ตอนที่แล้วบทที่ 69 ยอดฝีมือมวยอ่อน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 71 อวดดีมันต้องแบบนี้!

บทที่ 70 หยิ่งยโส


“ปรมาจารย์...”  ฟางเว่ยเฉิงไม่รู้ว่าจะเรียกเย่โม่ยังไงดีจึงได้แต่เรียกแบบนี้  ทว่าเขายังพูดไม่ทันจบก็ถูกเย่โม่ตัดบทเสียก่อน  “พี่ฟาง  เรียกผมว่าเย่โม่เถอะ  ผมไม่ใช่ปรมาจารย์อะไรทั้งนั้น”

ฟางเว่ยเฉิงเห็นว่าเย่โม่ไม่ว่าอะไรจึงเรียกตรงๆ  “ในเมื่อเป็นแบบนี้ฉันก็จะไม่เกรงใจแล้วกัน  ชืออิ่ง… ครั้งนี้ฉันต้องการความช่วยเหลือจากนาย  เพราะที่ผ่านมาหานายไม่เจอและนี่เป็นครั้งที่ 2 ที่เราได้เจอกัน  ฉันรู้ว่านี่อาจจะดูเสียมารยาทไปบ้าง...”

เย่โม่ขมวดคิ้ว  คิดในใจว่านายก็รู้นี่ว่ามันเสียมารยาท  เขากับฟางเว่ยเฉิงไม่สนิทกัน  พูดตรงๆ ก็คือเป็นแค่คนแปลกหน้าที่เจอกันครั้งที่ 2 เท่านั้น  คนแปลกหน้าเอ่ยปากคำแรกก็ขอความช่วยเหลือแบบนี้  หากเย่โม่ยังไม่ขมวดคิ้วสิถึงแปลก

เมื่อเห็นเย่โม่ขมวดคิ้วฟางเว่ยเฉิงก็ไม่กล้ากระมิดกระเมี้ยนอีก  เขาพูดตรงๆ  “นายรู้ว่าฉันเป็นคนขับรถ  บอสของฉันมีลูกชายเรียนมหาวิทยาลัย  เป็นคนตรงไปตรงมา  ฉันสนิทกับเขามาก  เขาเรียนปี 4 อยู่ที่มหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในหนิงไห่นี้เอง  อีกทั้งเขายังเป็นถึงประธานชมรมศิลปะการต่อสู้ด้วย  ทว่าเมื่อ 1 เดือนก่อนเขากำลังประลองฝีมืออยู่ก็ถูกอัดจนได้รับบาดเจ็บสาหัส  ตอนนี้เขายังนอนโรงพยาบาลอยู่เลย”

เย่โม่ขัดจังหวะฟางเว่ยเฉิง  “นายอยากให้ผมช่วยแก้แค้น?”

ฟางเว่ยเฉิงพยักหน้า  ขณะจะพูดต่อก็ถูกเย่โม่ขัดจังหวะอีกครั้ง  “ผมไม่ทำเรื่องน่าเบื่อพวกนั้นหรอกนะ  เรื่องมันจบไปแล้ว  อย่าพูดถึงอีกเลย”

ฟางเว่ยเฉิงอ้าปากจะพูดอย่างลำบากใจ  เขาลังเลไปพักหนึ่งก่อนจะพูดขึ้น  “พี่อิ่ง ขอผมพูดให้จบก่อน  หากว่าพี่ยังไม่สนใจผมก็จะไม่ตื๊ออีก”

เย่โม่พยักหน้าอย่างเสียมิได้  “เอาเถอะ  นายพูดมา  ผมยังมีธุระอื่นอีก”

“เพราะบอสของพวกเราเป็นทหาร  ดังนั้นให้ลูกชายของเขาจึงชอบศิลปะการต่อสู้  ที่จริงแล้วเรื่องนี้ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร  เพียงแต่เมื่อ 1 เดือนก่อนมีพวกเกาหลีมาตั้งสำนักเทควันโดข้างๆ มหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เขาเรียนอยู่  อันที่จริงสำนักเทควันโดในหนิงไห่ก็มีอยู่เยอะ...ถือเป็นเรื่องปกติ  แต่คนเกาหลีพวกนี้กลับตั้งสำนักเทควันโดแล้วเขียนตัวอักษรไว้ว่า ‘ศิลปะการต่อสู้ในใต้หล้าล้วนมากจากเกาหลี  ในวิชามวยทั้งหลาย เทควันโดคือที่ 1’”

“คนที่เข้าร่วมกับสำนักเทควันแห่งนี้ล้วนต้องยอมรับก่อนว่าวิชามวยจีนส่วนใหญ่ล้วนมาจากประเทศเกาหลี  จึงจะสามารถเข้าร่วมกับพวกมันได้  ตอนแรกพวกเราก็คิดว่าด้วยจุดยืนนี้คงไม่มีใครเข้าร่วมกับพวกมันเป็นแน่  แต่กลับคาดไม่ถึงว่าจะมีคนจำนวนมากไปลงชื่อสมัครเข้าสำนัก  ผมคิดไม่ตกจริงๆ ว่าทำไม  ‘ฉีเว่ยตง’ เองก็คิดไม่ตกเช่นกัน  ดังนั้นเขาจึงตรงไปยังสำนักเพื่อขอท้าประลองกับพวกนั้น”  พูดถึงตรงนี้ฟางเว่ยเฉิงก็ถอนหายใจออกมา

ถึงแม้ฟางเว่ยเฉิงจะไม่ได้พูดอะไรต่อ  แต่เย่โม่ก็พอจะรู้เรื่องราวส่วนใหญ่แล้ว  คาดว่าฉีเว่ยตงคนนี้คงจะเป็นลูกชายของบอสที่ฟางเว่ยเฉิงพูดถึง  อันที่จริงแล้วเย่โม่ก็ไม่ชอบพวกเกาหลีเหมือนกัน  สาเหตุก็เพราะคนเกาหลีนั้นดูจะหน้าด้านไร้ยางอายเกินไปหน่อยแล้ว  ไม่เพียงแต่เรียกแพทย์จีน (ฮั่นอี) เป็นแพทย์เกาหลี (หานอี) เท่านั้น  แม้แต่ขงเบ้งเองก็ยังถูกพวกมันนับเป็นคนเกาหลีด้วยซ้ำ  นี่ยังไม่เท่าไหร่…ไม่ว่าอะไรขอแค่เป็นวัฒนธรรมจีนก็จะถูกพวกมันอ้างว่าเป็นของเกาหลีทั้งสิ้น

ฟางเว่ยเฉิงถอนหายใจแล้วพูดต่อ  “เมื่อเห็นว่าฉีเว่ยตงท้าสู้คนพวกนี้ก็ต่างรู้สึกยินดี  ทั้งยังเซ็นต์สัญญาว่าจะไม่รับผิดชอบหากได้รับบาดเจ็บอีก  ฝีมือของฉีเว่ยตงผมรู้ดี  8 ขวบเขาก็เริ่มฝึกศิลปะการต่อสู้  จนถึงตอนนี้ก็ฝึกมาร่วม 10 กว่าปีแล้ว  แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่ใช่คู่มือของรองเจ้าสำนักแล้วยังถูกอัดจนบาดเจ็บสาหัส  เพราะมีสัญญาอยู่ก่อนแล้ว  ทั้งการประลองก็เป็นไปอย่างยุติธรรม  ทางเราจึงไม่สามารถว่ากล่าวพวกมันได้เลย”

“เพราะฉีเว่ยตงได้รับบาดเจ็บ  ยอดฝีมือจำนวนมากในหนิงไห่จึงไม่อาจอยู่เฉยตรงเข้าไปท้าประลองกับพวกมัน  ทว่ายอดฝีมือทั้งหลายล้วนได้รับบาดแผลกลับมากันทั้งนั้น  พวกเกาหลีมันเก่งจริงๆ ผ่านมา 1 เดือนแล้วยังไม่มีใครในหนิงไห่เป็นคู่มือพวกมันได้เลย  ด้วยเหตุนี้...ไม่เพียงสำนักเทควันโดไม่ปิดตัวลงเท่านั้น  ยิ่งนานวันก็ยิ่งมีชื่อเสียงโด่งดัง  คนเข้าไปสมัครก็ยิ่งมากขึ้นตามไปด้วย  ผมไม่รู้จริงๆ ว่าตอนนี้ชาวจีนทั้งหลายจะคิดกันยังไงกับเรื่องนี้”

ฟางเว่ยพูดจบ  เห็นได้ชัดว่าตอนนี้เขาโกรธมาก  ทว่าเย่โม่กลับยิ้มออกมาบางๆ  การต่อต้านสินค้าญี่ปุ่นมีการพูดคุยกันมาหลายปีแล้ว  แต่สุดท้ายก็ยังมีคนจำนวนมากซื้อสินค้าญี่ปุ่นอยู่ดี...กลายเป็นการส่งเงินให้พวกมันทำระเบิดส่งกลับมาจีน  สถานการณ์ปัจจุบันบนโลกนี้ถึงแม้จะยังมีสงครามแต่ก็แค่บางส่วนเท่านั้น  ชีวิตหนุ่มสาวในยุคที่เกือบจะไร้สงครามคงไม่อาจไปคิดเรื่องพวกนี้กันสักเท่าไหร่

เรื่องต่างๆ ของประเทศบ้านเกิด...สำหรับคนหนุ่มสาวสมัยนี้แล้วมันก็อยู่แค่ที่ปากเท่านั้น  ไม่ใช่หัวใจ   พูดจบก็ลืมกันแล้ว  เมื่อเทียบกับคนรุ่นก่อนที่ต้องผ่านสงครามที่ต้องแลกมาด้วยเลือดเนื้อเพื่อปกป้องประเทศแล้ว   คนสมัยนี้ยังถือว่าด้อยกว่าอยู่หลายขุม  บางทีแล้วสำหรับคนสมัยนี้...เวลาซื้อสินค้าพวกเขาจะสนใจแค่ว่าแบรนด์ดังไหม  ตัวสินค้าดูดีรึเปล่า  ส่วนเรื่องมาจากไหนนั้นคงมีแค่ส่วนน้อยที่ยังสนใจกันอยู่  นี่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่รักประเทศชาติ  เพียงแต่พวกเขาไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้กันก็เท่านั้นเอง

อารมณ์ของฟางเว่ยเฉิงนั้นเย่โม่เข้าใจดี  เขาเองก็ไม่ใช่คนหนุ่มเลือดร้อนอะไร  ทว่าการที่พวกเกาหลีมาบอกว่าของทุกอย่างล้วนเป็นของพวกมัน  นี่ทำให้เขารู้สึกไม่พอใจเช่นกัน  เย่โม่ก็เป็นชาวจีนคนหนึ่ง  เขารู้ว่าประวัติศาสตร์ชาติจีนนั้นมีมาอย่างยาวนาน  เทควันโดของชาวเกาหลีก็มาจากศิลปะการต่อสู้ของจีน  แต่ตอนนี้กลับถูกพวกมันอ้างเอาไปเสียแล้ว

เขาไปช่วยคราวนี้ก็คงจะไม่เป็นอะไร  คิดถึงตรงนี้เย่โม่จึงถามขึ้น  “พี่ฟาง ตอนนี้กี่โมงแล้ว?”

ฟางเว่ยเฉิงมองนาฬิกาข้อมือ  “ทุ่มครึ่ง”

เย่โม่พยักหน้า  “ผมยังมีเวลาอีก 3 ชั่วโมงครึ่ง  ถ้าหากนายจัดการให้ผมสู้กับพวกมันได้ภายในเวลา 3 ชั่วโมงครึ่งนี้  ผมก็ช่วยนายได้”

ฟางเว่ยเฉิงดีใจจนผุดลุกขึ้นยืน  “พี่เย่!  ผมทำได้แน่นอน!  ตอนนี้พวกเกาหลีมันกังวลก็แต่ไม่มีคนท้าพวกมันสู้  อีกอย่างตอนนี้พวกมันก็จัดงานประลองท้าสู้ตามมหาวิทยาลัยต่างๆ เสียใหญ่โตเพื่อเพิ่มพูนชื่อเสียง”  พูดจบฟางเว่ยเฉิงก็คว้าโทรศัพท์ขึ้นมาทันที

..........

ณ มหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  เมืองหนิงไห่

ภายในโรงยิมที่สามารถจุได้ถึง 3000 คน  ตอนนี้แออัดไปด้วยผู้คนกว่า 4000 คนเกือบจะ 5000  ข้างในโรงยิมเต็มไปด้วยแสงไฟสว่างไสวเนื่องจากกำลังมีการประลองฝีมือกันอยู่  ด้านหนึ่งคือประธานสมาคมศิลปะการต่อสู้จากมหาวิทยาลัยหนิงไห่  หลี่ปางฉี่  ส่วนอีกฝ่ายคือรองเจ้าสำนักเทควันโด  ผู่ตงเหิง

ที่ต้องเป็นรองเจ้าสำนักออกมาสู้ก็เพราะหากต้องการให้เจ้าสำนักออกมาสู้...ก็ต้องผ่านเขาให้ได้ก่อน   ทว่าตั้งแต่พวกเกาหลีตั้งสำนักมาได้เดือนกว่า  ยังไม่มีใครสามารถโค่นล้มผู่ตงเหิงได้แม้แต่คนเดียว  ทว่าผู้ที่ท้าประลองเขานั้น...ไม่แขนหักก็ขาหัก

ส่วนหลี่ปางฉี่นั้น  ถึงเขาจะเป็นแค่ประธานสมาคมศิลปะการต่อสู้  แต่เขาก็เคยเข้าร่วมการแข่งขันศิลปะการต่อสู้รุ่นเยาวชนระดับประเทศ  ทั้งยังได้เหรียญทองแดงกลับมาด้วย  ด้วยเหตุนี้การประลองระหว่างหลี่ปางฉี่กับผู่ตงเหิงจึงได้รับความสนใจจากนักศึกษาในหนิงไห่  เพียงแต่โรงยิมแห่งนี้เล็กเกินไป  ไม่สามารถจุคนได้มากกว่านี้แล้ว  คนอื่นๆ ส่วนใหญ่ได้แต่ดูถ่ายทอดสดอยู่ด้านนอกโรงยิมเท่านั้น

การประลองของหลี่ปางฉี่กับผู่ตงเหิงกลับไม่ได้ถูกแบ่งเป็นยก  แต่เป็นการประลองแบบฟรีไสตล์แทน   นอกจากห้ามใช้อาวุธแล้ววิธีอะไรก็ใช้ได้ทั้งนั้น

ผู้คนในโรงยิมล้วนให้กำลังใจหลี่ปางฉี่  ถึงแม้ทั้ง 2 ฝ่ายจะกำลังโรมรันพันตูกันอยู่แต่เหล่าผู้ชมต่างก็รู้กันดีว่าช่วงเวลาตัดสินกำลังใกล้เข้ามาแล้ว  เพราะเมื่อใดก็ตามที่มีคนปะทะฝีมือกัน  ทุกครั้งใช้เวลาประมาณ 20 นาทีก็มีฝ่ายหนึ่งร่วงลงกับพื้นแล้ว  ตอนนี้ก็ใกล้จะ 20 นาทีแล้ว

ตัวหลี่ปางฉี่นั้นเคยคิดว่าถึงแม้พวกเกาหลีจะโค่นยอดฝีมือในหนิงไห่ไปมาก  แต่ยังไงพวกมันก็เป็นแค่คนเกาหลี...หลี่ปางฉี่ไม่เคยสนใจพวกมันแม้แต่น้อย  แต่เมื่อได้ปะทะฝีมือกันเขาจึงได้รู้  ผู่ตงเหิงคนนี้ไม่เพียงแต่มีท่าร่างที่รวดเร็ว  เขายังเชี่ยวชาญในศิลปะการต่อสู้ของจีนด้วย  เป็นเรื่องน่ารังเกียจที่พวกมันยังอ้างว่าศิลปะการต่อสู้นี้เป็นของคนเกาหลีอยู่อีก

หลี่ปางฉี่ยิ่งสู้ยิ่งรู้สึกตกตะลึง  เขากินหมัดของผู่ตงเหิงไปแล้ว 2-3 หมัด  ถึงแม้เขาจะมีร่างกายแข็งแรงจนหมัดพวกนี้ไม่ส่งผลกระทบมาก  แต่มีเพียงตัวเขาที่รู้ดีว่าจนถึงตอนเขาถีบผู่ตงเหิงโดนแค่ครั้งเดียวเท่านั้น  ทั้งยังไม่อาจทำให้มันรู้สึกบาดเจ็บได้เลย

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด