บทที่ 70 หยิ่งยโส
“ปรมาจารย์...” ฟางเว่ยเฉิงไม่รู้ว่าจะเรียกเย่โม่ยังไงดีจึงได้แต่เรียกแบบนี้ ทว่าเขายังพูดไม่ทันจบก็ถูกเย่โม่ตัดบทเสียก่อน “พี่ฟาง เรียกผมว่าเย่โม่เถอะ ผมไม่ใช่ปรมาจารย์อะไรทั้งนั้น”
ฟางเว่ยเฉิงเห็นว่าเย่โม่ไม่ว่าอะไรจึงเรียกตรงๆ “ในเมื่อเป็นแบบนี้ฉันก็จะไม่เกรงใจแล้วกัน ชืออิ่ง… ครั้งนี้ฉันต้องการความช่วยเหลือจากนาย เพราะที่ผ่านมาหานายไม่เจอและนี่เป็นครั้งที่ 2 ที่เราได้เจอกัน ฉันรู้ว่านี่อาจจะดูเสียมารยาทไปบ้าง...”
เย่โม่ขมวดคิ้ว คิดในใจว่านายก็รู้นี่ว่ามันเสียมารยาท เขากับฟางเว่ยเฉิงไม่สนิทกัน พูดตรงๆ ก็คือเป็นแค่คนแปลกหน้าที่เจอกันครั้งที่ 2 เท่านั้น คนแปลกหน้าเอ่ยปากคำแรกก็ขอความช่วยเหลือแบบนี้ หากเย่โม่ยังไม่ขมวดคิ้วสิถึงแปลก
เมื่อเห็นเย่โม่ขมวดคิ้วฟางเว่ยเฉิงก็ไม่กล้ากระมิดกระเมี้ยนอีก เขาพูดตรงๆ “นายรู้ว่าฉันเป็นคนขับรถ บอสของฉันมีลูกชายเรียนมหาวิทยาลัย เป็นคนตรงไปตรงมา ฉันสนิทกับเขามาก เขาเรียนปี 4 อยู่ที่มหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในหนิงไห่นี้เอง อีกทั้งเขายังเป็นถึงประธานชมรมศิลปะการต่อสู้ด้วย ทว่าเมื่อ 1 เดือนก่อนเขากำลังประลองฝีมืออยู่ก็ถูกอัดจนได้รับบาดเจ็บสาหัส ตอนนี้เขายังนอนโรงพยาบาลอยู่เลย”
เย่โม่ขัดจังหวะฟางเว่ยเฉิง “นายอยากให้ผมช่วยแก้แค้น?”
ฟางเว่ยเฉิงพยักหน้า ขณะจะพูดต่อก็ถูกเย่โม่ขัดจังหวะอีกครั้ง “ผมไม่ทำเรื่องน่าเบื่อพวกนั้นหรอกนะ เรื่องมันจบไปแล้ว อย่าพูดถึงอีกเลย”
ฟางเว่ยเฉิงอ้าปากจะพูดอย่างลำบากใจ เขาลังเลไปพักหนึ่งก่อนจะพูดขึ้น “พี่อิ่ง ขอผมพูดให้จบก่อน หากว่าพี่ยังไม่สนใจผมก็จะไม่ตื๊ออีก”
เย่โม่พยักหน้าอย่างเสียมิได้ “เอาเถอะ นายพูดมา ผมยังมีธุระอื่นอีก”
“เพราะบอสของพวกเราเป็นทหาร ดังนั้นให้ลูกชายของเขาจึงชอบศิลปะการต่อสู้ ที่จริงแล้วเรื่องนี้ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร เพียงแต่เมื่อ 1 เดือนก่อนมีพวกเกาหลีมาตั้งสำนักเทควันโดข้างๆ มหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เขาเรียนอยู่ อันที่จริงสำนักเทควันโดในหนิงไห่ก็มีอยู่เยอะ...ถือเป็นเรื่องปกติ แต่คนเกาหลีพวกนี้กลับตั้งสำนักเทควันโดแล้วเขียนตัวอักษรไว้ว่า ‘ศิลปะการต่อสู้ในใต้หล้าล้วนมากจากเกาหลี ในวิชามวยทั้งหลาย เทควันโดคือที่ 1’”
“คนที่เข้าร่วมกับสำนักเทควันแห่งนี้ล้วนต้องยอมรับก่อนว่าวิชามวยจีนส่วนใหญ่ล้วนมาจากประเทศเกาหลี จึงจะสามารถเข้าร่วมกับพวกมันได้ ตอนแรกพวกเราก็คิดว่าด้วยจุดยืนนี้คงไม่มีใครเข้าร่วมกับพวกมันเป็นแน่ แต่กลับคาดไม่ถึงว่าจะมีคนจำนวนมากไปลงชื่อสมัครเข้าสำนัก ผมคิดไม่ตกจริงๆ ว่าทำไม ‘ฉีเว่ยตง’ เองก็คิดไม่ตกเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงตรงไปยังสำนักเพื่อขอท้าประลองกับพวกนั้น” พูดถึงตรงนี้ฟางเว่ยเฉิงก็ถอนหายใจออกมา
ถึงแม้ฟางเว่ยเฉิงจะไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่เย่โม่ก็พอจะรู้เรื่องราวส่วนใหญ่แล้ว คาดว่าฉีเว่ยตงคนนี้คงจะเป็นลูกชายของบอสที่ฟางเว่ยเฉิงพูดถึง อันที่จริงแล้วเย่โม่ก็ไม่ชอบพวกเกาหลีเหมือนกัน สาเหตุก็เพราะคนเกาหลีนั้นดูจะหน้าด้านไร้ยางอายเกินไปหน่อยแล้ว ไม่เพียงแต่เรียกแพทย์จีน (ฮั่นอี) เป็นแพทย์เกาหลี (หานอี) เท่านั้น แม้แต่ขงเบ้งเองก็ยังถูกพวกมันนับเป็นคนเกาหลีด้วยซ้ำ นี่ยังไม่เท่าไหร่…ไม่ว่าอะไรขอแค่เป็นวัฒนธรรมจีนก็จะถูกพวกมันอ้างว่าเป็นของเกาหลีทั้งสิ้น
ฟางเว่ยเฉิงถอนหายใจแล้วพูดต่อ “เมื่อเห็นว่าฉีเว่ยตงท้าสู้คนพวกนี้ก็ต่างรู้สึกยินดี ทั้งยังเซ็นต์สัญญาว่าจะไม่รับผิดชอบหากได้รับบาดเจ็บอีก ฝีมือของฉีเว่ยตงผมรู้ดี 8 ขวบเขาก็เริ่มฝึกศิลปะการต่อสู้ จนถึงตอนนี้ก็ฝึกมาร่วม 10 กว่าปีแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่ใช่คู่มือของรองเจ้าสำนักแล้วยังถูกอัดจนบาดเจ็บสาหัส เพราะมีสัญญาอยู่ก่อนแล้ว ทั้งการประลองก็เป็นไปอย่างยุติธรรม ทางเราจึงไม่สามารถว่ากล่าวพวกมันได้เลย”
“เพราะฉีเว่ยตงได้รับบาดเจ็บ ยอดฝีมือจำนวนมากในหนิงไห่จึงไม่อาจอยู่เฉยตรงเข้าไปท้าประลองกับพวกมัน ทว่ายอดฝีมือทั้งหลายล้วนได้รับบาดแผลกลับมากันทั้งนั้น พวกเกาหลีมันเก่งจริงๆ ผ่านมา 1 เดือนแล้วยังไม่มีใครในหนิงไห่เป็นคู่มือพวกมันได้เลย ด้วยเหตุนี้...ไม่เพียงสำนักเทควันโดไม่ปิดตัวลงเท่านั้น ยิ่งนานวันก็ยิ่งมีชื่อเสียงโด่งดัง คนเข้าไปสมัครก็ยิ่งมากขึ้นตามไปด้วย ผมไม่รู้จริงๆ ว่าตอนนี้ชาวจีนทั้งหลายจะคิดกันยังไงกับเรื่องนี้”
ฟางเว่ยพูดจบ เห็นได้ชัดว่าตอนนี้เขาโกรธมาก ทว่าเย่โม่กลับยิ้มออกมาบางๆ การต่อต้านสินค้าญี่ปุ่นมีการพูดคุยกันมาหลายปีแล้ว แต่สุดท้ายก็ยังมีคนจำนวนมากซื้อสินค้าญี่ปุ่นอยู่ดี...กลายเป็นการส่งเงินให้พวกมันทำระเบิดส่งกลับมาจีน สถานการณ์ปัจจุบันบนโลกนี้ถึงแม้จะยังมีสงครามแต่ก็แค่บางส่วนเท่านั้น ชีวิตหนุ่มสาวในยุคที่เกือบจะไร้สงครามคงไม่อาจไปคิดเรื่องพวกนี้กันสักเท่าไหร่
เรื่องต่างๆ ของประเทศบ้านเกิด...สำหรับคนหนุ่มสาวสมัยนี้แล้วมันก็อยู่แค่ที่ปากเท่านั้น ไม่ใช่หัวใจ พูดจบก็ลืมกันแล้ว เมื่อเทียบกับคนรุ่นก่อนที่ต้องผ่านสงครามที่ต้องแลกมาด้วยเลือดเนื้อเพื่อปกป้องประเทศแล้ว คนสมัยนี้ยังถือว่าด้อยกว่าอยู่หลายขุม บางทีแล้วสำหรับคนสมัยนี้...เวลาซื้อสินค้าพวกเขาจะสนใจแค่ว่าแบรนด์ดังไหม ตัวสินค้าดูดีรึเปล่า ส่วนเรื่องมาจากไหนนั้นคงมีแค่ส่วนน้อยที่ยังสนใจกันอยู่ นี่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่รักประเทศชาติ เพียงแต่พวกเขาไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้กันก็เท่านั้นเอง
อารมณ์ของฟางเว่ยเฉิงนั้นเย่โม่เข้าใจดี เขาเองก็ไม่ใช่คนหนุ่มเลือดร้อนอะไร ทว่าการที่พวกเกาหลีมาบอกว่าของทุกอย่างล้วนเป็นของพวกมัน นี่ทำให้เขารู้สึกไม่พอใจเช่นกัน เย่โม่ก็เป็นชาวจีนคนหนึ่ง เขารู้ว่าประวัติศาสตร์ชาติจีนนั้นมีมาอย่างยาวนาน เทควันโดของชาวเกาหลีก็มาจากศิลปะการต่อสู้ของจีน แต่ตอนนี้กลับถูกพวกมันอ้างเอาไปเสียแล้ว
เขาไปช่วยคราวนี้ก็คงจะไม่เป็นอะไร คิดถึงตรงนี้เย่โม่จึงถามขึ้น “พี่ฟาง ตอนนี้กี่โมงแล้ว?”
ฟางเว่ยเฉิงมองนาฬิกาข้อมือ “ทุ่มครึ่ง”
เย่โม่พยักหน้า “ผมยังมีเวลาอีก 3 ชั่วโมงครึ่ง ถ้าหากนายจัดการให้ผมสู้กับพวกมันได้ภายในเวลา 3 ชั่วโมงครึ่งนี้ ผมก็ช่วยนายได้”
ฟางเว่ยเฉิงดีใจจนผุดลุกขึ้นยืน “พี่เย่! ผมทำได้แน่นอน! ตอนนี้พวกเกาหลีมันกังวลก็แต่ไม่มีคนท้าพวกมันสู้ อีกอย่างตอนนี้พวกมันก็จัดงานประลองท้าสู้ตามมหาวิทยาลัยต่างๆ เสียใหญ่โตเพื่อเพิ่มพูนชื่อเสียง” พูดจบฟางเว่ยเฉิงก็คว้าโทรศัพท์ขึ้นมาทันที
..........
ณ มหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เมืองหนิงไห่
ภายในโรงยิมที่สามารถจุได้ถึง 3000 คน ตอนนี้แออัดไปด้วยผู้คนกว่า 4000 คนเกือบจะ 5000 ข้างในโรงยิมเต็มไปด้วยแสงไฟสว่างไสวเนื่องจากกำลังมีการประลองฝีมือกันอยู่ ด้านหนึ่งคือประธานสมาคมศิลปะการต่อสู้จากมหาวิทยาลัยหนิงไห่ หลี่ปางฉี่ ส่วนอีกฝ่ายคือรองเจ้าสำนักเทควันโด ผู่ตงเหิง
ที่ต้องเป็นรองเจ้าสำนักออกมาสู้ก็เพราะหากต้องการให้เจ้าสำนักออกมาสู้...ก็ต้องผ่านเขาให้ได้ก่อน ทว่าตั้งแต่พวกเกาหลีตั้งสำนักมาได้เดือนกว่า ยังไม่มีใครสามารถโค่นล้มผู่ตงเหิงได้แม้แต่คนเดียว ทว่าผู้ที่ท้าประลองเขานั้น...ไม่แขนหักก็ขาหัก
ส่วนหลี่ปางฉี่นั้น ถึงเขาจะเป็นแค่ประธานสมาคมศิลปะการต่อสู้ แต่เขาก็เคยเข้าร่วมการแข่งขันศิลปะการต่อสู้รุ่นเยาวชนระดับประเทศ ทั้งยังได้เหรียญทองแดงกลับมาด้วย ด้วยเหตุนี้การประลองระหว่างหลี่ปางฉี่กับผู่ตงเหิงจึงได้รับความสนใจจากนักศึกษาในหนิงไห่ เพียงแต่โรงยิมแห่งนี้เล็กเกินไป ไม่สามารถจุคนได้มากกว่านี้แล้ว คนอื่นๆ ส่วนใหญ่ได้แต่ดูถ่ายทอดสดอยู่ด้านนอกโรงยิมเท่านั้น
การประลองของหลี่ปางฉี่กับผู่ตงเหิงกลับไม่ได้ถูกแบ่งเป็นยก แต่เป็นการประลองแบบฟรีไสตล์แทน นอกจากห้ามใช้อาวุธแล้ววิธีอะไรก็ใช้ได้ทั้งนั้น
ผู้คนในโรงยิมล้วนให้กำลังใจหลี่ปางฉี่ ถึงแม้ทั้ง 2 ฝ่ายจะกำลังโรมรันพันตูกันอยู่แต่เหล่าผู้ชมต่างก็รู้กันดีว่าช่วงเวลาตัดสินกำลังใกล้เข้ามาแล้ว เพราะเมื่อใดก็ตามที่มีคนปะทะฝีมือกัน ทุกครั้งใช้เวลาประมาณ 20 นาทีก็มีฝ่ายหนึ่งร่วงลงกับพื้นแล้ว ตอนนี้ก็ใกล้จะ 20 นาทีแล้ว
ตัวหลี่ปางฉี่นั้นเคยคิดว่าถึงแม้พวกเกาหลีจะโค่นยอดฝีมือในหนิงไห่ไปมาก แต่ยังไงพวกมันก็เป็นแค่คนเกาหลี...หลี่ปางฉี่ไม่เคยสนใจพวกมันแม้แต่น้อย แต่เมื่อได้ปะทะฝีมือกันเขาจึงได้รู้ ผู่ตงเหิงคนนี้ไม่เพียงแต่มีท่าร่างที่รวดเร็ว เขายังเชี่ยวชาญในศิลปะการต่อสู้ของจีนด้วย เป็นเรื่องน่ารังเกียจที่พวกมันยังอ้างว่าศิลปะการต่อสู้นี้เป็นของคนเกาหลีอยู่อีก
หลี่ปางฉี่ยิ่งสู้ยิ่งรู้สึกตกตะลึง เขากินหมัดของผู่ตงเหิงไปแล้ว 2-3 หมัด ถึงแม้เขาจะมีร่างกายแข็งแรงจนหมัดพวกนี้ไม่ส่งผลกระทบมาก แต่มีเพียงตัวเขาที่รู้ดีว่าจนถึงตอนเขาถีบผู่ตงเหิงโดนแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ทั้งยังไม่อาจทำให้มันรู้สึกบาดเจ็บได้เลย