ตอนที่ 7 : ศัตรูตามธรรมชาติของข้าคือผู้กล้า
“กลายเป็นเรื่องยุ่งยากขึ้นมาแล้วสินะครับ”
“เห้อ งานนี้พวกเราซวยแล้วจริงๆ”
เช้าวันต่อมา, เจ้าชายอาร์โนลด์ก็เชิญเซบาสกับฟีเน่มาที่ห้องเพื่อประชุมวางแผน
ตามที่คาดเอาไว้, ดูเหมือนว่าเซบาสจะเข้าใจถึงความร้ายแรงของสถานการณ์นี้
“ซวยหรอคะ? ไม่ใช่ว่านี่เป็นโอกาสที่ท่านลีโอจะได้แสดงความสามารถหรอคะ?....แถมเพื่อความเท่าเทียมองค์จักรพรรดิยังทำการจัดสรรอัศวินด้วยตัวเองอีก ท่านอัลก็น่าจะรู้ถึงความยอดเยี่ยมของท่านลีโอดีไม่ใช่หรอคะ?”
“เห้อ...”
“ที่ถอนหายใจเมื่อสักครู่นี้คือกำลังบอกว่าข้าโง่ใช่ไหมคะ!? ข้ารู้นะคะ!”
พอได้ยินเสียงตะโกนของฟีเน่, เขาก็เริ่มอธิบายอย่างไม่เต็มใจ
อันที่จริง, ความคิดของฟีเน่นั้นไม่ได้ผิดไปซะทีเดียว มันถูกอยู่ครึ่งนึง
“เทศกาลนี้เป็นทั้งโอกาสและวิกฤต มันคือโอกาสเพราะมีความเป็นไปได้ที่ลีโอจะได้กลายเป็นทูตที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ ส่วนเหตุผลที่มันเป็นวิกฤตก็เพราะในขณะเดียวกันถ้าหนึ่งในคู่แข่งทั้งสามคนของเราได้เป็นทูตที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ, ระยะห่างที่พวกเราอุตส่าย่นเข้ามาได้ก็จะถอยห่างออกไปอีก ถึงแม้ว่าตอนนี้พวกเราจะเป็นขุมอำนาจที่สี่, แต่พวกเราก็ยังอ่อนแอกว่าอีกสามคนที่เหลืออย่างเห็นได้ชัด ถ้าไม่สร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดขึ้นมา, พวกเราก็เตรียมหลุดโผลจากศึกผู้สืบทอดได้เลย”
“ขนาดนั้นเลยหรอคะ!? ถ้างั้นก็แย่แล้วหน่ะสิ! พวกเราต้องรีบทำอะไรซักอย่างกับมันนะคะ!”
ฟีเน่เริ่มตื่นตระหนก เธอลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินวนรอบห้อง
ซึ่งเขาก็ปล่อยเธอเอาไว้อย่างนั้นแล้วคุยกับเซบาส
“มีข้อมูลอะไรบ้างไหม?”
“ไม่ค่อยมีเท่าไหร่ครับองค์ชาย, ดูเหมือนว่าภาคีอัศวินเองก็พึ่งจะรู้เรื่องเมื่อวานนี้ ซึ่งคนที่จะตัดสินใจในเรื่องนี้คงจะมีแค่ตัวจักรพรรดิเองกับเหล่าคนสนิทของเขาครับ”
“ถ้าเป็นแบบนี้อุบายที่พวกเราใช้ได้ก็จะมีจำกัด ปัญหาในตอนนี้ก็คือทั้งหมดมันขึ้นอยู่กับความสามารถและดวงของผู้เข้าแข่งขันเท่านั้นสินะ เห้อ.....”
จะมีมอนส์เตอร์หายากปรากฎตัวรึเปล่า? พวกเราจะได้ปะทะกับพวกมันรึเปล่า? เรื่องพวกนี้มันขึ้นอยู่กับดวงจริงๆ
ไม่ว่าคุณจะแข็งแกร่งแค่ไหน, มันก็ไม่มีความหมายถ้าคุณไม่มีโอกาสได้แสดงมันออกมา
“มีข้อมูลอีกอย่างนึงครับ พวกอัศวินคิดว่าสถานที่จัดงานเทศกาลในครั้งนี้น่าจะเป็นฝั่งตะวันออกของจักรวรรดิครับ”
“ฝั่งตะวันออกหรอ? ทำไมหล่ะ?”
“แต่เดิมนั้นฝั่งตะวันออกคือพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายจากมอนส์เตอร์หนักที่สุด, แถมอัตราการกำจัดมอนส์เตอร์ของนักผจญภัยในพื้นที่ก็ไม่สามารถไล่ตามจำนวนประชากรมอนส์เตอร์ที่เกิดขึ้นได้ด้วย นอกจากนี้, ภาคีอัศวินของพวกเรานั้นต่างก็ถูกส่งไปยังพื้นที่อื่นๆแต่ในส่วนของฝั่งตะวันออกก่อนหน้านี้ไม่ได้มีอัศวินถูกส่งไปเลยครับ”
“แสดงว่าเขาทิ้งฝั่งตะวันออกไว้เพื่อใช้มันเป็นสถานที่จัดเทศกาลสินะ นี่ต้องเป็นฝีมือท่านพ่อแน่ๆ”
ก็เข้าใจอยู่หรอกว่าอัศวินไม่สามารถล่ามอนส์เตอร์ทั่วทุกมุมของจักรวรรดิได้ เราคิดอยู่แล้วว่ามันจะต้องมีบางแห่งที่พวกเขาครอบคลุมไม่ทั่วถึง และดูเหมือนว่าสถานที่นั้นก็คือฝั่งตะวันออกสินะ ถ้าพื้นที่นั้นได้รับความเสียหายจากมอนส์เตอร์จนกลายเป็นศูนย์กลางของเทศกาลนี้ขึ้นมามันจะต้องเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวแน่ๆ และการฟื้นฟูมันก็จะง่ายขึ้นตามไปด้วย
สมกับเป็นท่านพ่อจริงๆ
“การดำเนินเทศกาลคงจะเป็นประมาณนี้ครับ, พวกอัศวินจะถูกส่งไปที่ฝั่งตะวันออกและทำการล่ามอนส์เตอร์เป็นเวลาหลายวัน, หลังจากนั้นก็จะต้องเลือกตัวที่มั่นใจที่สุดแล้วนำกลับมาให้องค์จักรพรรดิตัดสินผู้ชนะ นอกจากนี้, ข่าวคราวก็แพร่กระจายออกไปแล้วดังนั้นพวกพ่อค้าเองก็น่าจะเริ่มหลั่งไหลไปที่ฝั่งตะวันออกในขณะที่พวกเรากำลังพูดคุยกันอยู่ครับ”
“ถึงยังไงมันก็เป็นโอกาสในการทำธุรกิจของพวกเขาหล่ะนะ, พวกพ่อค้าคงไม่อยากจะพลาดเทศกาลนี้หรอก ดูเหมือนว่าความใหญ่โตของเทศกาลจะมากขึ้นเรื่อยๆแล้วสิ....ผู้มีอิทธิพลจากทั่วโลกจะต้องมาดูแน่, จุดนี้เองก็น่าจะเป็นปัญหาเหมือนกัน”
“ทะ, ท่านอัลคะ! ข้าคิดแผนออกแล้วหล่ะ!”
“ไหนว่ามาซิ”
หลังจากที่ฟีเน่ตบมือดังแป้ะเธอก็ยกมือขึ้นเพื่อขอแสดงความคิดเห็น
เขานั้นไม่ได้คาดหวังอะไรจากเธอแต่การลองฟังดูก็ไม่ได้เสียหายอะไร ฟีเน่ไม่ใช่นักวางแผนที่เก่งแต่เธอก็ไม่ได้โง่
เธออาจจะสามารถคิดอะไรที่มันแหวกแนวออกมาก็ได้
“ข้าคิดว่าตราบใดที่ท่านอัลเป็นผู้ชนะก็คงจะไม่เป็นไรมั้งคะ!”
“ข้ารู้สึกว่าตัวเองโง่จริงๆที่ฝากความหวังไว้ที่เจ้า.......”
“ท่านฟีเน่ครับ ท่านอาร์โนลด์ต้องทำเป็นว่าเขาเป็นคนไร้ความสามารถ การที่จู่ๆเขาแสดงความสามารถออกมามันจะดูไม่เป็นธรรมชาตินะครับ”
“อ้ะ, นั่นสินะคะ.....ตะ, แต่ว่ามันไม่น่าจะมีทางอื่นที่ทำให้พวกเราชนะอย่างแน่นอนไม่ใช่หรอคะ.......?”
เหมือนกับที่ฟีเน่พูด, การให้เขาเป็นคนชิงที่หนึ่งนั้นคงเป็นวิธีที่แน่นอนที่สุด เพราะว่าเขาคือซิลเวอร์ และแน่นอนว่า, บางทีผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆและอัศวินของพวกเขาก็ไม่น่าจะรับมือเขาไหวด้วย
อย่างไรก็ตาม, ถ้าพวกเขาทำแบบนั้น, พวกเขาก็จะเสียไพ่ตายไปและการทำให้ลีโอได้เป็นจักรพรรดิก็คงจะยากขึ้นด้วย นอกจากนี้การที่เขาใช้แผนนี้, มันจะนำไปสู่การแบ่งแยกความนิยมที่มีประโยชน์อีก
ไม่ว่าเขาจะคิดยังไง, มันก็เป็นการเคลื่อนไหวที่ไม่ดีเลย
“พวกเราต้องหาทางอื่น”
“แต่ในสถานการณ์แบบนี้มันมีไม่กี่วิธีที่พวกเราจะทำได้นะคะ ผู้เข้าแข่งขันคนอื่นสามารถทำได้มากกว่าเราเยอะไม่ว่าจะเป็นการล่อมอนส์เตอร์ไปที่ฝั่งตะวันออกหรือไม่พวกเขาก็สามารถหาตำแหน่งของมอนส์เตอร์หายากเอาไว้ก่อนได้ ซึ่งพวกเราขาดกำลังคนที่จะทำเรื่องพวกนั้นนะคะ”
“ข้ารู้ พวกนั้นคงจะทำแบบนั้นแน่ๆแต่ข้าเองก็สามารถทำอะไรที่คล้ายๆกันได้ ข้าก็แค่ต้อนมอนส์เตอร์ไปที่ฝั่งตะวันออกในฐานะซิลเวอร์ก็เท่านั้นเอง”
“ไม่ได้นะคะ! การทำเรื่องแบบนั้นมัน.....!”
ฟีเน่เป็นคนแรกที่คัดค้านความคิดของเขา
ในขณะที่มองเธอ, เขากับเซบาสก็ยิ้มแหยๆ
เธอคล้ายกับลีโอจริงๆ
“นั่นสินะ, ถึงยังไงถ้าข้าทำแบบนั้นมันก็อาจจะทำให้คนที่อยู่ฝั่งตะวันออกเป็นอันตรายได้ ซึ่งมันก็เป็นเหตุผลที่ข้าไม่คิดจะทำ ลีโอเองก็คงจะไม่เห็นด้วยกับวิธีการแบบนี้”
ในแง่ของความรู้สึกส่วนตัว, มันคือแผนการที่เขาไม่อยากจะใช้จริงๆ ศักดิ์ศรีในฐานะนักผจญภัยของเขาไม่ยอมให้ทำแบบนั้น แต่ถ้ามันจำเป็นจริงๆ, เขาก็อาจจะต้องทำ อย่างไรก็ตาม, มันยังไม่ใช่สำหรับตอนนี้ ถ้าผู้เข้าแข่งทุกคนนอกจากลีโอกลายเป็นทรราชขึ้นมามันก็อีกเรื่องนึงแต่สิ่งที่ถูกเดิมพันในตอนนี้มีแค่ชีวิตของเขา, ลีโอ และแม่ของพวกเขาเท่านั้น ด้วยเหตุนี้เอง, เขาจึงไม่สามารถสร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่นเพียงเพราะมันเกี่ยวพันธ์กับชีวิตของเขาและครอบครัวได้
“งั้นหรอคะ......ค่อยสบายใจหน่อย”
ด้วยความรู้สึกโล่งอก, ฟีเน่ก็ถอนหายใจออกมาหนึ่งเฮือกแล้วก้มศรีษะลงในทันที
“ขะ, ข้าขอโทษจริงๆนะคะ...ข้าเผลอพูดโพล่งออกมาโดยไม่ทันไตร่ตรองให้ดีก่อนอีกแล้ว! ข้ารู้ค่ะว่าท่านอัลคงจะไม่ทำเรื่องแบบนั้นหรอก!”
“ไม่เป็นไรหรอก, คิดอะไรได้ก็พูดออกมาเถอะ ถึงยังไงความคิดเห็นของเธอมันก็อยู่ในวิถีทางที่ถูกต้องมาโดยตลอดอยู่แล้ว”
“ท่านหมายความว่ายังไงหรอคะ......?”
“มันหมายความว่าเจ้าชายชอบท่านยังไงหล่ะครับ ท่านฟีเน่”
“นี่, จะไปกันใหญ่แล้วนะ!!”
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดออกมาด้วยตัวเอง, แต่ใบหน้าของฟีเน่ก็กลายเป็นสีแดงขึ้นมาแล้วเธอก็ใช้สองมือปิดซ่อนเอาไว้
เจ้าจะรู้สึกอายขึ้นมาเองมันก็ไม่เป็นอะไรหรอกแต่คนที่พูดมันคือเซบาสนะ ไม่ใช่ข้าซักหน่อย
“ข้าจำไม่เห็นได้เลยว่าเคยพูดว่าชอบเธอตอนไหน?”
“แล้วท่านเกลียดท่านฟีเน่หรอครับ?”
“ไม่ใช่แบบนั้น, คือว่า......”
“ถ้างั้นก็ถือว่าชอบแล้วกันนะครับ ดีจังเลยนะครับท่านฟีเน่”
“ค่ะ!”
พอเห็นรอยยิ้มเริงร่าของฟีเน่, เขาก็รู้สึกเหนื่อยใจขึ้นมา
สุดท้ายแล้ว, พวกเขาก็ไม่สามารถคิดแผนดีๆได้ดังนั้นพวกเขาก็เลยตัดสินใจว่าจะเก็บไปเป็นการบ้านแล้วจบการประชุม
————-
วันต่อมา, เขาก็ไปรับคำขอของกิลด์ในฐานะซิลเวอร์
เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะกิลด์ได้แจ้งเขามาว่ามีเควสระดับสูงเข้ามา
ปกติเขาแทบจะไม่ค่อยได้เคลื่อนไหวถึงสองครั้งในเดือนเดียว ดูเหมือนว่าเรื่องที่ประชากรมอนส์เตอร์ในจักรวรรดิเพิ่มขึ้นจะเป็นความจริง
ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้หมายความว่ามอนส์เตอร์ที่ปรากฎตัวขึ้นนั้นจะแข็งแกร่งจนถึงขนาดสร้างปัญหาให้กับนักผจญภัยแรงค์ SS อย่างเขา มอนส์เตอร์ที่ปรากฎตัวขึ้นในครั้งนี้ก็คือเซอร์เบอรัสแดง มันแข็งแกร่งมากจนมีนักผจญภัยหลายคนถอดใจ, ด้วยเหตุนี้เองกิลด์จึงตั้งค่าหัวของมัน คลาสของมันนั้นอยู่ที่ AAA, ซึ่งเป็นคลาสเดียวกับราชามิโนทอร์ที่เขาเคยจัดการไปก่อนหน้านี้
เซอร์เบอรัสเองก็เป็นมอนส์เตอร์หายากที่แต่เดิมนั้นไม่มีอยู่ในจักรวรรดินี้ มันต้องหนีจากนักผจญภัยคนอื่นและหลงเข้ามาในดินแดนของจักรวรรดิแน่ๆ
พอมาคิดว่าเขาต้องมาจัดการเรื่องอื่นของจักรวรรดิในช่วงเวลาที่ยุ่งแบบนี้, เขาก็รู้สึกว่าจะต้องรีบจัดการมันโดยเร็ว!
แต่ก็เป็นไปตามที่คิดไว้, มันไม่ใช่มอนส์เตอร์ประเภทที่จะจัดการได้ด้วยการโจมตีเดียว, มันถูกโค่นหลังจากที่เขาโจมตีด้วยเวทมนตร์เป็นครั้งที่สาม ซึ่งในการโจมตีสุดท้ายนั้น, ร่างกายของมันก็หายไปจนเกือบหมดแต่ยังเหลือเขี้ยวติดอยู่ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจว่าจะเอาเขี้ยวกลับไปเป็นหลักฐานว่าจัดการได้แล้ว
ในขณะที่เขากำลังทำหน้าที่ของนักผจญภัยอยู่นั้นเอง, พลม้าหน่วยนึงก็มุ่งหน้าเข้ามาหาเขาจากระยะไกลๆ
พวกนั้นกำลังควบม้ามาที่นี่ด้วยความเร็วค่อนข้างสูง หน่วยพลม้าของใครกันนะ? เจ้าของพื้นที่นี้น่าจะได้รับแจ้งจากกิลด์แล้วไม่ใช่หรอว่าซิลเวอร์กำลังจะมุ่งหน้ามาที่นี่เพื่อจัดการเซอร์เบอรัส.....
“เจ้าที่อยู่ตรงนั้นหน่ะ! ระเบิดเมื่อสักครู่นี้เป็นฝีมือของเจ้าใช่ไหม?”
“ถ้าใช้แล้วจะทำไมหล่ะ? เจ้าบอกชื่อของตัวเองมาก่อนจะดีกว่าไหม?”
ในขณะที่ตอบคำถามที่ดังมาจากข้างหลัง, เขาก็ดึงเขี้ยวออกมาได้แล้วหันกลับไปเผชิญหน้ากับหน่วยพลม้า
จากนั้นเขาก็ตัวแข็งทื่อ เพราะเขาได้เจอกับคนที่คาดไม่ถึงเข้าซะแล้ว
“…….! ?”
คนที่ขี่ม้าอยู่นั้นคือผู้หญิงหน้าตาดีคนหนึ่ง
เธอมีผมยาวสีชมพูเหมือนดอกซากุระและมีดวงตาสีเขียวเหมือนหยก ผมที่เหยียดตรงและสายตาที่แข็งกร้าวของเธอนั้นชวนให้เขานึกถึงดาบที่ทั้งแข็งแกร่งและงดงาม
เขารู้ว่าเธอเป็นใคร แถมยังรู้จักดีเลยด้วย
เนื่องจากว่าเขาไม่ได้ข้องเกี่ยวกับเธอมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว, เขาจึงจำเสียงของเธอไม่ได้แต่ในทันทีที่ได้เห็นเธอเขาก็นึกออกในทันที มันค่อนข้างจะเหมือนกับว่าการพูดถึงใครซักคนที่มีผมสีชมพูซากุระและดวงตาสีเขียวหยกนั้น, จะมีแค่คนๆเดียวเท่านั้นที่ตรงกับคำอธิบายนี้ในจักรวรรดิแห่งนี้
“ข้าคือหัวหน้าของหน่วยรบที่สามแห่งภาคีอัศวินหลวง, เอลน่า ฟ็อน แอมส์เบิร์ก ข้าได้ยินมาว่ามีเซอร์เบรัสกำลังก่อความวุ่นวายอยู่ในพื้นที่ระแวกนี้แต่, บางทีเจ้าคงจะจัดการมันไปแล้วสินะ?”
แอมส์เบิร์ก
แค่ได้ยินชื่อนี้, ก็ทำให้ประเทศรอบข้างสั่นสะท้านแล้ว
พวกเขาคือลูกหลานของผู้กล้าที่จัดการราชาปีศาจที่สร้างความวุ่นวายไปทั่วทวีปเมื่อ 500 ปีก่อน
หลังจากเอาชนะราชาปีศาจได้, จักพรรดิในตอนนั้นก็อยากจะดึงผู้กล้าคนนี้มาอยู่กับเขา อย่างไรก็ตาม, ผู้กล้าได้บอกกับเขาว่าไม่ต้องการทั้งยศดยุค, มาร์ควิสหรือว่าเคานต์ เขาปฏิเสธรางวัลทุกอย่างที่จักพรรดิเสนอให้และเตรียมตัวออกเดินทางท่องโลก ในตอนนั้นเองจักพรรดิก็คิดข้อเสนอนึงขึ้นมาได้, เขาได้เสนอตำแหน่งพิเศษให้กับผู้กล้า, มันคือตำแหน่งที่มีเพียงหนึ่งเดียวทั่วทั้งทวีปนี้
มันคือตำแหน่งที่ชื่อว่า ‘ผู้กล้าหาญ’ มันคือตำแหน่งสูงสุดในหมู่ขุนนางจักรวรรดิ, สถานะของมันนั้นสูงกว่าเจ้าชายด้วยซ้ำ, เพราะพวกเขาไม่จำเป็นต้องก้มหัวให้ใครนอกจากจักรพรรดิ
แต่ถึงจะมีอภิสิทธิขนาดนี้ก็ยังไม่มีใครไม่พอใจ ซึ่งนี่เป็นเพราะพวกเขาสมควรที่จะได้รับมัน, ไม่สิมันเกินกว่าคำว่าสมควรด้วยซ้ำเพราะจักรวรรดิได้ประโยชน์ทางการทหารจากพวกเขามาเป็นเวลาหลายร้อยปีแล้ว
ผู้พิทักษ์จักรวรรดิ เอลน่าคือผู้สืบทอดของ ‘บ้านแอมส์เบิร์กผู้กล้าหาญ’ นี้
และเธอก็เป็นคนที่คอยปกป้องตัวเขาที่อ่อนแอจากการถูกรังในตอนที่เขายังเด็ก เธอมักจะชอบเรียกเขาว่าเจ้าอ่อนและมอบการฝึกสุดหฤโหดให้กับเขาและสิ่งที่เธอปลูกฝังเอาไว้ในตัวเขานี้ก็ทำให้เขาไม่สามารถต่อกรเธอได้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้, เธอคือศัตรูตามธรรมชาติของเขา เขากล้าพูดได้เลยว่า, สิ่งที่เธอเคยทำในตอนนั้นมันก็คือการรังแกรูปแบบนึงนั่นแหล่ะ
และด้วยเหตุนี้เองเขาจึงก้าวถอยหลังไปโดยไม่รู้ตัว, เขาไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้แต่ในตอนนั้นเองเขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าตอนนี้ใบหน้าของเขาซ่อนอยู่ใต้หน้ากากเงินดังนั้นเขาจึงสามารถเรียกสติกลับมาได้
ใช่แล้ว, ใช่ ใช่ ตอนนี้เราไม่ใช่อาร์โนลด์ เราคือซิลเวอร์ต่างหาก
เราไม่กลัวเอลน่าหรอกหน่า!
“แค่ดูยังไม่รู้อีกหรอ? ดูเหมือนว่าท่านหญิงจากบ้านผู้กล้าหาญจะมีสายตาฝ้าฟางสินะ”
“เจ้าว่ายังไงนะ......?”
อ้ะ.....
วะ, เวรแล้วไหมหล่ะ!!??
เขาพูดสไตล์นี้มาเป็นเวลาหลายปีแล้วดังนั้นเขาจึงเผลอใช้น้ำเสียงแบบนี้กับเธอโดยไม่รู้ตัว
ซะ, ซวยแล้วไง!!
“ถ้าดูจากรูปลักษณ์ของเจ้า, เจ้าคงจะเป็นนักผจญภัยแรงค์ SS ซิลเวอร์สินะ? แค่เพียงเพราะเจ้าพอมีฝีมืออยู่บ้างก็เลยกล้าทำตัวกร่างใช่ไหม?”
เอลน่ายิ้มให้เขา
แต่เขารู้ดีว่า เอลน่ามักจะยิ้มในตอนที่เธอโกรธ นี่คือรอยยิ้มแห่งความโกรธของเธออย่างไม่ต้องสงสัย
นะ, นี่มันแย่ไปกันใหญ่แล้ว.... เราไม่อยากไปข้องเกี่ยวกับเอลน่านะ ถ้าตอนนี้เราไม่รีบทำให้สถานการณ์มันสงบลงหล่ะก็.....
“ช่วงนี้เจ้าทำงานแถวเมืองหลวงของจักรวรรดิอยู่ตลอดก็เลยเริ่มถูกผู้คนเรียกว่าผู้พิทักษ์เมืองหลวงถูกไหม? ข้าถือว่านี่เป็นการท้าทายบ้านแอมส์เบิร์กของพวกเราได้รึเปล่า?”
“ผู้พิทักษ์เมืองหลวงมันก็แค่สิ่งที่ผู้คนเรียกข้า ข้าไม่ได้เรียกตัวเองด้วยชื่อแบบนั้นซะหน่อยและข้าก็ไม่ได้สนใจชื่อเล่นพวกนี้ด้วย”
อะ, เอาหล่ะ แบบนี้น่าจะได้อยู่มั้ง
เราน่าจะสื่อกับเธอได้แล้วว่าเรากับเธอไม่ได้เป็นศัต......
“นี่เจ้ากำลังบอกว่าชื่อเล่นจิ๊บจ๊อยอย่างบ้านแอมส์เบิร์กของพวกเราไม่ได้อยู่ในความสนใจของเจ้าหรอ? หรือเจ้ากำลังจะบอกว่าเจ้าคิดว่าชื่อของเรามันไม่ได้มีความสำคัญอะไรมาตั้งแต่แรกแล้ว? แต่ไม่ว่าจะยังไง, นี่มันคือการยั่วยุชัดๆเลยใช่ไหม?”
หา-!!??
มันจบแล้ว! ความประทับใจครั้งแรกของเธอที่มีต่อเรามันเข้าขั้นเลวร้ายแล้วหล่ะ, ไม่ว่าเราจะพูดอะไรออกไปเธอก็จะนำไปตีความผิดๆอยู่ดี! ถึงยังไง, เอลน่าก็เป็นพวกที่เกลียดความพ่ายแพ้เข้ากระดูกดำมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถ้าเริ่มต่อสู้กับเธอเมื่อไหร่ เธอก็จะต้องเหยียบอีกฝ่ายให้จมดินให้ได้ถึงจะพอใจ
เวรจริง! ไหงมันเป็นแบบนี้ได้หล่ะเนี่ย!
เอาเถอะ, ในเมื่อมันเป็นแบบนี้แล้วก็ขอสะสางความขุ่นเคืองที่เก็บมานานหน่อยเถอะ ถึงยังไงตอนนี้จะมาผูกมิตรกับเธอก็คงเป็นไปไม่ได้แล้ว
ในขณะที่เขารวบรวมสติของตัวเอง, เขาก็หัวเราะใส่เอลน่าอย่างเหน็บแนม
“เหอะ, ดูเหมือนเจ้าค่อนข้างจะสนใจเรื่องของข้ามากเลยนี่ บ้านผู้กล้าหาญคงจะมองว่าเกียรติยศเป็นสิ่งที่สำคัญมากเลยสินะ พอมาคิดว่าเจ้าเป็นคนที่ใจแคบจนทนเห็นคนอื่นถูกสรรเสริญไม่ได้แล้วมัน....”
“ว่าไงนะ!? นี่เจ้า! ข้าจะไม่ยกโทษให้กับคนที่กล้าพูดอวดดีแบบนั้นกับตระกูลของข้าโดยเด็ดขาด!”
“ใครกันแน่ที่อวดดี? ข้ากำลังกำจัดมอนส์เตอร์ตามคำขอของกิลด์อยู่ แต่จากที่เจ้าพูดมานั้น, เจ้าตั้งใจจะล่ามันถ้าข้าไม่อยู่ถูกไหม? นี่มันเป็นการยั่วยุกิลด์นักผจญภัยชัดๆเลยไม่ใช่หรอ?”
“ข้าไม่ได้มีความตั้งใจแบบนั้นนะ! ข้าทำเพื่อผู้คนต่างหาก!”
“หัวหน้าครับ ใจเย็นลงหน่อยเถอะ ต่อให้มีการสื่อสารผิดพลาด, แต่ถ้ามีคำขอจากกิลด์หล่ะก็, พวกเราจะมีปัญหาเอาได้นะครับ ยิ่งไปกว่านั้น, พวกเรายังต้องรีบกลับไปที่เมืองหลวงด้วย”
“ชิ.....! ซิลเวอร์! จำเอาไว้เลยนะ! คนที่กำลังปกป้องจักรวรรดิคือพวกเราบ้านผู้กล้าหาญ, อัศวิน, และเหล่าทหารต่างหากหล่ะ! ไม่ใช่พวกนักผจญภัยอย่างเจ้า!”
“ข้าจะจำเอาไว้นะ ถึงแม้ว่าอีกเดี๋ยวเดียวข้าก็จะลืมแล้วก็เถอะ”
“คนอย่างเจ้านี่มัน......!”
พอเห็นเอลน่าที่กำลังจากไปพร้อมกับความเดือดดาล, เขาก็คิดกับตัวเองว่าเขาจบสิ้นแล้วหล่ะ แต่ในเวลาเดียวกันนั้นเอง, เขาก็รู้สึกสดชื่นขึ้นหลังจากที่สามารถระบายความคับแค้นใจที่เก็บเอาไว้นานแสนนานออกมาได้
เอลน่าเข้าร่วมภาคีอัศวินหลวงตั้งแต่อายุสิบเอ็ด, เธอคืออัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะ ตั้งแต่ตอนที่เธอได้รับภารกิจสำคัญๆอยู่บ่อยๆ, เขาก็ไม่ค่อยได้เจอเธออีกเลย และในตอนที่เจอกันก็ได้เห็นหน้ากันเพียงชั่วครู่, เพราะเธอไม่ค่อยจะมีเวลาเท่าไหร่นัก, ซึ่งทั้งหมดที่พวกเขาสามารถทำได้ก็คือการพูดคุยกันแค่สั้นๆ
อย่างไรก็ตาม, ครั้งนี้เขาสามารถเอาชนะเธอได้ อืม, รู้สึกดีชะมัด! ตอนนี้เราเข้าใจแล้วหล่ะว่าเด็กที่ถูกรังแกรู้สึกยังไงในตอนที่ล้างแค้นคนที่รังแกได้สำเร็จ
“แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังไม่ได้เปลี่ยนความจริงที่ว่าเราสร้างศัตรูขึ้นมาโดยไม่จำเป็นหล่ะนะ......”
นี่เราทำอะไรลงไปเนี่ย......
ถ้าบ้านแอมส์เบิร์กตัดสินใจเป็นศัตรูกับพวกเรามันก็ถือว่าเป็นความผิดของเราเต็มๆเลยสินะ......
“ดูเหมือนข้าจะทำพังซะแล้วสิ........”
จากนั้นเขาก็เดินทางกลับในขณะที่เกาศรีษะของตัวเองไปด้วย