PTH36 ราวกับบุบผาผลิบาน
“1800 ศิลาวิญญาณระดับล่าง”
“2000 ศิลาวิญญาณระดับล่าง”
ราคาประชันสูงจนถึงขนาดที่ทำให้ทุกคนต้องกลืนน้ำลาย คาดไม่ถึงว่าการประชันราคากระเป๋าเก็บสมบัติจะดุเดือดขนาดนี้
ผู้ฝึกตนในอาภรณ์เขียวรูปร่างอ้วนท้วน อยู่ข้างๆห้องของหลี่หงยี่ประชันราคาไม่ยอมแพ้ ทำให้กระเป๋าเก็บสมบัติจากราคาเพียง 900 ศิลาวิญญาณระดับล่าง พุ่งสูงถึง 2000 ศิลาวิญญาณระดับล่าง
“ไม่ธรรมดาจริงๆที่ประชันราคามาได้ขนาดนี้... ดูเหมือนพวกมันจะมีศิลาวิญญาณมากมายให้ถลุง” เว่ยสั่วสังเกตุสีหน้าของหลี่หงหลินยิ่งมายิ่งไม่สู้ดี เหงื่อบนหน้าผากเริ่มผุด แต่แววตายังไม่ยอมแพ้ อยากจะเอาใจหนานกงยู่ฉิงให้ได้
“ใครเป็นน้องหนานกงยู่ฉิงของเจ้า?” นางกล่าวกระซิบกับเว่ยสั่ว
หลี่หงหลินสังเกตุเห็นหนานกงยู่ฉิงกระซิบกระซาบกับเว่ยสั่ว สีหน้ามันแปรเปลี่ยน ขบฟันประชันราคาสู้ “2300 ศิลาวิญญาณระดับล่าง!”
“เป็นถึงนายน้อยแห่งวังเหยี่ยวทองคำ ไม่แปลกที่จะมั่งคั่งขนาดนี้”
“พวกเจ้าดูเอาไว้ หากไม่กล้าลงทุนซื้อของล้ำค่าให้กับผู้ที่หมายตา เหตุใดจะยังเรียกขานตนเองว่าบุรุษได้” หลี่หงหลินกล่าวอย่างองอาจ ทำให้ผู้คนในงามประมูลส่งเสียงฮือ เหล่าสตรีที่เข้าร่วมประมูลรู้สึกราวกับหลี่หงหลินกำลังพยายามเกี้ยวพาบางคน
ราคาที่พุ่งสูงขึ้นทำให้ผู้ที่ร่วมประชันราคาคนอื่นๆไม่กล้าประชันราคาต่อ เมื่อไม่มีผู้ใดกล้าประชันราคา ผู้ดูแลพลับพลาหยกทองจึงให้ผู้เยาว์ข้างกาย เดินนำกระเป๋าเก็บสมบัติไปให้หลี่หงหลิน ผู้คนมองตามกระเป๋ากระทั่งเข้าสู่ห้องรับรองของหลี่หงหลินไป
“คุณชายหลี่ กระเป๋าเก็บสมบัติเป็นของท่าน”
ผู้เยาว์คนนั้นยื่นส่งกระเป๋าให้กับหลี่หงหลินอย่างนอบน้อม
เมื่อดูใกล้ๆ กระเป๋าเก็บสมบัติงดามเป็นอย่างมาก มีขนาดเล็กเท่าไข่ไก่ มีลวดลายประดับประดางดงาม มีอักขระเปล่งแสงวาววับ นับว่าออกแบบมาได้เป็นอย่างดี
“ตามกฏของพลับพลาหยกทอง หากมีศิลาวิญญาณไม่พอ สามารถใช้สิ่งอื่นที่มีค่าทัดเทียมแทนได้ใช่มั้ย?” หลี่หงหลินกล่าวถามผู้เยาว์ที่มา
ผู้เยาว์คนนั้นประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็ตอบกลับไปด้วยความนอบน้อม “หากสิ่งที่ท่านนำมาทดแทนมีค่ามากพอก็ไม่มีปัญหา”
“ในกระเป๋าใบนี้มีศิลาวิญญาณระดับกลางอยู่ 2000 ก้อน” หลี่หงหลินคิ้วกระตุก พลางปลดเอากระเป๋าหนังใบหนึ่งยื่นให้ ก่อนจะนำไข่ใบหนึ่งที่มีขนาดเท่าไข่นกพิราบออกมา พลางกล่าว “ไข่ใบนี้เป็นไข่ของอสูรบินระดับ 4 สามารถฟักและนำไปเลี้ยงได้ ราคาอย่างน้อยอยู่ที่ 300 ศิลาวิญญาณระดับล่าง”
“ไข่ของวิหคบิน… ตกลง” ผู้เยาว์รับกระเป๋าศิลาวิญญาณและไข่มา ก่อนจะป้องมือด้วยความเคารพ แล้วเดินกลับออกมา
“ช้าก่อน!” ในขณะที่ผู้เยาว์คนนั้นกำลังจะไป หลี่หงหลินกลับรั้งผู้เยาว์คนนั้นไว้ “ข้ามีศิลาวิญญาณไม่มากพอที่จะจ่ายตามราคาที่ประมูลไว้ จึงได้นำไข่ใบนั้นจ่ายแทน แต่เจ้าช่วยบอกผู้ดูแลพลับพลาหยกทองด้วยว่า อย่าเพิ่งเอาไข่ใบนั้นไปขาย รอข้าอีกสองสามวัน ข้าจะหาศิลาวิญญาณมาไถ่คืน”
ผู้เยาว์คนนั้นพยักหน้า “หากเป็นคนอื่น พลับพลาหยกทองเราย่อมปฏิเสธ แต่ท่านเป็นลูกค้าประจำ คำขอแค่นี้ย่อมได้… ข้าจะบอกผู้ดูแลพลับพลาให้ ท่านไม่ต้องกังวล”
“ขอบใจมาก” หลี่หงหลินยิ้มพลางกล่าว ก่อนจะนำกระเป๋าเก็บสมบัติและพู่กันทองคำวางคืนลงไปบนถาดในมือผู้เยาว์คนนั้น “ข้าวานเจ้าอีกอย่างหนึ่ง… เอาสองสิ่งนี้ไปห้องรับรองตรงนั้น มอบให้กับหนานกงยู่ฉิง บอกว่าเป็นขวัญจากข้า”
ผู้เยาว์พยักหน้ารับคำก่อนจะนำสิ่งของไปส่งตามที่หลี่หงหลินไหว้วาน
ในขณะเดียวกัน หลี่หงหลินขบคิด “นางต้องการพู่กันทองคำไปทำไม? หรือนางจะประมูลไปให้ผู้สร้างยันต์ในเถี่ยเซ่อ?”
ผู้เยาว์นำของทั้งสองสิ่งมายังห้องรับรองของเว่ยสั่วและหนานกงยู่ฉิง
“พี่หลี่หงหลินเป็นคนใจกว้างจริงๆ!”
ยามนี้เว่ยสั่วมีความสุขเป็นอย่างมาก คาดไม่ถึงว่านอกจากจะได้กระเป๋าเก็บสมบัติ ยังได้พู่กันทองคำอีก
ผู้เยาว์ที่นำของมาส่งจ้องมองเว่ยสั่วราวกับเห็นเขาเป็นผู้ที่น่าเวทนา มันคิดว่าหนานกงยู่ฉิงน่าจะหันไปสนใจหลี่หงหลินที่มั่งคั่งกว่า แต่ในขณะนั้น จู่ๆเว่ยสั่วก็กล่าวขึ้น “ข้ามีเรื่องอยากจะถามเจ้า หลี่หงหลินเพิ่งซื้อกระเป๋าเก็บสมบัติไป ตอนนี้มันเหลือศิลาวิญญาณอยู่เท่าไหร่?”
“ข้าเองก็ไม่รู้” ผู้เยาว์คนนั้นกล่าวตอบเว่ยสั่วอย่างไม่ปิดบัง “ข้าว่าน่าจะเหลือศิลาวิญญาณติดตัวไม่มาก เพราะเมื่อครู่ที่ประมูลกระเป๋าได้ ศิลาวิญญาณที่มีไม่พอจ่าย จึงต้องใช้ไข่อสูรแลกเปลี่ยนแทน”
“ขอบใจเจ้ามาก”
“เจ้านี่มันเหลือเกินจริงๆ หลอกให้หลี่หงหลินสูญศิลาวิญญาณไปมากขนาดนั้นยังไม่พอใจอีกเหรอ?” เมื่อผู้เยาว์จากไป หนานกงยู่ฉิงก็กล่าวขึ้น
“ข้าไม่ได้หลอกอะไรสักหน่อย มันยอมมอบให้เจ้าด้วยความเต็มใจมากกว่า” เว่ยสั่วกลับเข้าไปนั่งในห้อง ไม่ได้ยืนชมของประมูลเหมือนก่อนหน้า ทำให้หลี่หงหลินมองไม่เห็น
“พู่กันอันนี้สุดยอดจริงๆ”
เว่ยสั่วกล่าวในใจ พู่กันวาดยันต์ดูราวกับหล่อขึ้นจากทองคำทั้งด้าม แวววาว เป็นประกายต้องตา เมื่อลองหยิบพู่กันขึ้นมา กวัดแกว่งวาดอักขระยันต์ รู้สึกลื่นไหลราวกับสายน้ำที่ได้ไหลลื่นราวกับสายน้ำ
“แม่นางยู่ฉิง หากไม่ใช่เพราะเจ้า หลี่หงหยินคงไม่มอบของล้ำค่าให้” เมื่อกวัดแกว่งพู่กันเสร็จ เว่ยสั่วก็กล่าวถามนาง “ข้าขอยืมพู่กันนี้ได้หรือเปล่า ข้าจำเป็นต้องใช้”
“เจ้าเอาไปทั้งหมดเลย ข้าไม่อยากได้ของจากหลี่หงหลิน” นางจ้องมองเว่ยสั่วพลางกล่าว “อีกอย่าง ดูจากสีหน้าเจ้า เหมือนเจ้าอยากได้ใจจะขาด”
“ของพวกนี้มีมูลค่ามากกว่า 3000 ศิลาวิญญาณระดับล่างเชียวนะ!” เว่ยสั่วยิ้มปริ่ม แต่แล้วกลับนึกถึงบางสิ่งจึงกล่าวถามนาง “จะว่าไป ข้าไม่ค่อยเข้าใจความคิดเจ้าเท่าไหร่ หลี่หงหลินเป็นถึงบุตรชายของจ้าววังเหยี่ยวทองคำ ระดับพลังสูงส่ง อายุยังเยาว์ หน้าตาหล่อเหลา ใจกว้าง… ทำไมเจ้าถึงไม่ชอบมัน?”
“ก็เหมือนกับที่เจ้าไม่ยอมเข้าร่วมเถี่ยเซ่อนั่นแหละ… หากข้ายอมเป็นของหลี่หงหลิน ข้าก็ต้องเข้าร่วมวังเหยียวทองคำและขาดอิสระไป” นางจ้องมองเว่ยสั่วพลางกล่าว “ข้ายังได้ยินมาอีกว่า หากผู้ใดเข้าร่วมกับวังเหยี่ยวทองคำแล้วจะไม่สามารถแยกตัวออกจากที่นั่นได้”
“ขนาดนั้นเลยเหรอ?”
…
“ของประมูลชิ้นต่อไปคือหยกเย็นขนาดใหญ่ ไร้ที่ติ นับเป็นหยกเย็นคุณภาพสูงที่หาได้ยากยิ่ง ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 600 ศิลาวิญญาณระดับล่าง” ผู้ดูแลพลับพลาหยกทองประกาศของประมูลชิ้นต่อไป เว่ยสั่วและหนานกงยู่ฉิงตื่นเต้นสนใจ
“700 ศิลาวิญญาณระดับล่าง”
“800 ศิลาวิญญาณระดับล่าง”
เว่ยสั่วแอบมองหยกเย็นที่ตั้งแสดงอยู่บนเวที เดิมทีที่หยกเย็นมีรอยแตกร้าว พลับพลาหยกทองได้ขัดตกแต่งกระทั่งรอยแตกขนาดเล็กนั่นหายไป กลายเป็นหยกเย็นเรียบเนียน แม้หยกเย็นจะมีรอยตำหนิเล็กน้อยก็ยังนำไปสร้างเป็นอาวุธได้ แต่หยกเย็นที่เข้าประมูลจัดเป็นหยกเย็นไร้ที่ติ ทำให้ผู้คนสนใจ ประชันราคากันอย่างดุเดือด กระทั่งพุ่งสูงถึง 1500 ศิลาวิญญาณระดับล่าง
ถึงแม้จะต้องแบ่งรายได้ส่วนที่เพิ่มมาจากการประมูลให้กับหนานกงยู่ฉิง เย่เสี่ยวเจิ้งและเย่กู่เว่ย รวมถึงต้องแบ่งรายได้ให้พลับพลาหยกทอง 1 ใน 10 ส่วน แต่อย่างน้อยๆเว่ยสั่วก็จะได้ 200 ศิลาวิญญาณระดับล่าง
พู่กันวายันต์ทองคำ กระเป๋าเก็บสมบัติ ศิลาวิญญาณระดับล่าง 200 ก้อน เว่ยสั่วในยามนี้มีความสุข ใบหน้ายิ้มแย้มราวกับบุบผาผลิบาน...