PTH17 ข้างหน้ากลมมน ข้างหลังใหญ่
“ถ้าแต่ละครั้งที่ออกมาล่าอสูร มีสาวงามสองคนนี้ออกมาด้วยคงจะดี”
ยามนี้เว่ยสั่วและคนอื่นๆมาถึงที่แห่งหนึ่งที่ปกคลุมไปด้วยหมอก ระหว่างทางที่มา เขาเอาแต่มองบั้นท้ายของสาวงามอย่างเย่กู่เว่ยและหนานกงยู่ฉิง
ก่อนจะเข้าข่ายอาคมเคลื่อนย้ายที่ทางใต้ของเมือง หนานกงยู่ฉิงปรากฏตัว เว่ยสั่วสงสัยว่านางเป็นใคร แต่หลินเต้ายีบอกว่านางเป็นคนของเถี่ยเซ่อ ยิ่งด้วยนางเป็นสตรีที่งดงาม เว่ยสั่วจึงไม่คิดอะไรมาก
หนานกงยู่ฉิงมีใบหน้าเล็กเรียวงดงาม สูงโปร่งจนเกือบจะเท่าเว่ยสั่ว คู่ขาเรียวงามได้รูป สวมเกราะหนังรัดรูป ขับส่งรูปร่างที่โดดเด่นและเย้ายวนของนางน่ามองขึ้นไปอีกขั้น
ชุดเกราะที่นางสวมใส่เว่ยสั่วคาดว่าน่าจะมีราคาแพง หลังสังเกตุดูอยู่นานจึงรู้ว่ามันทำมาจากหนังของจิ้งจอกเพลิงแดง ถูกทำขึ้นอย่างประณีตให้พอดีกับตัวนางโดยเฉพาะ เกราะหนังเช่นนี้นับเป็นเกราะที่เหมาะกับสตรีที่สุด
เกราะที่ทำขึ้นจากหนังจิ้งจอกเพลิง สามารถทนต่อการจู่โจมในเขตขั้นทะเลศักดิ์สิทธิ์ที่ 5 ได้ แต่ก็ไม่ได้ทนทานเหมือนเกราะที่ทำจากวัสดุอื่น
เท่าที่เว่ยสั่วสังเกตุ เกราะหนังของนางสมควรใช้หนังจิ้งจอกเพลิงไม่ต่ำกว่า 20 ตัวในการตัดเย็บ นั่นหมายความว่า มูลค่าของเกราะที่นางสวมใส่นั้นมากกว่า 100 ศิลาวิญญาณระดับล่าง การจะครอบครองสมบัติระดับนี้ได้นางสมควรอยู่เขตขั้นทะเลศักดิ์สิทธิ์ที่ 4
“ไม่สิ… บางทีอาจเป็นเขตขั้นทะเลศักดิ์สิทธิ์ที่ 5 ก็ได้”
นางนับเป็นสตรีที่งดงามตรงตามที่เว่ยสั่วชอบ เขาจึงจดจ้องและจดจำเรือนร่างของนางเอาไว้
…
สถานที่อยู่ของแมงมุงใยน้ำแข็งไม่ได้ไกลจากเมืองเหมือนอย่างที่เย่เสี่ยวเจิ้งเคยกล่าว ยามนี่เว่ยสั่วมาถึงภูเขาแห่งหนึ่งนามว่า ‘ภูเขาพฤกษาปั่นป่วน’ อยู่ห่างจากเมืองจิตวิญญาณสูงสุดมาทางใต้ 700 ลี้ บนภูเขาไม่ได้มีต้นไม้สูงใหญ่มากนัก แต่มีพืชชนิดเถาวัลย์ขึ้นเกาะตามต้นไม้เป็นจำนวนมาก บดบังแสงตะวัน ทำให้ป่าบนภูเขาดูมืดมน พื้นดินเต็มไปด้วยโคลน สมควรมีแมลงพิษและงูแอบอยู่ไม่น้อย
ด้านหลังของภูเขามีถ้ำที่น่ากลัวอยู่แห่งหนึ่ง เต็มไปด้วยวัชพืชปกคลุม
“ระวังด้วย แมงมุมใยน้ำแข็งไม่เหมือนอสูรชนิดอื่น มันจะออกมาแค่ยามล่าเท่านั้น หากมันได้ยินเสียงมันจะไม่ปรากฏตัว เราต้องเข้าไปสังหารมันเงียบๆ”
ทั้งหมดมาถึงยังถ้ำที่อยู่ด้านหลังภูเขา หลินเต้ายีกล่าวเตือนทุกคน ก่อนจะเดินนำเข้าไปในถ้ำ
หลินเต้ายีไม่ได้อยากจะเป็นผู้นำในการบุก เพราะผู้นำคือคนที่ต้องเดินนำไปก่อน นับว่าเสี่ยงชีวิตที่สุด แต่นอกจากผู้นำแล้ว ผู้ที่รั้งท้ายก็อันตรายเช่นเดียวกัน ดังนั้นทุกคนจึงเดินใกล้ๆกันไว้
เว่ยสั่วเดินตามหลินเต้ายีและหนานกงยู่ฉิง ส่วนเย่เสี่ยวเจิ้งเดินตามเย่กู่เว่ย
เมื่อเริ่มเข้าไปในถ้ำที่มืดมิด หลินเต้ายีนำแท่งขี้ผึ้งสีขาวขึ้นมา ทำมาจากไขมันของอสูรระดับล่าง เมื่อจุดด้วยเพลิงจะให้แสงสว่างเล็กน้อย เพียงแต่การเผาไหม้ของมันใช้เวลานาน จึงอยู่ได้หลายชั่วยาม… มุกเปล่งแสงที่เว่ยสั่วซื้อมาสามารถใช้ประโยชน์กับสถานที่แห่งนี้ได้ แต่เหตุที่เขาไม่ยอมใช้ เพราะไม่อยากดึงดูดความสนใจของอสูรและแมงมุมเข้า
ทางเดินถ้ำทอดยาว กว้างเพียงสองคนผ่านได้ หยุนเต้ายีเดินนำเข้าไป ชูขี้ผึ้งในมือให้แสงสว่างสลัว ทุกคนเดินต่อแถวเข้าไป และเริ่มได้กลิ่นเหม็นเน่า
ผนังถ้าด้านบนไม่ได้สูงมากนัก สูงเพียง 4 จ้าง ที่สำคัญยังมีน้ำหยดลงมาอย่างต่อเนื่อง
หลังจากเดินไปได้ชั่วธูปสองก้านไหม้หมดดอก รอบข้างเงียบสงัดไร้ซุ่มเสียง แต่จู่ๆหลินเต้ายีและหนานกงยู่ฉิงกลับชงักฝีเท้ากระทันหัน จึงทำให้เว่ยสั่วที่ตามหลังหนานกงยู่ฉิงมาชนเข้ากับนางอย่างจัง แผ่นอกแนบหลัง ส่วนล่างของร่างกายสัมผัสเข้ากับบั้นท้ายและขา ยิ่งด้วยที่นางสวมเกราะหนังที่พอดีกับร่างกาย เว่ยสั่วจึงสัมผัสได้ถึงผิวพรรณที่นุ่มละมุน ความร้อนที่แผ่ออกมาจากตัวนาง นอกจากนี้ เย่กู่เว่ยที่ตามเว่ยสั่วมาติดๆก็ชนเข้ากับแผ่นหลังของเว่ยสั่วอย่างจัง เนินอกนุ่มละมุนสัมผัสเข้าที่แผ่นหลัง สัมผัสได้ถึงความนุ่มเด้งอย่างชัดเจน
ด้านหน้ามีบั้นท้ายโก่งงอนของหนานกงยู่ฉิง ด้านหลังมีเนินอกที่นุ่มละมุนของเย่กู่เว่ย
“หนานกงยู่ฉิงกลมกลึง… เย่กู่เว่ยเองก็ไม่ใช่เล็กๆ น่าจะใหญ่กว่าฉุ่ยหลิงเอ๋อร์!” เว่ยสั่วกล่าวในใจ
การที่ถูกเว่ยสั่วชนเข้าอย่างจังจนกายสัมผัสแนบชิด ทำให้เว่ยสั่วน้อยที่หลับอยู่เริ่มตื่น หนานกงยู่ฉิงก็สัมผัสได้เช่นกันว่ามีบางอย่างแข็งๆ กำลังสัมผัสกับบั้นท้ายของนาง ทำให้นางตกใจจนเผลอเปล่งเสียงอุทาน พลางเคลื่อนมือหวังผลักให้ห่าง เพียงแต่สิ่งที่มือของนางสัมผัสโดนนั้น คือเว่ยสั่วน้อย!
“เกิดอะไรขึ้น?” เย่เสี่ยวเจิ้งที่สังเกตุเห็นความผิดปกติกล่าวถามขึ้น ในขณะเดียวกัน เว่ยสั่วก็กล่าวกระซิบข้างหูหนานกงยู่ฉิง “ปล่อยก่อนได้มั้ย?” ใบหน้าของนางเห่อร้อนด้วยความอับอาย เร่งถอนมือกลับอย่างรวดเร็ว เพราะนางรู้ว่าสัมผัสเข้ากับอะไร
“พวกท่านระวังด้วย แมงมุมใยน้ำแข็งน่าจะอยู่บริเวณนี้” หลินเต้ายีค่อยๆเดินไปเบื้องหน้าทีละก้าว
“บ้าเอ้ย!” เมื่อหนานกงยู่ฉิงเดินตามหลินเต้ายีไป เว่ยสั่วต้องสูดหายใจลึก สะกดอารมณ์ความหื่นของตัวเองไว้
เดินไปตามเส้นทางได้ครู่หนึ่ง เส้นทางเริ่มขยายใหญ่ขึ้น เมื่อพ้นเส้นทางก็พบสถานที่ที่เป็นเหมือนโถงถ้ำขนาดเล็ก ภายในมีศิลาขรุขระเปียกชื้น ถัดไปไม่ไกลมีซากร่างของทั้งคนและสัตว์กองเป็นพะเนิน บ้างแห้งกรัง บ้างเน่าเปื่อยดูน่าสะพรึงกลัว...