ตอนที่ 9 พวกที่อยู่เบื้องหลัง
ตอนกลางคืน
เจ้าชายอาร์โนลด์ได้มุ่งหน้าไปยังห้องใต้ดินของปราสาท, ที่นั่นเขาเอามือสัมผัสกับกำแพงที่ดูไม่ได้โดดเด่นอะไร ในตอนที่ทำแบบนั้น, ก็มีเส้นแสงวิ่งไปตามกำแพงและกำแพงก็เลื่อนออก
โดยไร้ซึ่งความประหลาดใจกับปรากฎการณ์นี้, เขาก็เดินเข้าไปตามทางเดินที่เผยออกมา
ข้างในนั้นมีบันไดที่นำลงไปข้างล่างอยู่ เขาเดินต่อไปจนกระทั่งไปเจอกับประตูไม้บานนึง
สิ่งที่รออยู่หลังประตูนั้นก็คือห้องเรียนที่ดูสวยงาม
มีหนังสือเก่านับไม่ถ้วนอยู่ในห้องและมีเทียนที่สว่างอยู่เสมอแม้ว่าจะไม่มีใครคอยจุดก็ตาม
ด้วยความที่คนที่ใช้ห้องนี้เป็นคนขี้เกียจ, เขาจึงใช้เวทมนตร์ทำให้เทียนสว่างอยู่ตลอดเวลา
“งานวิจัยเวทมนตร์ของท่านนี่น่าประหลาดใจตลอดเลยนะท่านทวด”
“แก่นแท้ของเวทมนตร์นั้นไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีก็ไม่สามารถบรรลุได้หรอก”
คนที่ตอบเขาเป็นชายแก่ตัวเล็กคนนึง ยิ่งไปกว่านั้น, ตัวเขายังอยู่ในสภาพโปร่งแสงด้วย
เขากำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ในขณะที่อ่านหนังสืออย่างมีความสุข ในตอนที่เขาต้องเปลี่ยนหน้ากระดาษนั้น, เขาก็จะใช้เวทมนตร์ในการเปลี่ยนหน้าอย่างเชี่ยวชาญ
มันอาจจะไม่สามารถตัดสินได้จากการลักษณะการแสดงออกของเขาแต่ถึงจะเป็นเช่นนี้, เขาก็เคยเป็นจักรพรรดิมาก่อน
“ขนาดถูกผนึกอยู่ในหนังสือเพราะการวิจัยเวทมนตร์ของตัวเองท่านก็ยังไม่รู้จักเข็ดหลาบบ้างเลยนะ ท่านรู้รึเปล่าว่าคนนอกเขาเรียกท่านว่าจักรพรรดิผู้เสียสติ?”
“นั่นมันก็แค่ความผิดพลาด พอมาคิดว่าร่างกายของเขาถูกชิงไปแล้ว มันช่างเป็นความผิดพลาดที่โง่เง่าเสียจริงๆ”
ชายแก่ที่กำลังพูดอยู่นี้มีนามว่า, กุสทัฟ เลคส์ แอดเลอร์
เขาคือปู่ทวดของอาร์โนลด์เช่นเดียวกับจักรพรรดิเมื่อสองสมัยก่อน
อย่างที่เห็น, เขาเป็นคนที่คลั่งไคล้เวทมนตร์อย่างรุนแรงที่ไม่สนใจอะไรทั้งนั้นนอกจากเวทมนตร์ เขาถึงกับสร้างห้องลับนี้ขึ้นมาเพื่อการวิจัยเวทมนตร์ของตัวเองด้วย
และก็ต้องขอบคุณมัน, ร่างกายของเขาได้ถูกปีศาจที่ผนึกอยู่ในหนังสือขโมยไป ซึ่งปีศาจตัวนั้นก็ได้ใช้ร่างกายของเขาสร้างความเสียหายให้กับเมืองหลวงของจักรวรรดิ โดยสุดท้ายแล้วประวัติศาสตร์ก็บันทึกเอาไว้ว่าเขาเสียสติจากการวิจัยเวทมนตร์โบราณ
นับจากนั้นมาเหตุการณ์นี้ก็ทำให้เวทมนตร์โบราณกลายเป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับตระกูลราชวงศ์
อย่างไรก็ตาม, พอเวลาผ่านพ้นไป หลังจากที่ท่านทวชได้เจอกับเขา, ท่านทวชก็สอนวิธีใช้เวทมนตร์โบราณให้กับเขาและตอนนี้ก็ถือเป็นอาจารย์ของเขา
ตอนนี้, มีแค่วิญญาณของเขาเท่านั้นที่ยังอยู่ในหนังสือ, เขาไม่มีร่างกาย สิ่งที่กำลังเห็นอยู่ในตอนนี้เป็นเพียงร่างความคิดของเขา
เจ้าชายอาร์โนลด์เป็นคนปลดปล่อยเขาจากผนึกที่อยู่ในหนังสือในตอนที่เขาเปิดมันแต่ก็ดูเหมือนว่าเขาไม่อยากจะได้ร่างกายใหม่ เขาดูมีความสุขที่สามารถทำการวิจัยเวทมนตร์ได้เรื่อยๆโดยไม่ต้องกังวลเรื่องอื่น
“ท่านคงไม่รู้จักเข็ดจริงๆ, พูดตามตรง, มันเป็นความผิดของท่านนั่นแหล่ะที่ข้าต้องปกปิดความจริงที่ว่าสามารถใช้เวทย์โบราณได้”
“ลองคิดอีกแง่นึงสิ ที่เจ้าสามารถเรียนเวทมนตร์โบราณได้ก็เพราะข้าถูกผนึกที่นี่ใช่ไหม? แถมหน้ากากเงินที่เป็นสมบัติของข้าเองก็มีประโยชน์ดีนี่ถูกไหมหล่ะ?”
“ก็นะ, มันก็ใช่อยู่หรอก”
“เจ้านี่มันเป็นเหลนที่ไม่น่ารักเอาซะเลย”
แม้ว่าเขากำลังโต้ตอบการสนทนาอยู่แต่สายตาของเขาก็ไม่ได้ผละออกมาจากหนังสือเลย
เขาอ่านหนังสือที่เกี่ยวข้องกับเวทมนตร์และในตอนที่เขาคิดต้นแบบของเวทมนตร์หรือทฤษฎีใหม่ๆได้เขาก็จะเขียนลงไป เขามักจะทำแบบนี้อยู่ตลอดเวลา
อันที่จริง, ท่านทวชนั้นหมกมุ่นกับมันมากจนเขาไม่อยากมากวนเลย
แต่ถึงอย่างนั้น, ครั้งนี้มันมีเหตุผลที่เขามาที่นี่
และดูเหมือนว่าท่านทวชเองก็สังเกตได้เหมือนกัน
“เจ้ามีเรื่องจะมาปรึกษาข้าใช่ไหม? ว่ามาสิ ไม่ต้องเก็บเอาไว้หรอก”
“.....น้องชายของข้าถูกดึงไปข้องเกี่ยวกับสงครามผู้สืบทอด”
“ถ้าเขาเป็นคนเก่ง, สุดท้ายแล้วเขาก็จะถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้องอยู่ดีหล่ะนะ สงครามผู้สืบทอดมันก็แบบนี้แหล่ะ”
“กะแล้วเชียว.....ควรมองว่าจงใจทำให้ติดร่างแหสินะ เห้ออ”
“ถ้าเป็นข้าก็คงจะทำแบบนั้นเหมือนกัน ถ้าเปลี่ยนให้กลายเป็นศัตรูหล่ะก็จะได้จัดการได้อย่างเปิดเผย”
มันคือเรื่องที่เขาคิดมาโดยตลอด
การฆ่าตาแก่นายนั่น, ทำให้พวกเราเหลือทางเลือกแค่สองทาง แต่ไม่ว่าตาแก่นายพลจะถูกใจลีโอมากขนาดไหน, เขาก็คงจะไม่สร้างความคุกคามให้ผู้เข้าแข่งสามอันดับแรกหรอก แต่ถึงอย่างนั้น, ก็ยังมีคนเลือกที่จะลอบสังหารเขาตั้งแต่เนิ่นๆอยู่ดี
พวกนั้นอาจจะระวังลีโออยู่แต่เจตนาที่แท้จริงก็คือการสร้างข้ออ้างในการจัดการลีโอโดยบอกว่าเป็นศัตรูกับพวกนั้นสินะ เห้อ
“ข้ามีอีกคำถามนึง”
ที่นี่มีอดีดจักรพรรดิอยู่
พูดอีกนัยนึงก็คือ, เขาเคยเป็นผู้ชนะในสงครามผู้สืบทอด ถ้าเขาเป็นบรรพบุรุษที่เคยเอาชนะอุบายและแผนการทั้งหมดมาได้ในยุคของเขา, เขาก็น่าจะตอบคำถามให้ได้ ในตอนที่เจ้าชายอาร์โนลด์กำลังจะเปิดปากพูดนั้นเอง, ท่านทวชก็ตอบเร็วกว่าที่เขาจะได้ถามซะอีก
“ถ้าข้าเป็นลูกชายคนที่สองหรือสามหล่ะก็ข้าจะทำการลอบสังหารมงกุฎราชกุมาร นี่คือคำตอบของข้า”
“.....ข้ายังไม่ทันจะถามอะไรเลยไม่ใช่รึไง?”
“ข้าคิดว่ามันเป็นเรื่องที่สุดท้ายแล้วเจ้าก็จะถามข้าอยู่ดีถ้าเจ้ากำลังพูดถึงสงครามผู้สืบทอด ข้าเป็นลูกคนโตสุดดังนั้นก็เลยเสี่ยงต่อการถูกลอบสังหารซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถ้าจะให้ข้าพูดหล่ะก็มงกุฎราชกุมารที่โดนลอบสังหารไปนั้นไม่ดีเอง สิ่งที่รอเจ้าอยู่หลังจากที่คนที่มีโอกาสได้เป็นจักรพรรดิองต่อไปมากที่สุดถูกสังหารไปนั้นก็คงจะมีเพียงบ่อโคลนแห่งการแย่งชิงเท่านั้น”
“แต่ท่านรู้ไหมผลลัพธ์จากการสืบสวนของพ่อข้านั้นบ่งบอกได้แค่ว่าตายในสงครามเท่านั้น?”
“บางทีมันอาจจะถูกปกปิดเอาไว้อย่างแยบยลหรือไม่ก็คนสนิทของจักรพรรดิอาจจะเกี่ยวข้องด้วย หรือ....บางทีองค์จักรพรรดิเองนั่นแหล่ะที่เข้ามาเกี่ยวข้องซะเอง แต่ไม่ว่ายังไง, มันก็เป็นเรื่องแปลกที่มงกุฎราชกุมารที่อยู่ใกล้กับตำแหน่งผู้ชนะมากที่สุดในสงครามผู้สืบทอดจากมาตายในสนามรบ ถ้าน้องชายของเจ้าจำเป็นต้องเข้าไปในสมรภูมิหล่ะก็เจ้าเองก็คงจะพยายามปกป้องเขาสุดชีวิตใช่ไหมหล่ะ?”
“ก็คงจะอย่างนั้น”
“นั่นแหล่ะคำตอบ น่าจะต้องมีอีกหลายคนที่คิดแบบนี้ แล้วก็การที่ปกป้องมงกุฎราชกุมารไม่ได้นั้นมันก็ส่อให้เห็นถึงเค้าลางของแผนการร้ายแล้ว ถ้าพิจารณาจากประวัติศาสตร์ของสงครามผู้สืบทอดที่มีมาจนถึงตอนนี้ดูหล่ะก็, มันก็ไม่ใช่เรื่องหายากอะไรหรอก”
ท่าวทวดพูดเรื่องที่น่าสลดพวกนี้ออกมา
อย่างไรก็ตาม, มันก็ยังคงฟังดูน่าเชื่อถือ
และถ้าที่เขาคาดเดาเอาไว้ถูกต้องทั้งหมดหล่ะก็, ทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ก็คงจะเป็นแผนการร้ายของใครซักคน
พูดอีกนัยนึงก็คือ, มีบางสิ่งอยู่เบื้องหลังเทศกาลล่าของอัศวินนี้ด้วย
“ท่านทวช, ท่านมีเวทมนตร์ที่ทำให้ควบคุมมอนส์เตอร์ได้บ้างไหม?”
“พวกเรากำลังจะพูดเรื่องเวทมนตร์กันสินะ! ดีเลย! ขอข้าฟังรายละเอียดเพิ่มเติมหน่อยซิ!”
พอเห็นท่านทวชเงยที่จู่ๆก็เงยหน้าขึ้นมามองเขานั้น, เขาก็ถอนหายใจออกมา
นี่เขาไม่สนใจเรื่องอื่นนอกจากเวทมนตร์จริงๆสินะ? ถึงยังไงเขาก็จะแสดงความสนใจออกมาขนาดนั้นก็ต่อเมื่อตอนที่ชวนคุยเรื่องเวทมนตร์เท่านั้น
ถึงแม้ว่าเขาที่เป็นทั้งศิษย์และเหลนจะมาปรึกษาเรื่องร้ายแรงแต่เขาก็ยังให้ความสำคัญกับเรื่องเวทมนตร์มากกว่า คนๆนี้อาจจะเสียสติเหมือนที่เขาว่ากันจริงๆก็ได้
“ช่วงนี้ปริมาณมอนส์เตอร์ในจักรวรรดิเพิ่มขึ้นอย่างมาก ในหมู่พวกมัน, มีบางตัวเป็นมอนส์เตอร์หายากที่แข็งแกร่งด้วย ข้ากำลังคิดอยู่ว่ามีใครบางคนกำลังควบคุมพวกมันอยู่เบื้องหลังรึเปล่า”
“อืม อืม....ถ้ามันเป็นแค่มอนส์เตอร์ไม่กี่ตัวก็พอจะมีเวทมนตร์ที่สามารถใช้ควบคุมพวกมันได้อยู่หรอก แต่เวทย์ที่สามารถใช้ควบคุมมอนส์เตอร์จำนวนขนาดนั้นได้ไม่มีอยู่หรอกนะ”
“งั้นหรอ....แสดงว่าข้าแค่คิดมากไปเองสินะ เห้อ”
เขาคิดว่าถ้ามันมีเวทมนตร์มาเกี่ยวข้องมันก็อาจเป็นฝีมือของเจ้าหญิงลำดับสองซานดร้า, แต่ถ้าท่านทวชบอกว่าเวทมนตร์แบบนั้นไม่มีอยู่มันก็น่าจะมาจากสาเหตุอื่น
ถ้าเป็นแบบนี้ก็แสดงว่าการปรากฎตัวของมอนส์เตอร์คงเป็นแค่เรื่องบังเอิญสินะ
“แต่ก็นะ, ถึงจะไม่มีเวทมนตร์แบบนั้นแต่ถ้าเป็นอุปกรณ์เวทมนตร์หล่ะก็มีอยู่ชิ้นนึง”
“อุปกรณ์เวทมนตร์หรอ?”
“มันเป็นอุปกรณ์เวทมนตร์โบราณ มันจะปล่อยเสียงที่มอนส์เตอร์ชอบและสามารถใช้เพื่อล่อมอนส์เตอร์ออกมาได้ ซึ่งมันก็ขึ้นอยู่กับพลังเวทย์ของผู้ใช้, ถ้าเป็นเจ้าหล่ะก็คงล่อมาได้ไม่ใช่น้อยๆเลยหล่ะ”
“มีของแบบนั้นอยู่จริงๆหรอ?”
“จากหนังสือที่เคยอ่านมา ข้าคิดว่ามันคืออุปกรณ์ที่มีชื่อว่า ‘ขลุ่ยแห่งฮาเมรุน’ ถ้าคนที่มีพลังเวทย์เยอะใช้มัน, คนๆนั้นก็จะสามารถทำให้มอนส์เตอร์ปรากฎตัวขึ้นทั่วจักรวรรดิได้เลย”
คนสมัยก่อนนี่ชอบสร้างทั้งสิ่งที่มีประโยชน์และสิ่งที่สร้างปัญหาขึ้นมาจังเลยนะ เห้อ
ในยุคนั้นเวทมนตร์ถูกพัฒนามากกว่ายุคนี้, ดังนั้นอุปกรณ์เวทมนตร์เองก็คงจะมีระดับสูงกว่ายุคของพวกเขาเหมือนกัน อุปกรณ์เวทมนตร์พวกนี้ถูกขุดขึ้นมาจากซากปรักหักพังและถูกทำให้เป็นสมบัติประจำชาติของหลายๆประเทศ อย่างไรก็ตามมันก็มีบางชิ้นที่ปรากฎขึ้นมาอย่างกระทันหันด้วย
“แสดงว่ามีของแบบนั้นอยู่จริงๆสินะ.....อันที่จริง, เทศกาลล่าของอัศวินจะถูกจัดขึ้นในเร็วๆนี้ มันเป็นเทศกาลที่สมาชิกในราชวงศ์แต่ละคนจะต้องเป็นผู้นำอัศวิน”
“หืม? จักรพรรดิในยุคนี้ชอบทำเรื่องที่น่าสนใจจังเลยนะ แล้วรางวัลคืออะไรหล่ะ?”
“ตำแหน่งทูตที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ และเนื่องจากสถานการณ์ในตอนนี้, พวกเราไม่สามารถแพ้ได้ด้วย แต่ถ้าอีกฝ่ายมีขลุ่ยแห่งฮาเมรุนจริงๆก็คงจะหมดโอกาสที่พวกเราจะชนะ....”
“ก็คงใช่แหล่ะ ถึงยังไงผู้ใช้ก็สามารถเรียกปีศาจไปที่ไหนก็ได้ตามที่ต้องการ ถ้าผู้ใช้ไม่ได้ใช้มันอย่างสะเพร่าชัยชนะก็คงจะเป็นเรื่องที่แน่นอน แต่ถ้าเป็นข้า, ข้าคงจะไม่มีวันเลือกวิธีการโง่ๆแบบนั้นหรอก”
ท่านทวชพูดออกมาเช่นนี้
เขาเองก็เห็นด้วย, ถ้าเป็นเขาก็คงใจไม่ทำเรื่องโง่ๆแบบนั้นเหมือนกัน
ในตอนแรก, มันอาจจะดูเหมือนเป็นความคิดที่ดีแต่ในความเป็นจริงนั้น, มันก็สร้างประโยชน์ให้เพียงแค่เดี๋ยวเดียว
ถ้าในบรรดาพวกพี่ๆทั้งสามคนนั้นมีคนใช้อุปกรณ์เวทมนตร์นี้จริงๆ, แน่นอนว่าเขากับอีกสองคนที่เหลือก็คงจะทำการสืบอย่างถึงที่สุด แม้ว่ามันจะอยู่ในช่วงสงครามผู้สืบทอดแต่ถ้าทำเรื่องที่ขัดกับผลประโยชน์ของจักรวรรดิก็คงจะไม่สามารถหลุดพ้นจากบาปที่ก่อได้ ถ้ามีคนดึงดันจะใช้สิ่งนี้จริงๆ, มันก็จะส่งผลกระทบกับฐานอำนาจของคนๆนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย
เขาไม่คิดว่าพวกพี่สามคนนั้นจะเสี่ยงทำเรื่องแบบนี้หรอก พูดอีกนัยนึงก็คือ
“คนที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่หลังฉากคงไม่ใช่ผู้เล่นหลักในสงครามผู้สืบทอดนี้สินะ”
“ก็คงจะใช่ แต่ไม่ว่าคนๆนั้นจะเกี่ยวข้องกับผู้เล่นหลักหรือเปล่า, สำหรับคนที่กล้าล่อมอนส์เตอร์เข้ามาในจักรวรรดิและทำให้ประเทศตกอยู่ในอันตรายแบบนี้, ก็คงจะไม่พอใจกับแค่ตำแหน่งทูตที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จหรอก”
“...ดูเหมือนจะมีตัวปัญหาโผล่มาเพิ่มอีกแล้วสิ เห้อ”
เขาไม่สามารถมองเรื่องนี้แค่ผ่านๆได้, เขาต้องมองเข้าไปให้ลึกที่สุด
ตอนนี้มันไม่ใช่ปัญหาง่ายๆอย่างการแพ้ชนะในเทศกาลอีกแล้ว ถ้าหาคนที่อยู่เบื้องหลังมอนส์เตอร์พวกนี้ไม่ได้, เทศกาลล่าของอัศวินก็จะไม่ใช่แค่การต่อสู้เพื่อตำแหน่งทูตที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จเพียงอย่างเดียว
“มีวิธีขัดขวางผลของฮาเมรุนนั่นรึเปล่า?”
“เจ้าคงทำได้แค่ทำลายมันซะ ตราบใดที่เสียงนั้นมีแค่มอน์สเตอร์ที่ได้ยิน, การขัดขวางผลของมันก็คงจะไม่ใช่เรื่องง่ายๆหรอก”
“แสดงว่าข้าคงทำได้แค่ตั้งใจกับเทศกาลล่าของอัศวินเท่านั้นสินะ เห้อ”
“ใช่แล้ว แต่ฝ่ายนั้นก็เหมือนกันนั่นแหล่ะ อีกฝ่ายเองก็คงจะรู้ว่าไม่สามารถใช้ขลุ่ยในงานเทศกาลได้, พูดอีกนัยนึงก็คือ, ฝ่ายนั้นจะต้องใช้มันก่อนที่เทศกาลจะเริ่ม มันจะต้องมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นเบื้องหลังเทศกาลนี้อย่างแน่นอน ระวังตัวให้ดีหล่ะ”
เขารับคำแนะนำแล้วออกมาจากห้อง
———–
ในระหว่างทางกลับนั้นเอง
เขาก็สัมผัสได้ว่ามีใครบางคนอยู่ข้างหลังเขา เขากำลังจะหันไปเผชิญหน้ากับตัวตนที่ไม่รู้จักนี้ในตอนที่คนๆนั้นตะโกนใส่เขา
“นิ่งไว้”
“....เจ้าคงรู้ใช่ไหมว่าข้าคืออาร์โนลด์ เลคส์ แอดเลอร์?”
“แน่นอน”
พอพูดจบชายคนนั้นก็ควักมีดออกมา
ไม่นึกเลยนะเนี่ยว่าจะเคลื่อนไหวได้เร็วขนาดนี้
“ข้าไม่ฆ่าเจ้าหรอก, ก็แค่อยากให้หลับไปซักพักเท่านั้นเอง”
“จะให้ข้าบอกว่า ‘ได้สิ เชิญเลย’ ก็คงจะไม่ได้หรอกมั้ง”
เขาค่อยๆหันไปอย่างช้าๆ
อย่างไรก็ตามในช่วงที่เขาเปิดช่องว่างนี้, ชายคนนั้นไม่ได้ขยับเลย
หลังจากที่หันมาแล้ว, สิ่งที่เขาเห็นก็คือชายคนนึงที่สวมชุดสีดำ ลักษณะดูเหมือนกับนักฆ่า แต่เขาบอกว่าไม่ได้มาฆ่านี่หน่า,
“นะ, นี่เจ้าทำอะไรหน่ะ.....!?”
“ข้าใช้บาเรียหยุดการเคลื่อนไหวของเจ้า ไม่ได้คิดจะฆ่าข้าแถมยังส่งเสียงเรียกข้าอีกมันก็เลยทำให้เจ้าถูกเล่นงานกลับแบบนี้หล่ะนะ”
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาเป็นนักฆ่าที่มีฝีมือ
ถึงยังไง, เขาก็สามารถแทรกซึมเข้ามาในปราสาทที่มีความปลอดภัยสูงมากได้ แต่ถึงแม้จะเป็นนักฆ่าที่มีฝีมือมันก็ไม่ได้รับประกันว่าเขาจะสามารถสร้างบาดแผลที่ทำให้เป้าหมายหมดสติโดยไม่เป็นอันตรายถึงชีวิตของเป้าหมายได้
และนี่เองก็เป็นสาเหตุที่นักฆ่าสั่งให้เขาหยุด เช่นเดียวกับสาเหตุที่ทำให้เขามีเวลาในการสร้างบาเรียด้วย
เอาจริงๆ, ต่อให้นักฆ่าไม่ได้ทำแบบนี้, เขาก็มีบาเรียตรวจจับรอบตัวอยู่ดี ดังนั้นไม่มีใครหรอกที่สามารถเข้าหาเขาโดยที่เขาไม่รู้ตัวได้
ถึงยังไงการออกไปข้างนอกกลางดึกโดยไม่ระวังตัวให้ดีนั้นมันก็ไม่ต่างอะไรกับการฆ่าตัวตาย
“ชิ....! ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่ได้เป็นแค่เจ้าชายไร้ค่าอย่างที่เขาว่ากันสินะ!?”
“ก็นะ, เอาหล่ะที่นี้ทำใจให้ร่มๆแล้วตอบคำถามของข้ามาซะ ในตอนที่เจ้าแทรกซึมเข้ามาในปราสาทเจ้าคงจะมีคนคอยชี้แนะให้ถูกไหม? คนๆนั้นเป็นใคร?”
“หึ! ข้าไม่พูดหรอก! ถ้าข้าบอกชื่อลูกค้าฆ่าคงไม่ตายดีแน่!”
“แสดงว่าเจ้าไม่คิดจะปฏิเสธสินะ โอเค, แบบนี้ก็ช่วยบีบเรื่องให้แคบลงมาหน่อย”
“! ?”
พวกที่สามารถแทรกแซงความปลอดภัยของปราสาทได้นั้นมีแค่พวกพี่สามคนเท่านั้น
ถ้ามีคนอื่นนอกจากสามคนนี้อยากจะพานักฆ่าเข้ามาในปราสาทมันก็จะต้องใช้การเตรียมตัวอย่างมาก ส่วนเหตุผลที่มีคนจ้องทำร้ายเขานั้นไม่ต้องคิดเลย, มันเป็นเพราะเอลน่า
“ที่ส่งนักฆ่ามาเล่นงานข้าก็คงเพื่อป้องกันไม่ให้เอลน่ามีส่วนร่วมในเทศกาลล่าของอัศวินสินะ, ไม่คิดว่าเล่นง่ายไปหน่อยรึไง มันเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้วที่ข้าจะเตรียมตัวรับมือกับเรื่องนี้เอาไว้”
“เหอะ....ฝั่งเราก็เหมือนกันนั่นแหล่ะ! จัดการซะ!”
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง, ก็มีคนๆนึงปรากฎตัวขึ้นข้างหลังเจ้าชายอาร์โนลด์อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
คนๆนั้นก็คือเซบาส
“ท่านอาร์โนลด์, ดูเหมือนว่าพวกมันจะทำงานเป็นกลุ่มสี่คนนะครับ ข้าได้ทำให้สามคนที่เหลือหมดสติไปแล้วครับ”
“ดีมาก, เซบาส”
“อะ, อะไรกัน....?”
“เจ้าคิดจริงๆหรอว่าข้าจะปล่อยให้ท่านอาร์โนลด์ออกมาเดินกลางดึกคนเดียว? ดูเหมือนว่าเจ้าจะดูถูกพวกเราจังเลยนะ”
“หนอย......!”
“เอาหล่ะ....ตอนนี้พูดออกมาซะ เจ้าทำงานให้ใคร?”
เขาเปิดบาเรียป้องกันเสียงและเริ่มร่ายเวทย์ลวงตา, มันคือเวทย์ที่แสดงสิ่งที่อีกฝ่ายกลัวที่สุด เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเห็นอะไรแต่ภาพนั้นจะชัดเจนสำหรับเขา
ซึ่งเขาก็ต้องประหลาดใจ, เขารู้ชื่อของคนอยู่เบื้องหลังด้วยการทำเพียงแค่นี้
“หึ้ยย!!?? ยะ, ยกโทษให้ข้าด้วย! ยกโทษให้ข้าเถอะนะครับ!!! ท่านซานดร้า!!!!!, ข้าไม่ได้พูดอะไรเลย!! ไม่ได้พูดเลยซักนิด!!”
“เหอะ......แสดงว่าเป็นนักฆ่าที่ซานดร้าเลี้ยงดูมาสินะ ดูเหมือนจะผ่านการฝึกมาไม่ใช่น้อยเลย”
“การปลูกฝังความกลัวเข้าไปในจิตใจของลูกน้อง, ก็ดูสมกับเป็นเธอดีนะครับ แล้วพวกเราจะเอายังไงดีครับ?”
“ถึงจะเปิดโปงไอ้พวกนี้ไป, ก็สร้างความเสียหายให้ซานดร้าไม่ได้อยู่ดี แต่ถ้าเราฆ่าพวกมันการเก็บกวาดก็คงจะยุ่งยากอยู่ เอาเป็นว่าหาที่ดีๆซักที่ขังพวกมันเอาไว้แล้วกัน, ถึงยังไงหลังจากนี้พวกเราอาจจะได้ใช้ประโยชน์จากพวกมันก็ได้”
“ตามประสงค์ครับ”
เขาเหลือบมองชายที่ยังเห็นภาพลวงตาของซานดร้าอยู่ครู่นึงแล้วเดินจากไป
การที่เธอส่งนักฆ่ามาในช่วงเวลาแบบนี้, ก็หมายความว่าซานดร้าไม่ได้เกี่ยวข้องกับการปรากฎตัวของมอนส์เตอร์ ที่เธอพยายามกำจัดเราก็เพราะเธอกำลังเล็งตำแหน่งทูตที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ, ซึ่งเป็นรางวัลจากเทศกาลล่าของอัศวินอยู่ ถ้าเธอยอมทำถึงขนาดนี้, เธอก็ไม่น่าจะเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังการปรากฎตัวของมอนส์เตอร์นะ
“ตอนนี้, ชักเริ่มสงสัยขึ้นมาแล้วสิว่าเป็นฝีมือใคร”
ในตอนที่พูดคำนี้ออกมา, เขาก็กลับถึงห้องพอดี