บทที่ 72 ก้นจ้ำเบ้า
“อะไรนะ?” แม้ปกติแล้วผู่ตงเหวินจะสามารถพูดภาษาจีนได้อย่างคล่องแคล่วลื่นไหล ทว่าเวลานี้กลับถูกข้อเสนอของเฉินเว่ยหลินทำให้สำเนียงที่เคยถูกต้องถึงกับผิดเพี้ยนไป ตัวเขาถูกท้าประลองมาก็ 1 เดือนแล้ว ที่หนิงไห่แห่งนี้ไม่มีใครเก่งพอจะเป็นคู่มือเขาได้ มาตอนนี้กลับมีคนมาขอท้าประลองคนทั้งสำนักของเขา ทั้งยังต้องการประลองพร้อมๆ กันด้วย!
สีหน้าของผู่ตงเหวินเปลี่ยนเป็นแข็งกระด้าง “ได้สิ! แต่รอให้ผมแพ้ก่อนค่อยพูดเรื่องนี้! ให้ประลองกับผมก่อนจะได้ดูกันว่าจะยังปากดีแบบนี้ได้อีกไหม!? ไม่สิ…เขาจะยังมีแรงพูดอีกหรือเปล่า! ต้องขอโทษด้วย...ประธานเฉิน ฝากบอกเขาด้วยว่าหมัดเท้าไร้ตา…อย่าให้เขาไปสำนึกเสียใจทีหลังตอนนอนหยอดข้าวต้มในโรงพยาบาล! ถึงสำนักของเราจะเปิดรับผู้ท้าประลองก็จริง แต่ไม่ใช่ว่าพวกปลาซิวปลาสร้อยที่ไหนก็ได้จะมาท้าประลองแบบนี้! ถ้าอยากจะท้าประลองนักให้เขารีบมา!”
พูดจบเขาก็หันกลับไปนั่งหลับตาทำสมาธิ ไม่สนใจเฉินเว่ยหลินอีก
..........
“ว่าไงนะ! คนท้าประลองคู่ถัดไปอยากจะท้าสู้ทั้งสำนักเทควันโด!? อำกันเล่นรึเปล่า?”
“สุดยอด! เขาเป็นใครน่ะ เจ๋งว่ะ! ต่อให้แพ้ฉันก็จะสนับสนุนเขา!”
ผู้คนในโรงยิมเมื่อได้ยินข่าวนี้ก็ต่างพากันตื่นเต้น ข้อมูลนี่แพร่กระจายไปทั่วทั้งโรงยิม ด้วยเหตุนี้เองทำให้คนที่ยังกอดเส้นความหวังให้กลับมารู้สึกตื่นเต้นอีกครั้ง ถึงจะรู้ดีแก่ใจว่ามันเป็นไปไม่ได้แต่มันก็ยิ่งจุดไฟในตัวพวกเขาจนหยุดไม่อยู่แล้ว
เย่โม่รอไม่นานเฉินเว่ยหลินก็เข้ามาหา มีคนตามเขามาด้วยอีกหนึ่งคน ชายคนนั้นหยิบเอกสารข้อตกลงยื่นให้เย่โม่เซ็นต์ชื่อพร้อมทั้งปั๊มลายนิ้วมือ
รอจนชายคนนั้นเดินจากไปเฉินเว่ยหลินจึงพูดขึ้น “คนเกาหลีคนนั้นบอกว่า…หากคุณล้มเขาได้จึงจะถือว่ามีคุณสมบัติพูดเรื่องท้าสู้ทั้งสำนักเทควันโด ตอนนี้เขารออยู่ในสนามแล้ว”
โรงยิมที่อัดแน่นไปด้วยมวลอารมณ์ตื่นเต้นรอคอย ทว่าเมื่อเย่โม่เดินเข้าไปเสียงก็เริ่มเงียบลง ตอนแรกพวกเขาคิดว่าคนที่พูดจาอวดดีท้าประลองกับคนทั้งสำนัก ต่อให้ไม่สูงใหญ่เป็นยักษ์ปักหลั่น...แต่อย่างน้อยก็ควรดูกำยำแข็งแรงหน่อยไหม แต่คนที่เดินออกมากลับเป็นเย่โม่ที่ดูสงบเงียบ ดูไปแล้วก็เหมือนพวกบัณฑิตนักศึกษาจริงๆ
หลายคนไม่อยากได้รับความทรมานทางสายตาจึงค่อยๆ ออกจากโรงยิมอย่างเงียบๆ พวกเขาคิดในใจว่าถ้าไม่ใช่คู่มืออีกฝ่ายก็อย่าใช้วิธีต่ำๆ แบบนี้มาก่อกวน อย่างน้อยหลี่ปางฉี่ก็สูงถึง 190 เซ็นติเมตร แต่ไอ้หนุ่มชืออิ่งตรงหน้านี้ไม่เพียงร่างกายจะดูไม่กำยำแล้ว ท่าทางของเขายังดูไม่เหมือนยอดฝีมือศิลปะการต่อสู้เลยแม้แต่น้อย
ผู่ตงเหวินเองก็ประหลาดใจเช่นกัน พูดกันตรงๆ แล้วเขายังรู้สึกคาดหวังกับชายหนุ่มที่พูดจาอวดดีคนนี้อยู่บ้าง ทว่าเขากลับคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะเป็นชายหนุ่มคนหนึ่งเท่านั้น ถ้าให้พูดแล้วล่ะก็…เหล่าผู้คนที่มาท้าประลองเขาในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมานี้...ชายหนุ่มตรงหน้าที่ชื่อว่าชืออิ่งดูจะธรรมดาที่สุดแล้วในบรรดาคนเหล่านั้น
“นายคือคนที่ปากดีท้าประลองคนทั้งสำนักของพวกเราอย่างนั้นหรือ?” ผู่ตงเหวินชี้เย่โม่พลางถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ
เย่โม่กลับไม่ตอบคำถามของผู่ตงเหวิน เขาเพียงพูดเสียงเย็น “จะสู้กันก็เร็วๆ หน่อยเถอะ ผมยังมีธุระอื่นอีก…ไม่มีเวลาจะมาเล่นกับพวกดาวอังคารอย่างนาย”
พลังระดับผู่ตงเหวินเขามองแวบเดียวก็รู้แล้ว เขาเก่งกว่าเหวินตงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่หากต้องต่อสู้เอาชีวิตกันจริงๆ ชายคนนี้ย่อมไม่ใช่คู่มือของเหวินตงแน่นอน และหากต้องปะทะฝีมือกับชายที่ชื่อ ‘พี่หู’ ยอดฝีมือมวยอ่อนคนนั้นล่ะก็ยังถือว่าห่างชั้นกันไกลนัก ฝีมือแค่นี้ยังเรียกว่ายอดฝีมือได้อีกหรือ?
“พวกดาวอังคาร?” ผู่ตงเหวินทวนคำ ไม่นานก็รู้ว่าชายตรงหน้าล้อเลียนเขาว่าเป็นพวกไม่เคยเห็นโลกกว้าง เขาตอบกลับไปทันที “ฉันจะให้นายรู้ว่าสำนึกเสียใจมันเป็นยังไง!”
พูดจบผู่ตงเหวินก็เปิดก่อนด้วยคอมโบลูกเตะทันที ในความคิดของผู่ตงเหวินนั้นเย่โม่ไม่มีทางหลบพ้นแน่นอน เขาต้องการเตะเย่โม่ให้ลอยขึ้นก่อน จากนั้นตอนที่ไอ้หนุ่มคนนี้ร่วงลงพื้นก็ค่อยหมุนตัวเตะให้ขามันหัก ยังไม่พอ...หลังจากเย่โม่ร่วงลงมาขาหักแล้วเขาจะเตะสับไปที่หน้าให้ดั้งมันหักไปเลย!
เสียงเชียร์รอบสนามหยุดลงอย่างกะทันหัน ผู้คนจำนวนมากที่นี่เคยเห็นผู่ตงเหวินประลองมาแล้วก็หลายรอบ นี่เป็นครั้งแรกที่ผู่ตงเหวินเปิดสนามด้วยคอมโบลูกเตะทั้งยังรวดเร็วแบบนี้ด้วย ดูท่าแล้วการประลองอื่นๆ ของเขาก่อนหน้านี้ยังไม่ได้แสดงฝีมือออกมาอย่างเต็มที่เสียแล้ว
หญิงสาวจิตใจบอบบางทั้งหลายต่างไม่กล้ามองจุดจบของเย่โม่ พวกเธอหลับตาปี๋
เย่โม่เหยียดยิ้มมุมปาก ดูจากการลงมือของผู่ตงเหวินคนนี้แล้วเย่โม่ก็รู้ว่าทั้งชีวิตเขาคงมาไกลได้แค่นี้ ไม่อาจพัฒนาฝีมือได้อีกตลอดกาล ลงมือด้วยทัศนคติคับแคบแบบนี้...ถึงแม้เย่โม่จะไม่เคยฝึกศิลปะการต่อสู้ของจีนมาก่อน แต่เขาก็รู้ว่าพวกที่พอเริ่มลงมือก็ใช้กระบวนท่ากะเอาถึงตายแบบนี้...ไม่มีทางเป็นยอดคนได้ นอกเสียจากว่าเขาจะมีฝีมือเหนือกว่าคู่ต่อสู้มากมายหลายเท่าตัว
แล้ว...ผู่ตงเหวินคนนี้ต้องการน๊อคเขาตั้งแต่กระบวนท่าแรก? จะประเมินตัวเองสูงเกินไปแล้ว!
เย่โม่ไม่ขยับแม้แต่น้อย เขายืนนิ่งมองคอมโบลูกเตะของผู่ตงเหวินอย่างเย็นชา
จบแล้ว…ผู้ชมรอบข้างมองเย่โม่แล้วต่างพากันลอบถอนหายใจ แม้แต่จะหลบยังทำไม่ได้เลย นี่มันจะน่าอนาถเกินไปแล้ว! เฉินเว่ยหลินคิดอะไรอยู่ถึงได้หาคนมาเป็นกระสอบทรายแบบนี้
แผนของผู่ตงเหวินนั้นดีเยี่ยม ทั้งตัวเขาเองยังคิดด้วยว่ากระบวนท่าของเขานั้นไร้ผู้ต้านทาน หรือพูดอีกอย่างคือจากประสบการณ์ที่เขาต่อสู้ผ่านมา...การจะทำแผนกระบวนท่าต่อเนื่องนี้ให้สำเร็จนั้นไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย หรือต่อให้ล้มเหลวเขาก็ยังมีกระบวนท่าอื่นอีก ไม่ส่งผลกระทบต่อตัวเขาแม้แต่น้อย
น่าเสียดาย…คู่ต่อสู้ของเขาคือเย่โม่
การลงมือครั้งแรกของเย่โม่คือยื่นมือเข้ามาคว้าจับเท้าของผู่ตงเหวิน ลงมือครั้งที่สองก็แกว่งตัวผู่ตงเหวินให้ลอยขึ้น จากนั้นตามด้วยเตะ 2 ครั้งไปยังเข่าทั้ง 2 ข้างของผู่ตงเหวิน
ผู่ตงเหวินยังไม่ทันได้ร้องการลงมือครั้งที่สามของเย่โม่ก็มาถึงเสียแล้ว เขาเตะไปที่กลางหน้าอกอย่างจัง การลงมือครั้งสุดท้ายของเย่โม่คือการเตะสับไปที่ดั้งของผู่ตงเหวินนั่นเอง
ความเจ็บปวดทรมานอันแสนสาหัสทำให้ผู่ตงเหวินร้องออกมา คำสุดท้ายที่เขาได้ยินคือ ‘ผมจะให้นายได้สัมผัสกระบวนท่าห่านป่าร่อนพื้นทรายก้นจ้ำเบ้า’ ฟังจบเขาก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังนั่งอยู่ในกระบอกทรงกลมอันหนึ่ง พร้อมขยะนับไม่ถ้วนกองทับหน้าเขาเอาไว้
เย่โม่เดินออกจากสนามได้หลายวินาทีแล้ว ผู้คนรอบข้างจึงค่อยส่งเสียงเชียร์ดังกึกก้องราวกับฟ้าร้อง! เขาจัดการชายเกาหลีที่ทำท่าทีหยิ่งยโสมาร่วมเดือนได้สบายๆ ด้วยการเตะจนลอย ‘กล้าดียังไงถึงมาอวดดีที่แผ่นดินจีนแห่งนี้! เทควันโดอะไรกัน มันก็แค่ศิลปะการต่อสู้ที่บรรพบุรุษสมัยราชวงศ์ถังของพวกเราถ่ายทอดให้ชาวเกาหลีที่เพนนินซูล่าเท่านั้นเอง มาตอนนี้กลับบอกว่าเป็นวิชาของตัวเอง มาเจอกับวิชาของบรรพบุรษเราก็ต้องก้นจ้ำเบ้าแบบนี้แหละ!
ภายโรงยิมเกิดเสียงพูดคุยกันวุ่นวายขึ้นมา มีโทรศัพท์ตั้งไม่รู้กี่สายถูกโทรออก หรือไม่ก็รับสายกันวุ่นวาย
“รีบๆ หน่อย จริงดิวะ! ถูกโค่นลงแล้ว! กระบวนท่าเดียวด้วย เจ๋งสาดดดด! คงมีรอบต่อไปอีกแน่เลย มึงรีบมาดิ๊! แต่ข้างในไม่มีที่ว่างแล้วนะ...”
“ฮ่า!ฮ่า!ฮ่า!ฮ่า! ใครใช้ให้ออกไปก่อนเล่า เออ! ดีที่กูไม่ฟังมึงนะ เมื่อกี้โครตสุดยอดเลย! กระบวนท่าเดียวเอง ว่าไงนะ? เขาใช้ท่าอะไร? คิดซะว่าเหมือนบรูซลีก็แล้วกัน จริงสิวะ เสียดายซะ! ไม่มีเวลาพูดกับมึงแล้ว กูยังต้องดูไอดอลของกูต่อ...”
“ไม่ได้การ...ฉันตกหลุมรักพี่ชืออิ่งแล้ว ให้ฉันแต่งกับพี่เถอะ...”
“หยุดน้ำลายหกได้แล้ว! รูปร่างอย่างนี้ เห้อ...คงยากหน่อยนะ”
“เหมียวหยวน อยากตายเรอะ…”
……….
“ว่าไงนะ!? ในที่สุดก็ชนะแล้ว? ในกระบวนท่าเดียวด้วย? พระเจ้า! ทำไมฉันดวงซวยอย่างนี้! ดูมาตั้ง 1 เดือนแต่กลับไม่ได้ดูรอบสุดท้าย! ไม่ได้การ...ต้องรีบไปดูแล้ว โครตน่าตื่นเต้น...” ชายหนุ่มที่กำลังนั่งกินข้าวรีบวางโทรศัพท์แล้ววิ่งออกไปทันที
“เห้ย! ยังไม่ได้จ่ายตังค์เลย...” ตอนที่เถ้าแก่ตะโกนออกไปก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของชายหนุ่มคนนั้นแล้ว