PTH37 ตอบรับคำขอ
ทันทีที่ขายหยกเย็นได้ พลับพลาหยกทองได้นำส่งศิลาวิญญาณที่เหลือหลังจากหัก 1 ใน 10 ส่วนไปแล้วให้กับเว่ยสั่วและหนานกงยู่ฉิง โดยนำมาส่งให้ถึงห้องรับรอง
รายได้ทั้งหมดที่ทั้งสองได้คิดเป็น 800 ศิลาวิญญาณระดับล่าง เงินจำนวนนี้นับว่ามากโข ทางพลับพลาหยกทองจึงจ่ายด้วยศิลาวิญญาณระดับกลาง 80 ก้อนแทน
“ตระหนี่จริงๆ”
เมื่อผู้เยาว์ในอาภรณ์ทองคำนำศิลาวิญญาณมาส่งให้เว่ยสั่วแล้วจากไป มันจึงบ่นกล่าวถึงเว่ยสั่ว
หยกเย็นประมูลได้ราคาดี การบริการของพลับพลาหยกทองก็จัดว่ายอดเยี่ยม มันจึงคิดว่าสมควรแล้วที่จะได้ค่าตอบแทนเล็กๆน้อยๆบ้าง แต่เว่ยสั่วกลับไม่มอบให้… หากมันได้รู้ความเป็นมาของเว่ยสั่ว รู้ว่าเว่ยสั่วเคยมีศิลาวิญญาณติดตัวแค่ไม่กี่ก้อน มันจะเข้าใจว่าเหตุใดเว่ยสั่วถึงตระหนี่
“ข้าฝากเจ้าเอาศิลาวิญญาณพวกนี้ไปให้พี่เย่กับน้องเย่ด้วย” เว่ยสั่วแบ่งศิลาวิญญาณระดับกลางไว้ 20 ก้อนเป็นของตน แล้วยื่นส่วนที่หนานกงยู่ฉิง
“ถึงบางครั้งพี่เย่จะน่ากลัวอยู่บ้าง แต่ก็เป็นคนดี” นางพยักหน้าพลางรับศิลาวิญญาณทั้งหมดไป แล้วกล่าวกับเว่ยสั่วด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เรากลับกันเถอะ”
“จะกลับแล้วเหรอ?” เว่ยสั่วกล่าวถาม “ไม่อยู่ดูต่ออีกหน่อยเหรอ?”
“ข้าไม่อยากเห็นหน้าหลี่หงหลิน” นางขดปากพลางกล่าว “ถ้ารอจนงานประมูลจบ เดี๋ยวมันก็จะเดินมาหาพวกเรา”
“เอางั้นก็ได้” เว่ยสั่วเห็นด้วยกับนาง ตอนนี้เขาได้ของที่ต้องการมาหมดแล้ว ซ้ำยังได้กระเป๋าเก็บสมบัติ หากยังรั้งอยู่ต่อกระทั่งพบของดีที่ถูกใจ เขาอาจเอากระเป๋าเก็บสมบัติไปแลกเป็นสิ่งเหล่านั้นมา ดังนั้นตอนนี้เขาสมควรกลับไปสร้างยันต์ด้วยพู่กันด้ามใหม่ แล้วหาศิลาวิญญาณเข้ากระเป๋าตัวเอง
“ของประมูลชิ้นต่อไป คือสร้อยสื่อสารสี่เส้น สามาาถติดต่อสื่อสารกันได้ในระยะทาง 300 ลี้ ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 300 ศิลาวิญญาณระดับล่าง”
ในขณะที่นางกำลังจะเดินออกจากห้องรับรองพิเศษ เสียงประกาศของผู้ดูแลพลับพลาหยกทองก็ดังขึ้น นางชงักฝีเท้าราวกับสนใจของประมูล
เว่ยสั่วสังเกตุเห็นสีหน้านางจึงเดินไปก้มมองของประมูล และสังเหตุเห็นสีหน้าแววตาของหลี่หงหลิน ที่กำลังมองเขาราวกับเยาะเย้ยถากถาง ราวกับมันเป็นผู้ชนะใจหนานกงยู่ฉิง
“เป็นอะไรไป? เจ้าอยากได้เหรอ?”
เว่ยสั่วจ้องมองสร้อยทั้งสี่เส้นเบื้องล่าง ภายในแคว้นสวรรค์ลึกล้ำ วิธีสื่อสารมีด้วยกันสองวิธี หนึ่งคือใช้อสูรสื่อสารที่ฝึกฝนมา อย่างอสูรจำพวกวิหค ด้วงศิลา และกระเรียนวิญญาณ ในการนำส่งข้อมูลไปยังสถานที่หนึ่ง อีกวิธีคือการใช้สมบัติ เช่นกระดาษที่ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษ เมื่อเขียนข้อความเสร็จสิ้น กระดาษแผ่นนั้นจะลอยไปยังเป้าหมายที่อยู่ในระยะ 500 ลี้
สมบัติสื่อสารอีกชิ้นคือสร้อยสื่อสารที่ปรากฏในงานประมูลครั้งนี้ หากเทียบกันแล้ว มันไม่ได้ดีกว่าดีวิธีการทั้งหมดที่กล่าวมา เพียงแต่มันใช้งานง่าย แค่กระตุ้นปราณเสียงก็จะส่งไปยังสร้อยเส้นที่เป็นหมายทันที นอกจากนี้มันยังถูกออกแบบมาให้คล้ายเครื่องประดับที่งดงาม
สร้อยสื่อสารลักษณะนี้ส่วนใหญ่จะใช้ในหมู่สหาย ใช้เพื่อส่งสัญญาหรือข้อความสั้นๆ ไม่อาจส่งผ่านข้อความจำนวนมากได้ เว่ยสั่วรู้ว่ามีวิธีส่งข้อมูลที่ดีกว่านี้ที่นิยมใช้ในนิกายหรือขุมกำลังใหญ่ แต่วิธีการเหล่านั้นกลับมีราคาที่แพง ดังนั้นหากให้เว่ยสั่วเลือก เขาคงเลือกสร้อยสื่อสารที่ราคาถูกกว่า
ผู้เข้าร่วมงานประมูลรู้ว่าสร้อยสื่อสารคือสิ่งใด รู้ว่ามันไม่ได้อรรถประโยชน์ในด้านการสื่อสารมากขนาดนั้น จึงมีคนประชันราคาเพียงเล็กน้อย ราคาจึงเพิ่มขึ้นเพียง 330 ศิลาวิญญาณระดับล่าง
“เจ้าอยากได้จริงๆเหรอ?” เว่ยสั่วประหลาดใจ เพราะในขณะที่เว่ยสั่วกำลังขบคิด หนานกงยู่ฉิงก็ประชันราคา
“350 ศิลาวิญญาณระดับล่าง”
การกระทำของนางทำให้ผู้คนประหลาดใจ ยามนี้ไม่มีผู้ใดสนใจจะประชันราคาต่อ แต่นางกลับเลือกที่จะประชันราคา
ผ่านไปครู่หนึ่ง เมื่อไม่มีผู้ใดประชันราคากับนาง สร้อยสื่อสารทั้ง 4 เส้นจึงถูกนำไปส่งยังห้องรับรองของนาง
“เดี๋ยว! ทำไมเจ้าให้สร้อยข้า 3 เส้น?” เว่ยสั่วตกใจ เพราะนางหยิบสร้อยไปเพียง 1 ที่เหลือยกให้เว่ยสั่ว
“รู้หรือเปล่าว่าทำไมข้าถึงซื้อสร้อยพวกนี้? ก็เพราะข้าอยากให้เจ้าตอบรับคำขอของข้า” นางยิ้มพลางกล่าว
“คำขออะไร?”
สีหน้านางแปรเปลี่ยนขุ่นเคือง “เจ้าสัญญากับข้าแล้วว่าหากข้ามีเรื่องให้เจ้าช่วย เจ้าจะไม่ปฏิเสธ เจ้าจะทุ่มสุดกำลังเพื่อช่วยข้า… เพราะฉะนั้น ถ้าข้าไม่ให้สร้อยพวกนั้นกับเจ้า ข้าติดต่อเจ้าได้ยังไง?”
เว่ยสั่วกล่าวไม่ออก
“เอาเถอะ ข้ายามใดที่ข้าเตรียมตัวพร้อม ข้าส่งข้อความผ่านสร้อยหยกไป เมื่อถึงยามนั้นให้เจ้ามาพบข้าที่ป้ายประกาศที่ใหญ่ที่สุดในทางเหนือของเมือง หากข้ามีเรื่องเร่งด่วน ข้าจะหาทางส่งข้อมูลให้เจ้าก่อน” นางจ้องมองเว่ยสั่วพลางกล่าวต่อ “เจ้ามีสร้อยสื่อสาร 3 เส้น ห้ามอ้างบอกว่าไม่ได้ยินข้อความข้า”
“ข้าไม่ทำแบบนั้นหรอกน่า...” เว่ยสั่วยิ้มเจื่อน “ยังไงก็เถอะ วันนี้ข้าได้พู่กันวาดยันต์ทองคำ ได้กระเป๋าเก็บสมบัติ แค่นี้ข้าก็รู้สึกดีแล้ว”
“อืม... งั้นเรากลับกันเถอะ” นางยิ้มอย่างงดงาม ก่อนจะเดินออกไปนอกห้องรับรองพร้อมเว่ยสั่ว
เมื่อออกมานอกจาก ทั้งสองกล่าวลาแล้วแยกย้ายกันไปคนละทาง
เว่ยสั่วอยากจะกอดลานางเหมือนกับตอนที่จากลาเย่เสี่ยวเจิ้งและเย่กู่เว่ย แต่เว่ยสั่วรู้ว่านางรู้ทันเจตนาที่ชั่วร้ายของเขา เขาจึงไม่กล้าขอกอดนาง
แม้จะเรียกนางว่าน้องหนานกงยู่ฉิงในคราวที่อยู่ในงานประมูล แต่เว่ยสั่วรู้สึกอยู่เสมอว่านางเป็นเหมือนพี่สาวคนหนึ่ง นางมีระดับพลังสูงกว่า มีประสบการณ์ที่มากกว่า นางจึงเหมือนพี่สาวของเขาจริงๆ
แต่ถึงจะบอกว่ารู้สึกเหมือนพี่สาว แต่ด้วยความที่เว่ยสั่วไม่เคยมีพี่สาว บิดามารดาจากไปตั้งแต่ยังเด็ก จึงทำให้เขาไม่เข้าใจคำว่าพี่สาวและความสัมพันธ์ในครอบครัว
“คิดหวังให้ข้าช่วย แต่ตัวข้าที่ระดับพลังเพียงแค่นี้ ยังเทียบหลี่หงหลินไม่ได้ด้วยซ้ำ”
เว่ยสั่วลูบสัมผัสสร้อยสื่อสารที่สวมอยู่ ใบหน้าเหม่อลอยครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับบ้านของตนไปเพื่อสร้าวยันต์และยกระดับพลัง...