บทที่ 69 ยอดฝีมือมวยอ่อน
เย่โม่ได้ฟังพยาบาลทั้ง 2 คนคุยกันจึงได้เข้าใจ เป็นหนิงชิงเชวี่ยที่ขอย้ายกลับไปด้วยตัวเอง ทำไมเธอถึงต้องทำแบบนั้นด้วย? แต่ในเมื่อเป็นแบบนี้เขาก็ไม่รีบร้อนอีก รอตอนมืดค่ำไร้ผู้คนค่อยแอบเข้าไปช่วยเธอสักครั้ง รักษาแผลเธอให้หายแล้วค่อยว่ากัน ส่วนเรื่อง ‘หญ้าหัวใจสีเงิน’ ควรจะเอาไปด้วยไหมค่อยคิดอีกที
เมื่อตอนนี้รู้แล้วว่ารถพยาบาลจะไปส่งหนิงชิงเชวี่ยที่ไหน เย่โม่ก็ไม่ได้สะกดรอยตามอีก เขากำลังคิดว่าคนที่ทำให้หนิงชิงเชวี่ยต้องบาดเจ็บเจียนตาย...มันซ่อนตัวอยู่ที่ไหน ถึงเขาจะแน่ใจแล้วว่าเป็นฝีมือคนตระกูลซ่ง แต่ฐานของตระกูลซ่งในหนิงไห่อยู่ที่ไหนเย่โม่เองก็ไม่รู้
เย่โม่หาร้านอาหารที่ค่อนข้างสะอาดแห่งหนึ่ง พอกินเสร็จแล้วเย่โม่จึงเดินออกมา จังหวะนั้นเองที่เขาเห็น 3 คนไม่ไกลกำลังเดินออกจากร้านอาหารระดับมิชเชอลิน สตาร์ เป็นชาย 2 หญิง 1
เย่โม่จำชาย 1 ในนั้นได้ เขาคือวังเผิง แต่ที่ทำให้เขาสนใจกลับไม่ใช่วังเผิง กลับเป็นชายที่อยู่ข้างๆ เขาต่างหาก ชายคนนั้นมีอายุประมาณ 40 ปี รูปร่างไม่เล็กไม่ใหญ่ ใบหน้ายาว ผมสั้น หน้าผากของเขานูนแคบเล็กน้อย เย่โม่มองดูแวบเดียวก็รู้ว่าชายคนนี้เป็นยอดฝีมือ
ชายคนนั้นราวกับรู้ว่าเย่โม่กำลังมองสำรวจเขาอยู่ เขาหันมามองทางเย่โม่ทันที เย่โม่เก็บงำสายตากลับไปพลางคิดในใจว่าชายคนนี้แข็งแกร่ง เขาแข็งแกร่งกว่าเหวินตงอยู่ไม่น้อย ฝีมือถึงจะไม่เท่าตัวเขาแต่ก็ห่างกันไม่มากนัก
เป็นครั้งแรกที่เย่โม่ได้พบยอดฝีมือระดับนี้ ตอนนี้เขารู้แล้วว่าข้อมือของวังเผิงได้ชายคนนี้ช่วยรักษานี่เอง ส่วนหญิงสาวอีกคนมีรูปร่างค่อนข้างสูง เธอเดินตามหลังวังเผิงมาเงียบๆ เย่โม่มองเธอแวบหนึ่งก็ไม่สนใจอีก ผู้หญิงคนนี้เป็นแค่คนธรรมดาเท่านั้น
พวกเขาเดินมาที่รถออร์ดี้สีดำคันหนึ่งและกำลังพูดคุยกันอยู่ เย่โม่เอนตัวไปฟังอย่างไม่ตั้งใจ ตอนนี้จิตสัมผัสของเขามีระยะประมาณ 8 เมตรรอบตัวแล้ว เขาอยากจะรู้ว่าคนพวกนี้กำลังพูดคุยอะไรกันอยู่ สุดท้ายเย่โม่ก็มาหยุดอยู่ตรงหลังแผงหนังสือ ตรงนี้เป็นจุดที่เขาสามารถสอดแนมได้พอดี
“ครั้งที่แล้วโชคดีที่มีพี่หูอยู่ ไม่อย่างนั้นถึงตอนนี้แขนผมก็ยังขยับไม่ได้ ครั้งนี้พี่ก็มาช่วยอีก…ผมรู้สึกละอายจริงๆ ที่ครั้งนี้ผมก็ไม่ได้ขอบคุณพี่อย่างสมเกียรติอีกแล้ว” เสียงวังเผิงดังขึ้น
เย่โม่คิดในใจว่าเป็นชายคนนี้ที่รักษาข้อมือของวังเผิงจริงๆ ชัดเจนแล้วว่าเขาคือยอดฝีมือมวยอ่อน เป็นครั้งแรกที่เย่โม่ได้พบกับยอดฝีมือมวยอ่อนบนโลกนี้ อย่างเหวินตงที่เขาเจอครั้งที่แล้วก็มีดีแค่ลอบสังหารกับต่อสู้ตะลุมบอนก็เท่านั้น ยังห่างไกลจากคำว่า ‘กำลังภายใน’ อีกเยอะ
ชายวัยกลางคนโบกมือ “คุณชายเผิงเกรงใจเกินไปแล้ว พ่อของคุณเองก็สนับสนุนคุณชายถาน ช่วยเหลือแค่นี้จะนับเป็นอะไรได้ แต่คราวหลังก็อย่าได้ไปหาเรื่องพวกขายยาปลอมข้างถนนแบบนี้อีก ในหมู่คนพวกนี้มักจะมีคนมีฝีมือซ่อนอยู่เสมอ”
“ผมจะจำคำสอนของพี่หูให้ขึ้นใจ ขอให้พี่หูฝากคำทักทายไปให้คุณชายถานแทนผมกับพ่อด้วย ช่วงนี้จะให้ไปหาถึงที่ก็ดูจะไม่สะดวกอยู่บ้าง ต้องขอบคุณพี่หูมาก” คำพูดของวังเผิงนั้นเต็มไปด้วยความเคารพนอบน้อม
ชายวัยกลางคนโบกมือ เขาเดินขึ้นรถออร์ดี้คันนั้นแล้วรถก็แล่นออกไปไกล
เย่โม่ไม่มีอารมณ์จะไปสนใจวังเผิง คนที่เขาสนใจก็คือชายที่วังเผิงเรียกว่าพี่หู ชายคนนี้เป็นยอดฝีมือ เย่โม่รีบตามรถออร์ดี้คันนั้นไปทันที ผ่านไป 20 นาทีฟ้าก็เริ่มมืด รถออร์ดี้ก็แล่นเข้าไปในคฤหาสน์ส่วนตัวแห่งหนึ่ง เย่โม่ใช้จิตสัมผัสสำรวจรอบๆ คฤหาสน์หลังนี้ ทุกที่มีกล้องวงจรปิด ไม่มีหนทางอื่นให้เข้าไปข้างใน
คิดอยู่ครู่หนึ่ง เย่โม่ก็ตัดสินใจว่าคืนนี้ค่อยมาอีกครั้งแล้วทำลายกล้องวงจรปิดพวกนี้ จากนั้นค่อยตามหาพี่หูคนนี้อีกที สาเหตุที่เย่โม่ต้องการตามหาชายคนนี้ก็เพราะเขาไม่ค่อยเข้าใจโครงสร้างระดับพลังของผู้ฝึกยุทธในโลกใบนี้นัก เขาไม่รู้ว่าต้องฝึกถึงระดับไหนจึงจะเรียกว่าปลอดภัยไร้กังวล
ต่อให้ต้องเค้นเอาคำตอบเย่โม่ก็จะทำ เพื่อว่าวันหนึ่งหากเขาต้องเผชิญหน้ากับยอดฝีมือที่แท้จริงแล้วเขาจะได้เตรียมตัวได้…แต่เห็นได้ชัดว่าเวลานี้ดูจะไม่เหมาะสม ฟ้าเพิ่งจะเริ่มมืดเท่านั้น รวมถึงเขายังต้องรักษาหนิงชิงเชวี่ย...แต่เวลานี้ก็ไม่เหมาะจะไปหาเธอเช่นกัน ข้างกายของหนิงชิงเชวี่ยแน่นอนว่าต้องมีคนเฝ้าอยู่ เขาไปตอนนี้คงไม่สะดวกเท่าไหร่
รอฟ้ามืดสนิทก่อนเขาค่อยไปรักษาเธอ หลังจากรักษาเสร็จจึงค่อยวกกลับมาที่นี่อีกครั้ง
เย่โม่มีความคิดที่จะไปมหาวิทยาลัยหนิงไห่เพื่อดูชือซิวเสียหน่อย แต่คิดอีกทีเขาก็ล้มเลิกแผนการนี้ไป ตอนนี้พลังของเขายังถือว่าต่ำนัก หากตระกูลซ่งรู้ว่าชือซิวเกี่ยวข้องกับเขาล่ะก็...เรื่องนี้อาจจะกระทบชือซิวก็เป็นได้
เย่โม่เดินออกมาจากเขตคฤหาสน์ของพี่หูคนนี้ เขาเตรียมจะไปซื้อของในเขตตัวเมืองของหนิงไห่ ตอนนี้เขาพอมีเงินติดตัวอยู่ รักษาหนิงชิงเชวี่ยเสร็จเขาก็วางแผนจะไปดูลั่วชางเสียหน่อย หากเป็นไปได้เขาก็คงหางานทำที่ลั่วชางเลย หากหาไม่ได้ก็คงไปบริษัทของญาติฉือหว่านชิงแทน
เย่โม่วางแผนจะหาห้องเช่าสักห้อง เมื่อเรื่องทุกอย่างอยู่ตัวแล้ว เขาก็คิดจะหานักวิทยาศาสตร์มาช่วยตรวจสอบดินเสียหน่อย จากนั้นจึงค่อยปลูก ‘หญ้าหัวใจสีเงิน’ ถึงอย่างไรดอกไม้ชนิดนี้ก็ใช้เวลาเติบโตนานพอสมควร ช่วงเวลานี้เองเขาก็วางแผนว่าจะไปทะเลทรายทากลามากัน เขาไม่คิดจะรอให้ ‘หญ้าหัวใจสีเงิน’ โตก่อนค่อยเดินทางหรอก ถ้าทำอย่างนั้นก็ดูจะเป็นการสิ้นเปลืองเวลาเกินไป
บนโลกที่พลังฟ้าดินเบาบางแห่งนี้ หากยังมามัวเสียเวลาอีกเย่โม่ก็ไม่รู้แล้วว่าเมื่อไหร่จึงจะฝึกถึงระดับที่เขาหวังไว้เสียที แม้เขาจะพยายามยามมากมายขนาดนี้ก็ยังไม่เห็นปลายทาง ทว่าความพยายามก็นำมาซึ่งความหวังเช่นกัน หากไม่พยายามเสียวันนี้ความหวังก็จะสูญหายไปด้วย
หนิงชิงเชวี่ยเพื่อปกป้อง ‘หญ้าหัวใจสีเงิน’ แล้วถึงกับยอมเสี่ยงชีวิตแบบนั้น ถึงเย่โม่จะไม่รู้สาเหตุแต่เขาก็จะไม่ยอมให้เธอเอา ‘หญ้าหัวใจสีเงิน’ ของเขาไปแน่
“อา! นายนี่เอง ในที่สุดฉันก็หานายเจอแล้ว” เสียงๆ หนึ่งดังขึ้นขัดจังหวะความคิดของเย่โม่
พอเย่โม่หันกลับไปมองก็พบว่าเป็นคนคุ้นเคยจริงๆ เหมือนจะชื่อว่าฟางเว่ยเฉิง เย่โม่เจอเขาครั้งที่แล้วตอนฝึกวิชาหมัดที่สวนสาธารณะตรงทะเลสาบชิงตู้ ตอนนั้นฟางเว่ยเฉิงมาขอท้าสู้กับเขา เพียงกระบวนท่าเดียวฟางเว่ยเฉิงก็พ่ายแพ้เสียแล้ว
“นายนี่เอง ฟางเว่ยเฉิง” เย่โม่พยักหน้า ชายที่ชื่อฟางเว่ยเฉิงตรงหน้าถือว่าเป็นคนตรงไปตรงมาคนหนึ่ง
ฟางเว่ยเฉิงที่เห็นว่าเย่โม่จำชื่อของตนได้ก็พูดออกมาอย่างยินดี “ไม่คิดว่านายจะจำฉันได้นะเนี่ย ตั้งแต่วันนั้นฉันก็รอนายที่ทะสาบชิงตู้มาตลอด แต่ก็ไม่เห็นนายเลย ได้เจอกับนายที่นี่ถือว่าโชคดีจริงๆ!”
เย่โม่ยิ้มบางๆ “นายตามหาผมมีเรื่องอะไรหรือเปล่า”
ฟางเว่ยเฉิงบีบไม้บีบมือด้วยท่าทีกระวนกระวายใจอยู่บ้าง ในใจเขารู้ดีว่าเย่โม่นั้นแข็งแกร่ง ต่อให้มีเขา 2-3 คนก็ไม่ใช่คู่มือของชายตรงหน้า
“อย่างนี้นะ นายพอจะมีเวลาคุยสักหน่อยไหม” ฟางเว่ยเฉิงพูดจบก็มองเย่โม่ด้วยความคาดหวัง
เย่โม่คิดในใจ ตอนนี้เขายังพอมีเวลาว่างและไม่มีอะไรให้ทำ ในเมื่อฟางเว่ยเฉิงตามหาเขาเพราะมีธุระ…คิดถึงตรงนี้เย่โม่ก็พยักหน้า “ได้สิ”
เมื่อเห็นว่าเย่โม่ตอบรับฟางเว่ยเฉิงก็ดีใจมาก เขารีบพาเย่โม่ไปยังร้านอาหารสไตล์ตะวันตกที่มีบรรยากาศเงียบสงบแห่งหนึ่ง เขาสั่งอาหารมา 2-3 อย่างโดยไม่ได้ถามเย่โม่สักคำ
ถึงแม้จะไม่เคยกินอาหารสไตล์ตะวันตกมาก่อน แต่เย่โม่ก็รู้สึกว่าอาหารพวกนี้รสชาติไม่เลวเลย กินไปได้ไม่กี่คำเย่โม่ก็ถามขึ้น “ตกลงที่ตามหาผมเพราะเรื่องอะไรกันแน่?” ถ้าฟางเว่ยเฉิงจะขอนับถือเขาเป็นอาจารย์ล่ะก็ เย่โม่จะปฏิเสธอย่างไม่ลังเลเลย เขาไม่มีเวลาไปสอนลูกศิษย์ลูกหาอะไรทั้งนั้น
ฟางเว่ยเฉิงประสานมือคำนับ “ยังไม่รู้ชื่อนายเลย”
“ผมชื่อ ‘ชืออิ่ง’” เย่โม่ไม่อยากเปิดเผยชื่อจริงของตัวเองให้คนในหนิงไห่รู้ อีกอย่างชื่อ ‘ชืออิ่ง’ ยังแฝงความหมายเอาไว้มาก หนึ่งในนั้นก็คืออาจารย์ของเขาลั่วอิ่ง ส่วนอีกเหตุผลก็คือเพื่อพ้องเสียงกับคำว่า ‘คิดถึงอาจารย์’ (失ชือ แปลว่า คิดถึง) นั่นเอง
ฟางเว่ยเฉิงที่ได้ยินชื่อของเย่โม่ก็ตกตะลึงไปพักหนึ่ง แต่พริบตาเดียวก็ปรับอารมณ์กลับมาเป็นปกติได้ในทันที ในความคิดของเขาชื่อนี้ออกจะเหมือนชื่อผู้หญิงอยู่บ้าง แต่เขาไม่มีทางพูดออกไปแน่นอน อีกอย่างวันนี้เขาก็มาขอความช่วยเหลือจากเย่โม่ด้วย
..........