็เรียกไม่ออก...”
“มีดอกไม้อยู่ดอกหนึ่งในสวน ฉันดูแลมันอย่างดีทุกวัน…เพราะฉันเคยเห็นนายทำแบบนี้มาก่อน ไม่รู้ว่าจะมีประโยชน์กับนายไหม...ถ้าหากว่ามีประโยชน์...รอมันโตนายก็เอามันไปเถอะ...บางทีนั่นคงเป็นสิ่งเดียวที่ฉันพอจะเหลือไว้ให้กับนายได้แล้ว...”
“เย่โม่...สามี...สบายดีไหม?” เสียงของหนิงชิงเชวี่ยค่อยๆ แผ่วเบาลง
เย่โม่เกิดรู้สึกอึดอัดและละอายใจเล็กน้อย พูดกันตรงๆ แล้วตอนนั้นที่เขาช่วยหนิงชิงเชวี่ยไม่ใช่เพราะเขาใจกว้างอะไรอย่างที่เธอคิดหรอก เขาช่วยก็เพราะท่าทางโศกเศร้าของเธอดันไปคล้ายกับอาจารย์ของเขาลั่วอิ่ง ดังนั้นเขาจึงเต็มใจจะช่วยเธอ คล้ายกับจะเป็นความหวังลึกๆ ในใจเขาที่อยากให้มีคนช่วยอาจารย์ลั่วอิ่งตอนที่เธอทุกข์ใจเช่นเดียวกัน
ทั้งยังมีเรื่องเงินจากการขายเลือดนั่นอีก เขาไม่ได้ทำเพื่อเธออย่างที่เข้าใจ ต่อให้เขามีเงินเหลือพอเหลือใช้เขาก็ยังจำเป็นต้องขายเลือดอยู่ดี สิ้นเปลือง...ก็อาจจะเรียกแบบนั้นได้ แต่หนิงชิงเชวี่ยกลับคิดว่าที่เขาทำทั้งหมดก็เพื่อหาเงินเลี้ยงดูเธอจนตัวเองต้องมารู้สึกผิดแบบนี้
จะเห็นได้ว่าเดิมทีนั้นตัวหนิงชิงเชวี่ยถือว่าเป็นหญิงสาวจิตใจงดงามคนหนึ่ง ทว่าด้วยสภาพแวดล้อมและฐานะทำให้เธอเกิดความรู้สึกสูงส่งภาคภูมิใจในตัวเอง...จนทำให้เธอไม่ค่อยจะชอบคนแปลกหน้านัก หรือเรียกว่าหยิ่งนั่นเอง แต่อันที่จริงแล้วหากลอกเปลือกที่ห่อหุ้มตัวเธอเอาไว้อยู่ล่ะก็...เธอก็เป็นแค่หญิงสาวจิตใจดีขี้สงสารคนหนึ่งเท่านั้น น่าเสียดายที่เธอยังสับสนระหว่างความรักกับความซาบซึ้งรู้สึกผิดอยู่ บางทีสักวันหนึ่งเธออาจจะเข้าใจ
เย่โม่ถอดถอนใจ ความรู้สึกอยากช่วยหนิงชิงเชวี่ยยิ่งแน่วแน่มากขึ้น ตอนนี้เขายังไม่อยากบอกเธอ ถึงยังไงทักษะที่เขามีก็คงดูแปลกประหลาดน่าพิศวงสำหรับคนธรรมดาทั่วไป มีแต่จะทำให้เธอหวาดกลัวเสียเปล่าๆ
ขณะที่เย่โม่คิดว่าหนิงชิงเชวี่ยผลอยหลับไปแล้วและเตรียมจะจี้สกัดจุดเธอเพื่อทำการรักษาอยู่นั่นเอง อยู่ๆ หนิงชิงเชวี่ยก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากระซิบ “พ่อคะแม่คะ หนูไปแล้วนะ...หนูมันลูกไม่รักดี หนูแต่งงานให้กับเย่โม่ไปแล้ว...กระเป๋าพยาบาลใบนี้เป็นสินสอดที่เขาเหลือไว้ให้ พอถึงเวลาก็อย่าเอากระเป๋าใบนี้ไปจากหนูนะ ในสวนมีดอกไม้อยู่ดอกหนึ่งที่หนูเหลือทิ้งไว้ให้เย่โม่...ถ้าเขามาแล้วก็เอาโทรศัพท์เครื่องนี้ให้เขาไปด้วย แต่ถ้าเขาไม่มา...” หนิงชิงเชวี่ยนิ่งไปนาน “งั้นก็ช่างเถอะ...”
“ขอโทษนะคะที่ทำให้ครอบครัวของเราต้องลำบากแล้วชิงหนีไปแบบนี้...”
เสียงของหนิงชิงเชวี่ยเบาลงอย่างกะทันหัน ขณะที่เย่โม่กำลังคิดจะบอกเธอว่าเขามาแล้วอยู่นั่นเอง...หนิงชิงเชวี่ยก็หยิบมีดเล่มหนึ่งออกมาจากกระเป๋าอย่างกะทันหัน เธอแทงไปที่คอของตัวเองทันที!
เย่โม่ตกตะลึง ตอนนี้เขาไม่สนใจเรื่องอื่นแล้ว เพียงก้าวเดียวเขาก็มาถึงตรงหน้าหนิงชิงเชวี่ย ด้วยว่าห่างกันไกลทำให้เขาคิดจะคว้ามีดไว้ก็คงไม่ทันเสียแล้ว เย่โม่จึงทำได้เพียงยื่นแขนไปขวางบริเวณคอของหนิงชิงเชวี่ย
มีดเล่มนั้นเสียบแขนของเย่โม่แต่ก็ถูกพลังปราณของเขาสกัดไว้ ทำให้มันไม่อาจแทงลึกไปมากกว่านี้อีก
เนื่องด้วยแรงที่ใช้มากเกินไป ทำให้หนิงชิงเชวี่ยสลบไปอีกครั้ง...เย่โม่ดึงมีดออก ถึงแม้มันจะแทงได้ไม่ลึกแต่ก็พอจะเรียกเลือดเขาได้อยู่บ้าง
เย่โม่หยุดเลือดจากแผล เมื่อเห็นว่าหนิงชิงเชวี่ยสลบไปแล้วก็เริ่มสกัดจุดเธออีกครั้ง ป้องกันไม่ให้เธอตื่นขึ้นมากลางคัน ทำเสร็จเขาจึงค่อยหยิบกระเป๋าพยาบาลออกจากอ้อมกอดของเธอ
แต่เย่โม่กลับพบว่าหนิงชิงเชวี่ยกอดกระเป๋าพยาบาลใบนี้เอาไว้แน่นมาก ถึงจะสลบไปแล้วแต่มือของเธอกอดรัดมันเอาไว้อย่างแน่นหนา นอกจากใช้แรงบังคับเอามา...ก็คงไม่มีทางเอากระเป๋าจากเธอได้
เย่โม่ส่ายหัวด้วยความจนใจ ทำได้เพียงเปิดกระเป๋าทั้งอย่างนั้น ของข้างในยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง...เย่โม่หยิบยาขึ้นมา 1 เม็ด และชุดเข็มข้างใน
เย่โม่ป้อน ‘ยาปกป้องหัวใจ’ เข้าไปในปากของหนิงชิงเชวี่ย 2 เม็ด จากนั้นจึงใช้พลังปราณช่วยเธอดูดซึมยาอีกแรง
เย่โม่หยิบเข็มเงินทั้ง 108 เล่มออกมา อัดพลังปราณเข้าไป พลิกร่างของหนิงชิงเชวี่ยแล้วถอดเสื้อบนของเธอออก