PTH16 แมงมุมใยน้ำแข็ง
เว่ยสั่วมุ่งไปยังร้านของจิ้งจอกเฒ่า ซื้อมุกที่เปล่งแสงเรืองรองขนาดเท่าไข่ไก่ออกมาจากร้าน จากนั้นมุ่งไปยังสะพานที่อยู่ทางเหนือของเมือง
เว่ยสั่วไม่กล้าขายยันต์เพลิงเหมือนครั้งก่อน คำกล่าวของชายชราร่างเขียวมีเหตุผล เขารู้ว่าหากขายไปแล้วครั้งหนึ่ง ก็จะถูกจับตามองจากขุมกำลังต่างๆภายในเมือง ดังนั้นตอนนี้ เขาจึงวางแผนที่จะใช้ศิลาวิญญาณที่เหลืออยู่ 27 ก้อนเพื่อซื้อบางสิ่ง จากนั้นใช้สิ่งเหล่านั้นเพื่อหาศิลาวิญญาณกลับมา
สะพานที่เว่ยสั่วมุ่งไปคือสะพานธรรมดาที่สร้างขึ้นจากศิลาสีดำ แต่ความพิเศษของมันคือ มันสร้างขึ้นมาพร้อมกับเมืองจิตวิญญาณสูงสุด หากข้ามสะพานไปจะเป็นย่านชุมชน คราคร่ำไปด้วยผู้คนมากมาย มีการค้าขายและแลกเปลี่ยน ซ่งก็คือการช่วยเหลือหรือเสาะหาสิ่งที่คนผู้หนึ่งต้องการ แล้วคนผู้นั้นจะจ่ายศิลาวิญญาณเพื่อเป็นการตอบแทน
ด้วยเพราะโอสถฟื้นปราณเป็นประโยชน์ และยันต์เกราะพิภพเหลือใช้ได้แค่อีกครั้งเดียวเท่านั้น เว่ยสั่วจึงหาซื้อพวกโอสถฟื้นปราณมาเพิ่ม แม้ว่าโอสถฟื้นปราณจะมีปราณอัดแน่นอยู่ภายใน แต่ปริมาณของมันไม่อาจเทียบศิลาวิญญาณได้ แต่เมื่อกล่าวถึงความเร็วในการฟื้นฟูปราณที่เสียไป ศิลาวิญญาณย่อมไม่อาจเทียบได้
โอสถฟื้นปราณเป็นสิ่งที่ผู้ฝึกตนทุกคนต้องใช้ เว่ยสั่วคิดว่าชายชราน่าจะรู้ตำรับของโอสถชนิดนี้ หากเขาสามารถปรุงโอสถชนิดนี้ได้เหมือนสร้างยันต์เพลิง น่าจะขายทำกำไรได้มาก แต่ด้วยเพราะชายชรายังไม่ยอมบอก บอกแค่เพียงวิธีสร้างยันต์เพลิงเท่านั้น
หลังจากซื้อโอสถฟื้นปราณไป 4 ขวด เว่ยสั่วขบฟันใช้อีก 3 ศิลาวิญญาณระดับล่างซื้อยันต์น้ำแข็ง และอีก 15 ศิลาวิญญาณเพื่อซื้อจี้หยกชิ้นหนึ่งและยันต์หลบหนี
นอกจากยันต์เพลิงที่ใช้จู่โจมได้แล้ว เว่ยสั่วยังมียันต์น้ำแข็งที่เปล่งอานุภาพได้เทียบเท่าเขตขั้นวัฏจักรสวรรค์ นอกจากนี้ยังมีจี้หยกที่ซื้อมา สามารถใช้เพื่อหน่วงให้ศัตรูช้าลงได้ เป็นหนึ่งในสมบัติที่นิกายเพลิงสวรรค์สร้างขึ้น
นอกจากสิ่งที่ใช้จู่โจมแล้ว เขายังซื้อสิ่งที่ใช้ป้องกัน เป็นยันต์ที่คล้ายกับเกราะพิภพ แต่แตกต่างกันตรงที่ ยันต์ไม่จำเป็นต้องกระตุ้นทุกครั้งเพื่อใช้ สามารถใช้มันไว้ล่วงหน้า หากถูกลอบจู่โจม มันจะแสดงพลังป้องกันออกมาเอง
สิ่งที่เว่ยสั่วซื้อมาส่วนใหญ่จะเป็นสิ่งที่ใช้เอาชีวิตรอดจากอสูร พวกมันจะทำให้เขารอดชีวิตได้ง่ายขึ้น เพราะบางครั้ง อสูรก็ทรงพลังกว่าที่คาดเอาไว้
นอกจากจี้หยกที่ใช้หน่วงการเคลื่อนไหว ยังมียันต์บางชนิดที่สามารถใช้ป้องกันการจู่โจมเพื่อถ่วงเวลา ทำให้ไม่ต้องผลาญพลังจากจี้หยกหากไม่จำเป็น
มุกเปล่งแสงที่เขาซื้อมา ใช้ในยามที่เข้าไปยังสถานที่มืดมิด อีกเหตุผลคือมันสามารถให้แสงสว่างในบ้านของเขาได้ในยามราตรี หากเขาต้องการจะสร้างยันต์
หลังจากซื้อหาสิ่งต่างๆได้ตามที่วางแผนเอาไว้ ศิลาวิญญาณ 27 ก้อนก็เหลือเพียงแค่ 5
“พี่ชาย ข้าขอคุยกับท่านสักเล็กน้อยได้หรือไม่?” เมื่อเดินกลับมายังสะพานศิลา คนผู้หนึ่งก็เดินเข้ามาและกล่าวขึ้น
เว่ยสั่วหันหลังกลับด้วยความประหลาดใจ พบบุรุษผู้หนึ่งอายุประมาณ 28 ปี ใบหน้าดูราวกับเป็นมิตร ข้างกายมีบุรุษและสตรีคู่หนึ่ง… บุรุษดูราวกับคนอายุ 30 ปี สูงใหญ่กำยำ สูงกว่าเว่ยสั่วเกือบหนึ่งช่วงศีรษะ สวมอาภรณ์ฟ้า ภายใต้อาภรณ์มีเกราะสีทอง ที่แผ่นหลังมาบางสิ่งที่ดูหนัก ห่อด้วยฟ้าสีฟ้า สวมควรเป็นอาวุธที่มีน้ำหนักมาก
สตรีที่ติดตามมาด้วย สวมอาภรณ์เหลืองที่ถักขึ้นจากไหมชั้นดี ปักประดับด้วยบุบผางดงาม ใบหน้ารูปไข่ ผิวพรรณกระจ่างใสงดงาม
“ชุดคลุมไม่ควรค่าให้กล่าวถึง เกราะเบามีค่าเพียง 1 ศิลาวิญญาณ...”
“แต่สตรีนางนั้นไม่ธรรมดา...”
เมื่อเว่ยสั่วจ้องมองทั้งสามชัดๆ จำได้ว่าทั้งสามเป็นคนที่พบเขาที่สระทมิฬ เป็นผู้ฝึกตนระดับล่างเช่นเดียวกัน “พวกท่านมีเรื่องอะไร? ข้าว่าพวกเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน”
“ข้ามีนามว่า หลินเต้ายี ส่วนทั้งสองคนนี้มีนามว่า เย่เสี่ยวเจิ้ง และ เย่กู่เว่ย” ผู้เยาว์ที่กล่าวถามเมื่อครู่ป้องมือกล่าวอย่างมีมารยาทพลางยิ้ม “ข้ามีงานที่ทำเงินได้ไม่น้อย ยิ่งได้คนร่วมงานมากก็ยิ่งปลอดภัย ข้าจึงอยากชวนท่านเข้าร่วมงานไปกับพวกเรา ท่านสนใจหรือไม่?”
“งานที่ทำเงิน? งานอะไร?” เว่ยสั่วขมวดคิ้ว เขารู้ดีว่าไม่อาจไว้วางใจคนเหล่านี้ได้ แม้อีกฝ่ายจะกล่าวอ้างว่าได้เงินดี แต่เขาคำนึงถึงความปลอดภัยของตนก่อนเสมอ
“เราเปลี่ยนที่คุยกันเถอะ” หลินเต้ายีกล่าว
เว่ยสั่วพยักหน้า เมืองแห่งนี้มีกฏอยู่ว่าห้ามสังหารหรือทำร้ายผู้ใด เขาจึงตัดสินใจติดตามทั้งสามไป นอกจากนี้ สตรีที่ติดตามมาด้วยยังงดงามต้องตา ชวนให้เคลิบเคลิ้มหลงไหล
เมื่อเห็นเว่ยสั่วพยักหน้า หลินเต้ายีเดินนำไปยังสถานที่แห่งหนึ่งที่ไม่ค่อยมีผู้คนเดินผ่าน เมื่อมั่นใจว่าไม่มีผู้ใดติดตามมาแล้ว มันก็กล่าวกับเว่ยสั่ว “ที่จริงแล้วข้าไม่ได้มีงานอะไรหรอก… ข้าแค่ได้ข่าวล้ำค่ามา ว่านอกเมืองมีแมงมุมใยน้ำแข็งอยู่!”
“แมงมุมใยน้ำแข็ง?” เว่ยสั่วประหลาดใจ แมงมุมใยน้ำแข็งจัดเป็นอสูรระดับกลาง ใยของมันเหนียวมาก มีคุณสมบัติต้านเพลิง เหมาะกับการเอามาถักเป็นชุดคลุมกันเพลิง แต่ที่สำคัญกว่านั้น อสูรระดับกลางจะมีแก่นอสูรเป็นของตน ซึ่งแก่นอสูรหนึ่งชิ้นเทียบได้กับศิลาวิญญาณระดับล่าง 190 ก้อน
“ทำไมพวกท่านถึงชักชวนข้า?” ศิลาวิญญาณระดับล่าง 190 ก้อน มากพอที่จะทำให้เว่ยสั่วสนใจ แต่เขาก็ยังหวาดระแวงอีกฝ่าย กลัวว่าจะถูกอีกฝ่ายล่อหลอก
“พวกข้าบังเอิญพบท่านในย่านโน้น เห็นท่านซื้อยันต์น้ำแข็งและจี้หยก” หลินเต้ายีอธิบาย “พวกข้าจึงคิดว่า ผู้ที่ซื้อของเหล่านั้นได้สมควรแข็งแกร่ง แต่หากว่าแข็งแกร่งเกินไปพวกข้าก็ไม่กล้าชักชวน เพราะพวกข้าอาจถูกสังหารไปพร้อมๆกับอสูรก็ได้… แต่เท่าที่ข้าเห็น ระดับพลังของท่านอยู่ระดับเดียวกับพวกข้า ท่านจึงตรงตามเงื่อนไขที่พวกข้าต้องการ”
“แล้วท่านรู้ได้ยังไงว่าข้าอยู่ระดับเดียวกับพวกท่าน?” เว่ยสั่วขมวดคิ้ว ด้วยความที่แต่ละคนฝึกฝนวิชาที่แตกต่างกัน การจะมองระดับพลังของอีกฝ่ายออกไม่ใช่เรื่องง่าย เหมือนคราวที่เว่ยสั่วเจอเว่ยเว่ยที่หุบเขาทรายเหลือง เขาไม่ทราบว่านางอยู่เขตขั้นใด รู้แค่ว่าอานุภาพของปราณกระบี่นาง ทรงพลังกว่าเขตขั้นทะเลศักดิ์สิทธิ์ที่ 2 ซึ่งหมายความว่านางแข็งแกร่งกว่าเขา
“ข้ามีวิชาสัมผัสกลิ่นอาย แต่หากทรงพลังเหนือข้าเกิน 2 ระดับ ก็ไม่อาจสัมผัสได้” หลินเต้ายียิ้มพลางกล่าว
“วิชาสัมผัสกลิ่นอายเป็นประโยชน์มาก ในอนาคตข้าต้องหาโอกาสฝึกฝนวิชานี้บ้าง” เว่ยสั่วขบคิดในใจก่อนกล่าว “ข้าจะเชื่อในสิ่งที่ท่านกล่าวได้ยังไง?”
“นี่คือสิ่งยืนยันถึงตัวตนของพวกมันที่สหายของข้าพบ… ท่านสมควรทราบถึงชื่อเสียงของกลุ่มอินทรีย์ทะยาน” หลินเต้ายีผายมือไปยังหนึ่งสองบุรุษสตรีที่พามา
“สองท่านนี้เป็นคนของกลุ่มอินทรีย์ทะยาน?” เว่ยสั่วรู้จักกลุ่มอินทรีย์ทะยาน กลุ่มอินทรีย์ทะยานคือกลุ่มที่ก่อตั้งภายในเมืองจันทราร่วงโรย เป็นกลุ่มที่รวบรวมผู้ฝึกตนไร้สังกัดระดับล่างเข้ามา คนกลุ่มนี้แข็งแกร่งและมีชื่อเสียง การทำงานของคนกลุ่มนี้สมควรได้รับการยกย่อง เพียงแต่มีสิ่งหนึ่งที่เขาไม่เข้าใจ ทั้งที่แซ่ของทั้งสองคนนี้คือเย่เหมือนกัน แต่เหตุใดรูปร่างหน้าตาถึงได้ต่างกันมากขนาดนี้ คนหนึ่งเป็นเหมือนลิงยักษ์กล้ามโต อีกหนึ่งเป็นโฉมงามทรงเสน่ห์
“ถูกแล้ว… พวกข้าคือคนของกลุ่มอินทรีย์ทะยาน” เย่เสี่ยวเจิ้งกล่าวตอบพลางล้วงเอาบางสิ่งออกมาจากอกเสื้อ
“นี่คืองานที่พวกข้าได้รับมอบหมายให้ไปยังเมืองแห่งหนึ่ง แต่ระหว่างกลับพบแมงมุมใยน้ำแข็ง พวกข้าอยากจะออกล่าแต่กลัวว่าจะใช้เวลามากเกินไป จึงได้ชักชวนสหายหลินเต้ายีมาเข้าร่วมการล่าด้วย”
“แต่หากท่านยังไม่วางใจ ข้าจะบอกท่านว่าข้าคือคนของเถี่ยเซ่อ ย่อมรักษาคำพูด” หลินเต้ายีกล่าว “หากการล่าสำเร็จลุล่วง เราจะแบ่งศิลาวิญญาณให้ท่าน 30 ก้อน”
“ถ้างั้น… ข้าไปกับพวกท่านก็ได้” เว่ยสั่วพยักหน้า
แม้ว่ากลุ่มเถี่ยเซ่อจะเป็นเพียงคนกลุ่มหนึ่งในเมืองจิตวิญญาณสูงสุด แต่ชื่อเสียงและความแข็งแกร่งไม่มีคนกลุ่มใดเทียบเคียงได้ ยิ่งด้วยเป็นแหล่งรวมตัวของผู้เชี่ยวชาญไร้สังกัดที่มากความสามารถ คนกลุ่มนี้จึงแข็งแกร่งไม่ต่างจากนิกาย ที่สำคัญคนของเถี่ยเซ่อนับถือสัจจะเหนือสิ่งอื่นใด เมื่อกล่าวว่าจะมอบศิลาวิญญาณเป็นค่าจ้าง ต่อให้ตายก็ไม่คดโกง นั่นเป็นเหตุให้กลุ่มเถี่ยเซ่อมีชื่อเสียงและยิ่งใหญ่
ศิลาวิญญาณของเว่ยสั่วแทบไม่เหลือ ยามนี้มีโอกาสได้ศิลาวิญญาณมาครอง ซ้ำคนที่ไปด้วยยังเป็นคนที่มีชื่อเสียง ไม่สมควรมีปัญหาใดๆ ส่วนแมงมุมใยน้ำแข็ง เขามียันต์เพลิงติดตัวนับร้อย สมควรใช้รักษาชีวิตได้หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน...