บทที่ 71 อวดดีมันต้องแบบนี้!
หลี่ปางฉี่รู้สึกตกตะลึง อาจารย์ของเขาเคยบอกไว้…ในโลกของผู้ฝึกยุทธระดับที่สูงที่สุดก็คือระดับสวรรค์ ถึงแม้เขาจะฝึกมาร่วม 10 กว่าปีก็ยังไปไม่ถึงระดับต่ำสุดของผู้ฝึกยุทธ ‘ระดับเหลือง’ ด้วยซ้ำ ตอนนี้เขาแตะขอบระดับยอดฝีมือเท่านั้น ว่ากันว่าผู้ที่ฝึกถึงระดับสวรรค์นั้นมีน้อยยิ่งกว่าน้อย หรือพูดได้ว่าไม่มีใครเคยเจอคนเหล่านี้กับตัวเลยแม้แต่คนเดียว
อาจารย์ของเขาเองก็มีฝีมือพอจะนับได้ว่าเป็นระดับเหลืองต้นๆ เท่านั้น...ไม่มีทางพัฒนาฝีมือต่อไปได้อีกแล้ว ยอดฝีมือที่แท้จริงล้วนมากจากเหล่าตระกูลโบราณหรือไม่ก็กองกำลังลับทั้งนั้น แต่คนเหล่านี้ปกติแล้วจะไม่เปิดเผยตัวเองออกมาสู่โลกภายนอก พวกเขาตามหาจุดสูงสุดของพลัง ดังนั้นคนธรรมดาทั่วไปจึงพบเห็นพวกเขาเหล่านี้ได้ยาก
หากวันใดมีคนสามารถสกัด ‘หมัดพายุฝน’ ของเขาได้ นั่นก็หมายความว่าคนผู้นั้นได้ไปแตะธรณีประตูของระดับเหลืองแล้ว และเขาก็ไม่ใช่คู่มือของคนประเภทนี้
ตอนนี้ ‘หมัดพายุฝน’ ได้ถูกใช้ออกไปแล้ว แต่คู่ต่อสู้ชาวเกาหลีของเขาก็ยังคงยืนหยัดมั่นคงราวกับภูเขาไท่ซาน หลี่ปางฉี่คิดถึงคำพูดของอาจารย์ขึ้นมา เขารู้ว่าท่าไม่ดีจึงรีบถอยมาตั้งรับทันที
ทว่าเวลานี้เองที่ผู่ตงเหวินคล้ายกับแยกร่างออกมาเป็น 2 ร่าง ช่วงขณะลมหายใจที่หลี่ปางฉี่ลังเล ผู่ตงเหวินก็เตะเข้าตรงกลางอกของหลี่ปางฉี่ทันที!
ความเจ็บปวดจากกระดูกซี่โครงที่ถูกเตะหัก ทำให้หลี่ปางฉี่ลืมแม้กระทั่งว่าตัวเองถูกเตะลอยออกมาจากสนามประลองแล้ว แต่ไม่นานเขาก็ตั้งสติได้ เขาแพ้แล้ว ทั้งยังถูกคนที่เป็นแค่รองเจ้าสำนักโค่นอีก ตัวเจ้าสำนักยังไม่แม้กระทั่งโผล่หน้าออกมาเลยด้วยซ้ำ เวลานี้แม้แต่ความเจ็บปวดตรงกระดูกซี่โครงเขายังไม่มีอารมณ์จะไปสนใจแล้ว เหลือเพียงความอับอายเท่านั้นที่เขารู้สึกได้ในเวลานี้ ไอ้พวกเกาหลีมันขโมยสิ่งที่บรรพบุรุษชาวจีนสร้างขึ้นมาแล้วใช้มันโค่นเขา!
เสียงที่เคยดังเซ็งแซ่ในโรงยิมกลับเปลี่ยนเป็นเงียบสงัดราวกับป่าช้า หลี่ปางฉี่...ตัวแทนของยอดฝีมือที่เก่งที่สุดในหนิงไห่ แม้แต่กับแค่รองเจ้าสำนักคนหนึ่งยังสู้ไม่ได้ แล้วแบบนี้จะให้คนดูหลายพันคนทนได้อย่างไร? สาเหตุที่หลี่ปางฉี่เพิ่งลงมือท้าประลองวันนี้ก็เพราะเมื่อวานเขาเพิ่งกลับจากปักกิ่ง ใครจะคิดว่าพอกลับมาไม่ทันไรก็ต้องพ่ายแพ้แบบนี้
เฉินเว่ยหลิน...รองหน้าสมาคมศิลปะการต่อสู้ของหนิงไห่ ขณะเดียวกันเองก็เป็นประธานนักศึกษามหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของหนิงไห่ เขาพูดขึ้นด้วยความหดหู่ “รีบพาหลี่ปางฉี่ไปส่งโรงพยาบาลเร็ว! ครั้งนี้พวกเราขอยอมแ...”
บนอัฒจันทร์ตอนนี้เต็มไปด้วยเสียงโห่ร้องแสดงความไม่พอใจ หลายคนเริ่มเดินออกจากที่นั่งด้วยอารมณ์สลดหดหู่ ทว่าตอนนั้นเองที่โทรศัพท์ของเฉินเว่ยหลินดังขึ้นอย่างกะทันหัน เขารับโทรศัพท์...ฟังได้ประโยคเดียวก็ร้องตะโกนออกมาด้วยความยินดี “ว่าไงนะ? หาเจอแล้ว? ดี! ที่นี่ให้ผมจัดการเอง...”
“ผู้ดูแลผู่! คืนนี้พวกเรายังมีสมาชิกสมาคมศิลปะการต่อสู้ที่ยังอยากท้าประลองพวกคุณอยู่ คนนี้เป็นคนสุดท้ายแล้ว ถ้าครั้งนี้ยังโค่นคุณไม่ได้…ผมตัวแทนสมาคมศิลปะการต่อสู้แห่งหนิงไห่ จะไม่ท้าประลองพวกคุณอีก!” คำพูดของเฉินเว่ยหลินเรียกความสนใจจากผู้ชมรอบข้างได้เป็นอย่างดี หากไม่ขอท้าประลองอีก...นั่นหมายความว่าได้ยอมรับสถานะของอีกฝ่ายแล้ว เฉินเว่ยหลินเป็นบ้าไปแล้ว!
“ฮ่า!ฮ่า!ฮ่า!ฮ่า! ยินดีรับคำท้า! มวยเกาหลีของพวกเราไม่กลัวคำท้าอยู่แล้ว! กลัวแค่ไม่มีใครกล้าก็เท่านั้น! ผมก็สงสัยอยู่ว่าผ่านมาหลายวันแล้วทำไมถึงมาท้าแค่คนเดียว ที่แท้ก็มีอีกคนนี่เอง” ผู่ตงเหิงหัวเราะออกมาด้วยความอวดดี ยิ่งมาท้าสู้เยอะเท่าไหร่ยิ่งดี สำนักเทควันโดสไตล์เกาหลีของพวกเขาจะยิ่งมีชื่อเสียงมากขึ้นไปอีก!
“ว่าไงนะ ยังมีคนท้าประลองอีกหรือ? อยู่เชียร์เขากันเถอะ! เอาให้ไอ้พวกเกาหลีรู้สำนึกว่าศิลปะการต่อสู้ของจีนที่แท้จริงมันเป็นยังไง!”
“ใช่แล้ว! อยู่เชียร์พวกเขาต่อกันเถอะ...”
“อยากอยู่พวกนายก็อยู่กันไปเถอะ ฉันช้ำมาพอแล้ว ไปล่ะ!”
“จริงด้วย! ไปกันเหอะ สุดท้ายพวกที่เหลือก็ทำได้แค่เชียร์พวกเกาหลีเท่านั้น”
...
เสียงพูดคุยกันดังเซ็งแซ่ ผู้ชมหายไปกว่าครึ่ง โรงยิมจากที่เคยแออัดเนืองแน่นกลับมีที่ว่างขึ้นมาอย่างกะทันหัน ทว่าคนข้างนอกที่ไม่มีโอกาสเข้ามาดูตอนแรก...เมื่อได้ยินว่ายังมีคนขอท้าประลองต่อ ทั้งยังมีคนดูเหลืออยู่อีกเยอะ พวกเขาก็รีบเบียดเข้ามาข้างในทันที โรงยิมมีที่ว่างได้พักเดียวก็ค่อยๆ ถูกเติมเต็มอีกครั้ง
“เป็นใครกันแน่ที่ยังอยากท้าประลอง? ต่อให้เขาแพ้ฉันก็จะสนับสนุนเขา อย่างน้อยเขาก็ไม่ใช่คนขี้ขลาด!”
“ถูก! เราต้องสนับสนุนเขา ไม่เหมือนคนบางคนที่พอเห็นเราแพ้หน่อยก็หมดไฟกันแล้ว ถึงว่าพวกเกาหลีถึงได้ห้าวแบบนี้”
“เห็นว่าเฉินเว่ยหลินรับโทรศัพท์แล้วก็จัดประลองทันทีเลย ไอ้พวกเกาหลีต้องการให้คนท้ามันอยู่แล้ว พวกมันจะได้ยิ่งมีชื่อเสียงขึ้นไปอีก”
“มีชื่อเสียง? ไม่แน่หรอก…การประลองยังไม่เริ่มเลยพวกมันก็มันใจกันเสียเต็มประดาเชียวนะ!”
……….
เย่โม่มาถึงมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งหนิงไห่แล้ว เขาไม่คาดคิดว่าในโรงยิมจะมีคนเยอะมากขนาดนี้ หากจะบรรยายว่ามีคลื่นผู้คนมากราวกับคลื่นทะเลก็คงจะไม่เกินไปนัก ถึงแม้ตัวเย่โม่เองจะไม่ชอบความอึกทึกครึกโครมและมักจะเลือกปลีกตัวฝึกฝนอยู่คนเดียวเสียมากกว่า แต่กับนักศึกษาเลือดร้อนและความกระตือรือร้นของประชาชนชาวหนิงไห่แล้ว กลับทำให้เย่โม่เกิดความรู้สึกร่วมขึ้นมา เขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีคนเดินออกจากโรงยิมไปแล้วกว่าครึ่งก่อนหน้านี้
เย่โม่เดินตามฟางเว่ยเฉิงเข้าประตูด้านหลังของโรงยิม ไม่มีใครเข้ามาทักทายหรือพูดอะไรด้วย สาเหตุก็เพราะตัวเขาดูแล้วธรรมดาเกินไป เทียบกับนักศึกษาทั่วไปแล้วก็ไม่มีอะไรแตกต่างแม้แต่น้อย
“พี่ฟาง หาคนนั้นเจอแล้วหรือ? เขามาแล้วใช่ไหม? อยู่ไหนล่ะ?” เฉินเว่ยหลินเห็นฟางเว่ยเฉิงก็เข้ามาถามไถ่ด้วยความยินดี
“เขาคนนี้นี่แหละ ชืออิ่ง…สุดยอดปรมาจารย์ในโลกศิลปะการต่อสู้” ฟางเว่ยเฉิงชี้ไปทางเย่โม่
“อา...” เฉินเว่ยหลินนิ่งค้างไปพักหนึ่ง ทำไมถึงได้กลายเป็นชายหนุ่มท่าทางสงบเงียบคนนี้เล่า!? แต่เขาก็ตั้งสติได้ในทันที ท่าทีของเขาดูจะเสียมารยาทเกินไปแล้ว เขารีบยื่นมือออกไปทันที “ปรมาจารย์ สวัสดีครับ ผมชื่อเฉินเว่ยหลิน รองประธานสมาคมศิลปะการต่อสู้แห่งหนิงไห่ เห็นว่าคุณมีฝีมือร้ายกาจ…แต่ผู่ตงเหวินคนนั้นก็มีฝีมือไม่เบาเช่นกัน อยากให้ผมเปิดวิดีโอการแข่งของเขาก่อนหน้าให้ดูสักหน่อยไหม?”
เย่โม่โบกมือ “ผมมีเวลาไม่มาก เรื่องวิดีโอน่ะช่างเถอะ ยิ่งแข่งเร็วยิ่งดี”
เฉินเว่ยหลินอ้าปากค้าง อวดดีสุดๆ! อวดดีเกินไปแล้ว! คนที่เคยท้าประลองกับผู่ตงเหวินล้วนศึกษาวิดีโอการออกกระบวนท่าของเขาแทบทั้งนั้น ทั้งยังวิเคราะห์กันซ้ำไปซ้ำมาเสียด้วย ต่อให้ทำถึงขนาดนั้นก็ยังไม่มีใครสามารถยืนหยัดต่อหน้าผู่ตงเหวินได้เกิน 20 นาทีเลยแม้แต่คนเดียว
ชายที่ชื่อชืออิ่งคนนี้ตกลงเป็นใครกันแน่? เป็นไปได้ไหมว่าเว่ยเฉิงจะมองคนผิด? หากขึ้นไปสู้แค่แปปเดียวแล้วถูกคนลากลงมาล่ะก็...บาดแผลของเขาน่ะเรื่องเล็ก แต่ชื่อเสียงสมาคมก็จะสูญหายไปจนหมด คิดถึงตรงนี้เฉินเว่ยหลินก็มองฟางเว่ยเฉิง เขาอยากรู้ว่าฟางเว่ยเฉิงจะพูดยังไง
เมื่อเห็นสายตาของเฉินเว่ยหลิน ฟางเว่ยเฉิงก็โบกมือ “ประธานเฉิน คุณจัดการไปตามที่ชืออิ่งบอกเถอะ เวลาของเขามีจำกัด ให้ดีที่สุดเอาให้เสร็จเรียบร้อยภายใน 3 ชั่วโมง เรียกให้เจ้าสำนักกับรองสำนักเทควันโดเกาหลีขึ้นมาประลองพร้อมกันเลย รับประกันได้ว่าหลังจากประลองไอ้พวกเกาหลีมันจะหาทางกลับบ้านมันแทบไม่ทัน”
ฟางเว่ยเฉิงชื่นชมฝีมือของเย่โม่มาก เขาไม่เชื่อว่าเจ้าสำนักเทควันโดเกาหลีจะซัดเขาจนหมอบได้ในครั้งเดียวแบบที่ชืออิ่งคนนี้ทำได้ ทั้งยังมีท่าทีสบายๆ เสียด้วย
เมื่อเห็นว่าฟางเว่ยเฉิงพูดถึงขนาดนี้ เฉินเว่ยหลินเองก็ไม่ได้พูดอะไรให้มากความอีก เขามองเย่โม่แล้วก็หันหลังไปจัดการแข่งทันที
“รอเดี๋ยว!” เย่โม่กลับเรียกเฉินเว่ยหลินเอาไว้
“ยังมีเรื่องอะไรอีกรึเปล่าครับ? เดี๋ยวผมจัดการให้เอง” เฉินเว่ยหลินถึงแม้จะไม่เชื่อใจเย่โม่นัก แต่เขาก็เป็นคนที่ฟางเว่ยเฉิงพามาด้วยตัวเอง
“นายไปบอกให้พวกสำนักเทควันโดอะไรนั่นเข้ามาพร้อมกันเลยยิ่งดี จะได้ไม่เสียเวลา แล้วอีกอย่างหนึ่ง...บอกผมหน่อยว่าชายที่ชื่อผู่ตงเหวินคนนี้ชอบหักกระดูกคนอื่นตรงจุดไหนมากที่สุด” เย่โม่พูดขึ้น
“ว่าไงนะ?” เฉินเว่ยหลินตกตะลึงของจริงแล้ว เมื่อกี้เขาก็ยังคิดอยู่ว่าชืออิ่งคนนี้ไม่ดูวิดีโอการแข่งเรียกว่าอวดดีแล้ว มาตอนนี้เขาถึงได้รู้ว่าแค่ไหนจึงเรียกว่าอวดดี!