BB ตอนที่ 1 บทนำ
BB ตอนที่ 1 บทนำ
‘ชิงอวี่….. ช่วยด้วย….. ชิงอวี่…..”
แสงจากเปลวเพลิงที่กำลังโหมไหม้ส่องสว่างขึ้นไปบนท้องฟ้า
เด็กชายตัวน้อยผู้งดงามคนหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้เข็น ส่งสายตาสิ้นหวังให้เด็กหญิงคนหนึ่งซึ่งมีหน้าตางดงามคล้ายคลึงกันที่อยู่ไม่ไกลจากตน ที่ต่างกันคือเด็กหญิงตัวน้อยท่าทางดูใจเสาะและหวาดกลัวยิ่งนักยามเมื่อมองเด็กชายที่ติดอยู่ในกองเพลิง บนใบหน้าหวาดกลัวจนดูท่าว่าในหัวน้อย ๆ ของนางกำลังคิดที่จะวิ่งหนีไป
ความร้อนจากเปลวเพลิงที่รายล้อมกำลังกัดกินร่างของเด็กชาย เขากัดฟันแน่น มองเด็กหญิงเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะหลับตาลง “ชิงอวี่….. ไปเสีย…..”
เด็กหญิงดูท่าทางโล่งใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น ร่างเล็กหันไปทันใด ก่อนจะเริ่มออกวิ่งโดยไม่หันหลังกลับมาอีก
จนกระทั่งร่างของนางเลือนหายไปจากนัยน์ตาของเด็กชาย
เด็กชายดึงสายตนลงมองต่ำก่อนจะหัวเราะเยาะตนเอง หยาดน้ำตาใสราวผลึกแก้วกลิ้งออกมาจากหางตาราวกับเขาได้โยนความหวังสุดท้ายทิ้งไปแล้ว
อย่างไรเขาก็ต้องตายมิใช่หรือ? เขาน่าจะตายไปตั้งนานแล้ว
ไม่เพียงแต่เขาจะต้องตายโดยฝีมือเหล่าคนที่ต้องการสังหารเขา เขายังต้องตายเพราะพี่สาวที่ไร้ความสามารถและอ่อนแอที่เอาแต่หลบซ่อนอยู่ในกระดองเต่าผู้นั้นอีก
เขาเกลียดมัน ทว่าก็ไร้อำนาจที่จะเปลี่ยนแปลงความจริงข้อใด
เด็กน้อยอายุเพียงแปดขวบที่ต้องลากร่างกายพิการเช่นนี้ไปไหนมาไหนจะสามารถทำอะไรได้?
ใบหน้าของเด็กหญิงเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก ขาทั้งสองข้างของนางไม่หยุดแม้แต่น้อยตั้งแต่เริ่มออกวิ่ง ราวกับต้องการหลบหนีออกจากสถานที่อันตรายที่อยู่เบื้องหลังไปให้ไกล ดูท่าเด็กหญิงตัวน้อยจะไม่ได้เป็นห่วงชีวิตหรือความปลอดภัยของเด็กชายในกองไฟแม้แต่น้อย
“เจ้าเด็กบื้อ เจ้าโง่จริง! เจ้าหนีไปได้อย่างไร! กลับไปช่วยเขาเดี๋ยวนี้!” เงาร่างหนึ่งที่ดูโปร่งแสงราวกับภาพลวงตายืนอยู่ข้างเด็กหญิง ยื่นมือออกไปราวกับต้องการจะดึงตัวนางกลับมา ทว่าเด็กหญิงกลับวิ่งผ่านร่างนั้นไป
เงาร่างนั้นชะงักไปครู่หนึ่ง
อา นางตายไปแล้วนี่นา ตอนนี้เหลือเพียงร่างวิญญาณเท่านั้น นางลืมความจริงข้อนี้ไปเสียสนิท
อาจเป็นเพราะนางตายมานานแล้ว ไม่จำเป็นต้องกินหรือนอนอีก ดังนั้นนางจึงคิดว่านางยังมีชีวิตอยู่ เพียงแต่อยู่ในอีกร่างหนึ่งเท่านั้น
นางมองภาพเด็กหญิงที่วิ่งไปสะดุดล้มไปที่ค่อย ๆ ห่างออกไปเรื่อย ๆ ทว่ายิ่งมองกลับยิ่งเห็นว่าร่างของเด็กหญิงค่อย ๆ จางลงราวกับว่าวิญญาณกำลังจะหลุดออกจากร่าง
นี่คือ….. สัญญาณที่แสดงว่าคนผู้นั้นกำลังจะตาย
แล้วก็เป็นดั่งที่คาดไว้ เด็กหญิงสะดุดหินก้อนหนึ่ง ก่อนจะล้มลงหน้าผากกระแทกกับก้อนกรวดอย่างแรง เลือดมากมายหลั่งไหลออกมาจากร่างของเด็กน้อย วิญญาณที่หลุดออกมาจากร่างได้ครึ่งหนึ่งพลันหลุดลอยออกมาโดยสมบูรณ์ จากนั้นก็เลือนหายไปกับสายลม ไม่อาจมีผู้ใดรู้ได้ว่าเลือนหายไปยังที่แห่งไหน
ชิงอวี่ตกตะลึงกับภาพที่ได้เห็น นางไม่คิดว่าจะได้เห็นภาพเช่นนี้
อาจเป็นเพราะนางตายไปแล้วจึงสามารถเห็นวิญญาณได้งั้นหรือ?
นางไม่มีเวลาให้ครุ่นคิดมากนักเมื่ออึดใจต่อมานางก็สัมผัสได้ถึงแรงดูดมหาศาลที่กำลังดึงร่างของนางเข้าไปในร่างของเด็กสาวที่เพิ่งสิ้นใจไปเมื่อครู่
วิญญาณของนางกับร่างของเด็กหญิงสามารถผสานเข้าด้วยกันอย่างลงตัว
นางไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปแล้วกี่ปีตั้งแต่ที่นางมาถึงโลกที่แปลกประหลาดแห่งนี้เป็นครั้งแรก และไม่เคยคิดแม้แต่น้อยว่าวันหนึ่งตนจะได้เกิดใหม่ในสถานการณ์ที่แปลกประหลาดเช่นนี้!
วิญญาณของนางที่ไม่ยอมเลือนหายไปเป็นเวลานาน เป็นไปได้หรือไม่ว่ามันกำลังรอคอยวันนี้อยู่?!
ตอนที่วิญญาณของเด็กสาวกำลังจะเลือนหายไปนั้น นางราวกับเห็นร่างของเด็กหญิงตัวน้อยกำลังบอกกับนางให้ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ให้ดีแทนนางและให้ช่วยดูแลน้องชายของนางด้วยใบหน้าน้ำตานอง
และเมื่อชิงอวี่พยักหน้ารับปาก วิญญาณดวงน้อยก็จากไปอย่างสงบสุข
ยามเมื่อเด็กสาวฟื้นคืนสติขึ้นมาอีกครั้ง นัยน์ตาของนางก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
ความอ่อนแอขี้ขลาดที่เคยมีได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย มีเพียงความสงบเงียบที่แสนมั่นคงไร้อารมณ์อื่นเจือปนหลงเหลืออยู่ นัยน์ตาคู่น้อยเต็มไปด้วยความเฉลียวฉลาดและวุฒิภาวะอย่างผู้ใหญ่ที่สามารถมองกลลวงทุกอย่างออก เป็นนัยน์ตาของวิญญาณผู้โดดเดี่ยวดวงหนึ่งที่มาจากอีกโลก
ที่หน้าผากของนางยังคงมีเลือดไหล เลือดสายหนึ่งไหลเข้าตานางทำให้ทัศนวิสัยพร่ามัว ทว่าฝีเท้าที่ย่างก้าวกลับไม่หยุดลงแม้แต่นิด มันทั้งมุ่งมั่นและเชื่องช้า นำพาเจ้าของร่างกลับไปยังสถานที่ที่เปลวเพลิงลุกโชนอีกครั้ง
เด็กชายสำลักควันไฟหนาจนไอไม่หยุด กระทั่งตาก็ไม่อาจลืมขึ้นมองได้ เขาเค้นสมองพยายามคิดหาทางรอดทุกวิถีทางทว่าก็ไร้ประโยชน์ คานสองสามคานที่อยู่เหนือหัวถูกเปลวเพลิงโหมไหม้จนร่วงลงมาตรงหน้าเขาหลายครา หากสองขาของเขายังคงใช้การได้เขาก็คงยอมเสี่ยงเพื่อวิ่งฝ่าออกไป ทว่าตอนนี้….. ถึงใจต้องการทว่าร่างกายเขากลับไร้ซึ่งพลัง
ชะตาคงกำหนดมาแล้วว่าเขาต้องพบกับจุดจบเช่นนี้
ทว่า….. เขาชังโชคชะตาตนเองยิ่งนัก!
ทันใดนั้นเอง หูทั้งสองข้างก็พลันได้ยินเสียงบางอย่างเคลื่อนไหว หลังจากที่เด็กชายพยามฝืนลืมตาอย่างอ่อนแรง ก็พบกับภาพที่ทำให้เขาต้องใองตาค้างด้วยความตกใจ
เด็กหญิงยืนอยู่ข้างบ่อน้ำ พยายามจะตักน้ำในบ่อขึ้นมาราดตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าจนกระทั่งทั้งตัวเปียกชุ่ม
น้ำในช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงอุณหภูมิเย็นเฉียบ หากนางยังทำเช่นนี้ต่อไปต้องล้มป่วยเป็นแน่ ทว่าท่าทางนางกลับสุขุมยิ่งนักจนมองแล้วดูน่ากลัว ราวกับนางคือเครื่องมือชิ้นหนึ่งที่ได้รับคำสั่งมาให้ทำเช่นนั้น
เด็กชายมองการกระทำของนางด้วยความตะลึงงัน นัยน์ตาทั้งสองมีทั้งความดีใจระคนกับความสันสน
ชิงอวี่หนีไปแล้วไม่ใช่หรือ?
เพราะเหตุใด….. นางถึงกลับมา? แล้วนางกำลังทำอะไรอยู่?
พริบตาต่อมา เขาก็เห็นนางคว้าชุดตัวใหญ่มาจากที่ใดไม่อาจรู้ได้ นางราดน้ำใส่มันจนชุ่ม จากนั้นใช้มันพาดไว้เหนือร่างแล้ววิ่งเข้าเปลวเพลิงมาด้วยความรวดเร็ว
ภาพนั้นทำให้เด็กชายตกใจมากจนกระทั่งต้องแผดเสียงดังออกไป “ชิงอวี่ เจ้ามันคนบื้อ เจ้ากลับมาทำอะไรที่นี่? รีบหนีออกไปเสีย! หนีไปให้ไกล ไม่ต้องกลับมาอีก ข้าไม่จำเป็นต้องให้เจ้าช่วย เจ้ามามีแต่จะเป็นภาระ…..”
เด็กชายพูดไปสำลักควันไฟไปจนไม่อาจเอ่ยคำใดออกมาได้อีก
เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่านางกลับมาเพื่อช่วยเหลือเขา? ทว่านางยังเด็กนัก ยังไร้ความสามารถที่จะทำเช่นนั้นได้ เขาเป็นคนพิการ แม้เคลื่อนตัวเองยังไม่อาจทำได้…..
กล่าวตามตรง ที่ชิงอวี่ทำเพื่อเขาจนถึงเพียงนี้ก็ทำให้เขาพอใจแล้ว อย่างน้อยเขาก็สามารถตายไปพร้อมกับรอยยิ้มได้
ทว่าต่อไปเบื้องหน้า คงไม่มีใครคอยพูดคุยกับนางอีกต่อไป
ชิงอวี่มองเด็กชายน้ำตานองหน้าที่เดี๋ยวก็ร้องไห้เดี๋ยวก็ยิ้มออกมา คิ้วนางขมวดเป็นปมโดยไม่รู้ตัว จากนั้นเอ่ยขึ้นเสียงเบา “ไร้สาระเสียจริง”
เมื่อรู้สึกได้ว่ามียางอย่างผิดปกติ นางจึงรีบเอ่ยขึ้น “ไม่ต้องห่วง ข้าไม่เป็นไร เดี๋ยวข้าจะช่วยเจ้าออกไปจากที่นี่เอง”
สีหน้าของเด็กชายแปรเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ชิงอวี่ไม่เคยแสดงสีหน้าหุนหันเช่นนั้นมาก่อน แล้วนางยังเอ่ยปลอบขวัญเขาด้วย ไม่ว่าใครต่างรู้ดีว่าเมื่อนางประหม่าแล้ว นางไม่อาจเอ่ยคำใดออกมาได้ด้วยซ้ำ
ทว่าเขาไม่มีเวลาให้ครุ่นคิดมากนักเมื่อชิงอวี่พุ่งเข้ามายกตัวเขาขึ้นจากเก้าอี้เข็นด้วยความรวดเร็ว
ตัวเขาถูกยกลอยขึ้น นางจับคอเสื้อเขายกขึ้นอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะก้มหลังลงเล็กน้อยจากนั้นร่างของเขาก็ขึ้นไปอยู่บนหลังของนาง
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เด็กชายได้ขี่หลังผู้อื่น
แล้วคนผู้นั้นยังเป็นพี่สาวซึ่งตัวเล็กกว่าเขามาก
คนผู้ซึ่งเขาทั้งรักทั้งชังมาโดยตลอด
ทว่าพลันขึ้นขี่หลังนางเช่นนี้ ใบหน้าเล็กของเด็กชายพลันแดงขึ้น
“เจ้า เจ้า เจ้า….. วางข้าลงเดี๋ยวนี้เลย ให้ตายสิ….. เจ้าจะแบกข้าไหวได้อย่างไร…..”
เด็กผู้หญิงจะแบกเด็กผู้ชายขึ้นหลังได้อย่างไร? เด็กชายรู้สึกอับอายและโกรธเกรี้ยวยิ่งนัก หากมีคนเห็นเข้าจะว่าอย่างไร?
“หุบปากน่า”
หัวคิ้วของชิงอวี่ขมวดแน่นเมื่อมองซากไม้หลายท่อนที่ขวางอยู่ด้านหน้า นางนิ่งเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะขยับแขนข้างหนึ่งออกมาก่อนจะซัดไปเบื้องหน้า แสงเย็นเยียบสายหนึ่งปรากฏขึ้น เปลวเพลิงที่โหมลุกเมื่อครู่หดตัวลงโดยพลัน อุณหภูมิที่เย็นตัวลงก่อให้เกิดชั้นน้ำแข็งขึ้น
ดูท่านางจะรำคาญใจไม่น้อยด้วยนางสบถเสียงเบาออกมา ก่อนร่างเล็กจะเดินข้ามท่อนไม้ขนาดใหญ่ไปพร้อมกับเด็กชายบนแผ่นหลัง พริบตาเดียวเปลวเพลิงที่หดตัวลงเมื่อครู่ก็กลับมาโหมไหม้แรงอีกครั้ง
ส่วนเด็กชายบนหลังนางนั้นได้หมดสติจากการสำลักควันไฟอยู่นานไปแล้ว