Ep.67 - ไป๋หลี จิ้งจอกขาว
1/4
โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.67 - ไป๋หลี จิ้งจอกขาว
“เจ้าพวกสารเลวองค์กรร้าย!” หลินเต๋อหรงสำรวจรูปลักษณ์ของเสี่ยวไป๋ ในสมองนึกคิดไปว่าอีกฝ่ายมีเอกลักษณ์เกินกว่าจะถือว่าเป็นมนุษย์ จากนั้นก็เริ่มจินตนาการเลยเถิดไปไกลถึงข่าวลือที่พวกองค์กรร้ายมักจะทดลองกับมนุษย์และสัตว์
“วางใจเถอะ ฉันจะช่วยมอบสถานะให้กับเด็กคนนี้เอง!”
หากเป็นการขอความช่วยเหลือในกรณีแบบนี้ หลินเต๋อหรงย่อมยินดีเปิดประตูให้ความร่วมมือ นับประสาอะไรกับที่ฉินเฟิงเป็นคนเพิ่งจะออกจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าไป
ต้องไม่ลืมนะว่า ก่อนหน้านี้ ฉินเฟิงเคยกลับมายังสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าอีกครั้ง เพื่อบริจาคเนื้อนายพลสัตว์ร้าย
ดังนั้นสถานะในปัจจุบันของฉินเฟิงจึงเปลี่ยนไป เขามิใช่เด็กกำพร้าอีกแล้ว หากแต่มีสถานะเป็นผู้มีพระคุณ!
ซึ่งสิ่งที่เขาขอมันเป็นแค่เรื่องเล็กน้อย หลินเต๋อหรงจึงไม่จำเป็นต้องปฏิเสธ
“จริงสิ ว่าแต่จากนี้ไปเธอจะตั้งชื่อให้กับเด็กคนนี้ว่าอะไร? แม่สาวน้อยมีชื่ออยู่แล้วรึเปล่า?” หลินเต๋อหรงเอ่ยถาม
พอได้ยินประโยคนี้ เสี่ยวไป๋ก็พยักหน้า และตอบกลับไปตามธรรมชาติ
“หนูมีชื่อว่าเสี่ยวไป๋!” (ขาวน้อย)
สีหน้าของหลินเต๋อหรงกลายเป็นโกรธขึ้นมาทันที เพราะนั่นมันชื่อหมาไม่ใช่หรือ?
แต่เขาก็ยังฝืนยิ้ม และเอ่ยอย่างอ่อนโยน “ฉันว่าพวกเรามาช่วยกันตั้งชื่อใหม่ที่มันดีกว่านี้ดีกว่านะ”
เสี่ยวไป๋อดไม่ได้ที่จะหันไปมองฉินเฟิง
ฉินเฟิงรู้สึกเขินขึ้นมาทันที ก็ตอนแรกที่เขาเจอเสี่ยวไป๋ ดูยังไงมันก็เหมือนกับหมาปอมเลยนี่นา เขาก็เลยตั้งชื่อมันไปแบบนั้น แต่ใครจะรู้ ว่าจริงๆแล้วมันคือจิ้งจอก ไหนจะขนาดตัวที่ตอนนี้โตขึ้นแล้วอีก พอมาย้อนคิดดูถึงเรื่องที่ตนตั้งชื่อนี้ให้แก่มัน เขาก็อดอายไม่ได้จริงๆ
ฉินเฟิงมองเข้าไปในดวงตาแวววาวของเสี่ยวไป๋ วิสัยทัศน์ตรึงอยู่กับจิ้งจอกน้อย บังก่อนประกายแสงวาบผ่านเข้ามาในจิตใจ
“งั้นตั้งชื่อใหม่ว่าไป๋หลีก็แล้วกัน! หลีที่มาจากคำว่าแก้ว แก้วที่ระยิบระยับแวววาว!”
“ไป๋หลี?” หลินเต๋อหรงคิดอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายพยักหน้า “โอเค อันนี้ผ่าน!”
ตกลงกันเสร็จ หลินเต๋อหรงก็หันไปจัดแจงข้อมูล ส่วนฉินเฟิงยื่นมือไปสัมผัสกับผมยาวของเสี่ยวไป๋ แม้ว่ามันจะไม่มีขนนุ่มฟูเหมือนก่อนหน้านี้ แต่ก็เรียบเนียนเป็นอย่างมาก
“หลังจากนี้ไป ถ้าจะแนะนำตัว ให้บอกไปว่าชื่อไป๋หลี ถ้ามีใครถามว่าเกี่ยวข้องอะไรกับฉัน ก็ขอให้บอกไปว่าเป็นแฟนของฉินเฟิงนะ เข้าใจไหม?”
“อื้อ!” เสี่ยวไ- ไม่สิ ตอนนี้คือไป๋หลีแล้ว ไป๋หลีพยักหน้า เข้าใจว่านี่คือวิธีที่ฉินเฟิงทำเพื่อไม่อยากให้มันเรียกเขาว่านายท่านหรืออะไรทำนองนั้น
‘คำๆนี้ไม่สามารถเอ่ยได้ในหมู่มนุษย์ใช่หรือไม่? ไม่น่าแปลกใจเลยที่สัตว์สองขาตัวเมียในห้องลองเสื้อ เกิดท่าทีตอบสนองแปลกออกไปเมื่อได้ยินมัน’
ไป๋หลีมีสถานะกลายเป็นแฟนของเจ้านายโดยอัตโนมัติ
ไม่นานนัก หลินเต๋อหรงก็จัดแจงข้อมูลจนเสร็จสิ้น เขาทำการป้อนข้อมูลลงในอุปกรณ์สื่อสารที่ฉินเฟิงซื้อมาใหม่ แล้วนำไปใส่ข้อมือของไป๋หลี
ติ๊ง ติ๊ง ติ๊ง!
เสียงอุปกรณ์ดังขึ้น แต่ไม่ได้มาจากทางไป๋หลี มันเป็นของฉินเฟิง
“ฉินเฟิง วันนี้นายไม่ได้มาโรงเรียนหรอ? เป็นอะไรรึเปล่า เล่นโดดเรียนซะวันแรกของภาคเรียนเลยนะ”
น้ำเสียงของโจวฮ่าวฟังดูเป็นกังวล เขาพาลคิดไปว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับฉินเฟิง
วันนี้โจวฮ่าวเดินทางไปโรงเรียนด้วยตัวเอง เพราะท้ายที่สุดแล้ว ถึงแม้ว่าฉินเฟิงจะมีรถล่องเวหา แต่โจวฮ่าวรู้สึกว่าในย่านแออัด ช่วงเช้ามีผู้คนชุกชุมอยู่มากเกินไป ถ้าให้ฉินเฟิงขับรถมามันคงลำบาก เขาเลยบอกฉินเฟิงมาไม่จำเป็นต้องมารับก็ได้
เพราะยังไงซะ เขาคือสหายที่เปรียบดั่งพี่น้อง แต่ไม่ใช่แฟน!
เพียงแต่ว่าโจวฮ่าวไม่คาดคิดเลย ว่าพอเขาไปหาฉินเฟิงในช่วงพักเที่ยง กลับไม่เจออีกฝ่าย หลังจากที่ลองเอ่ยปากถามคนอื่นๆ ถึงได้รู้ว่าฉินเฟิงยังไม่ได้มาเรียน
และนี่เอง คือเหตุผลที่โจวฮ่าวโทรมาหาฉินเฟิง
“พอดีว่ามีสถานการณ์เร่งด่วนที่ต้องจัดการน่ะ!” ฉินเฟิงอธิบายอย่างคลุมเครือ
“ถ้าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ยังไงก็ตาม ตอนบ่ายนายต้องมานะ เห็นเขาบอกกันว่าจะมีประชุมระดับชั้น!” โจวฮ่าวเตือน
“โอเค”
หลังจากวางสาย ฉินเฟิงก็กล่าวคำลากับหลินเต๋อหรง แต่ก่อนจะจากไป ฉินเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “ผู้อำนวยการ ก่อนหน้านี้ผมได้ไปสู้บนเวทีประลองใต้ดินมา เพื่อที่จะฝึกฝนพัฒนาตนเอง แต่พอชนะได้เงินมากๆเข้า คนพวกนั้นก็ใช้เรื่องสถานเลี้ยงเด็กกำพร้ามาข่มขู่ ผมกลัวว่าอาจจะสร้างปัญหาให้กับคุณโดยไม่ตั้งใจ! แต่ขอให้มั่นใจ ปัญหาที่ว่าจะได้รับการแก้ไขอย่างรวดเร็ว!”
เนื่องจากครั้งก่อนฉินเฟิงได้เห็นถึงฝีมือของหลินเต๋อหรงมาบ้างแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ปฏิบัติต่ออีกฝ่ายในฐานะชายชราที่ไม่มีเรี่ยวแรงจะต่อต้านศัตรู
และในเมื่อทั้งสองมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ดังนั้นคงจะเป็นการดีกว่า ถ้าอะไรบางอย่างจะพูดมันออกไปตรงๆ
“เวทีประลองใต้ดิน?” สีหน้าของหลินเต๋อหรงอดไม่ได้ที่จะหนักอึ้ง แต่เขาก็ยังไม่ถึงขั้นเอ่ยปากดุฉินเฟิงในทันที
ชายชราพาลย้อนนึกไปถึงการต่อสู้ในครั้งก่อนของฉินเฟิง หลินเต๋อหรงไม่คิดดูถูกฝีมือของฉินเฟิงเช่นกัน
“ฉินเฟิง ถ้าเธอรู้สึกว่าตัวเองแกร่งพอ ก็ทำต่อไปเถอะ ส่วนปัญหาเรื่องคำขู่ เธอไม่ต้องไปฟังลมปากของพวกเขา เจียงเส้าหยางไม่สามารถทำอะไรฉันได้หรอก!” หลินเต๋อหรงกล่าว
“เจียงเส้าหยาง?” ฉินเฟิงทวนซ้ำ เขาไม่เคยได้ยินชื่อของคนๆนี้มาก่อน แต่หากฟังจากปากของหลินเต๋อหรง อีกฝ่ายไม่น่าจะเป็นคนแปลกหน้าใช่หรือไม่?
“อืม เขาคือหัวหน้าของคลับอินทรี มีความแข็งแกร่งอยู่ในเลเวล F7 แต่ความสามารถในการต่อสู้ของเขายังคงด้อยกว่าเลเวลที่เป็นอยู่ นอกจากนี้ เขายังมีบุคลิกเป็นคนอารมณ์ร้อน เธอจะต้องระวังตัวให้ดี!” หลินเต๋อหรงอธิบาย
“ครับ! ผมเข้าใจแล้ว ผู้อำนวยการ!”
หลังจากบอกหลินเต๋อหรง ฉินเฟิงก็พาไป๋หลีไปโรงเรียน
“เสี่ยวไป๋ แกพอจะสามารถเปลี่ยนร่างกลับไปในรูปลักษณ์จิ้งจอกน้อยเหมือนคราวก่อนได้ไหม?” ฉินเฟิงเอ่ยถาม เพราะหากเสี่ยวไป๋ไปโผล่กลางโรงเรียนในสภาพนี้ ฉินเฟิงคงไม่สามารถพาตัวมันเข้าไปด้วยได้
ไป๋หลีกลอกตามองบน
“นายท่านช่างเป็นมนุษย์ที่มีปัญหามากมายเหลือเกิน!”
ว่าจบ ร่างกายของเสี่ยวไป๋ก็เริ่มหดเล็กลง ในพริบตา มันก็กลับกลายมาเป็นรูปลักษณ์จิ้งจอกขนาดเท่าสองฝ่ามือ
แน่นอน ว่าหากเป็นในโหมดพร้อมรบ เสี่ยวไป๋จะขยายขนาดเป็นครึ่งเมตรเอง
จิ้งจอกน้อยรีบคลานออกจากกองเสื้อผ้าผู้หญิง โดยมีชุดชั้นในห้อยติดอยู่บนหัวของมัน
ดวงตาของฉินเฟิงยิ้มหยี เขาอุ้มเสี่ยวไป๋ แล้ววางลงบนไหล่ตน ก่อนจะลงจากรถ แล้วมุ่งหน้าเข้าสู่พื้นที่ของสถาบันระดับสูง
ระหว่างทาง เขาก็ได้พบกับอาจารย์เฉิงเฉาที่เคยทำการทดสอบแก่ตนเอง
“ฉินเฟิง ทำไมเธอไม่มาเรียนในช่วงเช้า?” เมื่อเห็นฉินเฟิง เฉิงเฉาอดไม่ได้ต้องเอ่ยถาม
ฉินเฟิงไม่คิดเลย ว่าหลังจากที่ผ่านกระบวนการศึกษาต่างๆมาจนหมดสิ้นแล้วในชีวิตก่อนหน้า การกลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง ดันมีคนต้องมาคอยจับผิดตนเองตลอดเวลา
ฉินเฟิงอึดอัดใจเล็กน้อย เอ่ยปากออกไป “พอดีว่าผมมีเรื่องนิดหน่อยก็เลยมาสาย ว่าแต่อาจารย์รู้ได้ยังไงครับ ว่าผมจะมาเข้าเรียนในช่วงเวลานี้?”
เฉิงเฉายิ้ม “จริงๆฉันก็คิดว่าเธอจะไม่มาแล้วเหมือนกัน แต่ในฐานะครูประจำชั้น ฉันต้องมีความรับผิดชอบต่อนักเรียน เลยตัดสินใจมายืนรอที่นี่ มาเถอะ ในช่วงบ่ายยังเหลือบทเรียนเรื่องธาตุอีกคลาสหนึ่ง จากนั้นก็จะเป็นการประชุมชั้นปี คราวนี้อย่าโดดเชียวนะ เพราะถึงหลักสูตรของสถาบันระดับสูงจะง่าย แต่การจะผ่านภาคการศึกษามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย!”
“ครับอาจารย์!”
บทเรียนของฉินเฟิงที่เฉิงเฉาบอก คือการสอนเกี่ยวกับหลักพื้นฐานอบิลิตี้ ดังนั้นในฐานะอาจารย์ การเป็นห่วงฉินเฟิงจึงเป็นเรื่องปกติ
เมื่อทั้งสองมาถึงชั้นเรียน ก็พบกับเหล่าวัยรุ่นทั้งชายหญิงอายุ 16 ปี ที่เพิ่งจบการศึกษาจากสถาบันระดับกลาง กำลังนั่งรอเฉิงเฉาอย่างเป็นระเบียบ
เมื่อเห็นเด็กๆ เฉิงเฉาก็เผยรอยยิ้มแย้มออกมา
เด็กๆช่างน่ารักกันซะจริงๆ!
“ฉินเฟิง อันดับแรกเธอก็แนะนำตัวเองก่อน แต่ทุกคนแนะนำตัวกันไปหมดแล้ว ดังนั้นเอาไว้เธอค่อยทำความรู้จักกับพวกเขาในภายหลัง”
ฉินเฟิงพยักหน้า มองไปทางฝูงชน ชัดเจนว่าคลาสผู้ใช้อบิลิตี้มีขนาดเล็กมาก เท่าที่กะจากสายตามีเพียง 21 คน ฉินเฟิงจดจำหน้าของพวกเขาได้ทั้งหมดในคราวเดียว เพียงแต่ยังไม่รู้จักชื่อ แต่เขาทราบดี ว่าในอนาคต ทั้งหมดจะต้องกลายเป็นตัวตนสำคัญในสถานที่ชุมชนทางตอนเหนือ
“ฉันชื่อว่าฉินเฟิง จบการศึกษาจากสถาบันระดับกลางที่สิบ ฉันไม่มีคำแนะนำตัวที่พิเศษอะไรมากมาย แต่ฉันอยากจะแนะนำคู่หูของตัวเองให้ได้รู้จัก!” ฉินเฟิงตบลงบนก้อนกลมๆสีขาวบนไหล่เขา
“นี่คือสัตว์ร้ายที่ทำสัญญากับฉัน มันแข็งแกร่งมาก ฉันหวังว่าทุกคนจะไม่พยายามที่จะสัมผัสมันด้วยความอยากรู้อยากเห็น และจะเป็นการที่ดีที่สุดหากไม่เข้าใกล้มัน มิฉะนั้นบางทีสิ่งที่พวกเราไม่ต้องการจะพบเจอ อาจจะเกิดขึ้นก็ได้!”