บทนำ
บทนำ
กลิ่นฉุนๆ ของบุหรี่ราคาถูกผสมกับกลิ่นจากท่อไอเสียรถยนต์ ทำเอาเด็กหนุ่มผมสั้นเกรียนสีของเส้นผมเป็นสีน้ำตาลอ่อนอย่างธรรมชาติให้มาพยายามเปิดเปลือกตาที่หนักอึ้งขึ้นอย่างลำบาก รู้สึกปั่นป่วนในท้อง เป็นครั้งแรกที่เขาเดินทางมาจากบ้านเกิดแสนไกล หนทางที่มาช่างเหมือนกับนั่งอยู่ในเรือลำน้อยที่ พยายามพายสู้คลื่นลูกใหญ่อยู่กลางทะเลที่มืดมิด มีเพียงเสียงคำรามของเมฆฝนที่เทกระหน่ำลงมาอย่างบ้าคลั่ง และแสงแปลบปลาบเท่านั้น ทว่าทุกครั้งที่พยายามเพ่งมอง เขาจะมองเห็นพระจันทร์ครึ่งดวงลอยเด่นอยู่ตรงหน้า
เด็กหนุ่มตัวสั่นสะท้านเพราะพิษไข้และไอหนาว แอร์เก่าๆ ของรถบรรทุกขนาดสิบล้อที่เด็กหนุ่มขออาศัยเดินทางมาด้วยมีเสียงดังครางตลอดเวลา ถึงแม้เวลานี้เม็ดฝนจะทิ้งตัวลงอย่างหนัก แต่คนขับที่กุมพวงมาลัยรถอยู่ก็ยังฮัมเพลงลูกทุ่งสบายอารมณ์ราวกับคุ้นชินสภาพทางที่ลัดเลาะภูเขา เด็กหนุ่มเผลอลอบมองคนข้างๆ เห็นหนวดเครารุงรังรอบวงปากกระดุกกระดิกได้เอง ก็ต้องหลบตาวูบกับความคิดประหลาดของตน บางจังหวะของการเดินทาง เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนมองเห็นตัวเองนั่งในเรือลำน้อยที่ถูกคลื่นใหญ่โยนตัวขึ้นสูงจนแทบจะเอื้อมมือคว้าดาวบนฟ้าได้และบางครั้งก็รู้สึกเหมือนถูกโยนลงในหุบเหวลึกเกินหยั่ง
“ไอ้หนู…เมารถรึ…ทนเอาหน่อย จะเข้าตัวเมืองแล้ว”
สิงห์สิบล้อเอ่ยแล้วหัวเราะชอบใจกับท่าทางอาการของเด็กหนุ่ม เขาเค้นยิ้มฝืดให้แต่ก็ต้องฝืนปิดเปลือกตาไว้…
จดจำความรู้สึกต่างๆ ที่ผ่านพ้นไป
และบางสิ่งที่กำลังมาเยือนสู่ชีวิตใหม่ของเขาเอง…
“นั่นไง…ถึงแล้ว”.
*****************************
คำทักทายจากใจ
ตัวอักษรที่ถูกร้อยเรียงในหนังสือเล่มนี้ ถือกำเนิดขึ้นจากการได้ยินเสียงเพลง “ฤดูที่แตกต่าง (Seasons Change)” ที่ขับร้องด้วยเสียงของคุณนพ พรชำนิและนั่นทำให้ฉันตกหลุมรักทุกเพลงของคุณบอย โกสิยพงษ์ตั้งแต่เมื่อสิบปีที่แล้ว
“หากเปรียบกับชีวิตของคน เมื่อยามสุขล้นจนใจมันยั้งไม่อยู่ ก็คงเปรียบได้กับฤดู คงเป็นฤดูที่แสนสดใส ถ้าวันหนึ่งวันไหน ที่ใจเจ็บทนทุกข์ ดังพายุที่โหมเข้าใส่ บอกกับตัวเองเอาไว้ ความเจ็บต้องมีวันหาย ไม่ต่างอะไรที่เราต้องเจอทุกฤดู”
ฉันเขียนเรื่องยาวครั้งแรกเรื่องนี้เมื่อราวสิบปีที่แล้ว ด้วยความประทับใจที่มีต่อเพลงนี้และระหว่างนั้น ฉันก็ได้ซึมซับการดำเนินชีวิตที่มีทั้งด้านสุขและทุกข์
“อดทนเวลาที่ฝนพรำ อย่างน้อยก็ทำให้เราได้เห็นถึงความแตกต่าง เมื่อวันเวลาที่ฝนจาง ฟ้าก็คงสว่างและทำให้เราได้เข้าใจ ว่ามันคุ้มค่า (แค่ไหนที่เฝ้ารอ) เมื่อวันที่ต้องเจ็บช้ำใจ จากความผิดหวังจนใจมันรับไม่ทัน เป็นธรรมดาที่เราต้องไหวหวั่น กับวันที่อะไรมันเปลี่ยนไป ถ้าวันหนึ่งวันไหน ที่ใจเจ็บทนทุกข์ ดังพายุที่โหมเข้าใส่ บอกกับตัวเองเอาไว้ ความเจ็บต้องมีวันหาย ไม่ต่างอะไรที่เราต้องเจอทุกฤดู”
ระยะเวลาที่ผ่าน มีอะไรผ่านเข้ามาในชีวิตมากมาย ที่ทำให้ทั้งยิ้มและร้องไห้ได้ในเวลาเดียวกัน เช่นเดียวกับตัวละครที่ฉันสร้างขึ้นมา พวกเขาเหล่านั้นกว่าจะได้พบรอยยิ้มก็ต้องผ่านคราบน้ำตา
“อดทนเวลาที่ฝนพรำ อย่างน้อยก็ทำให้เราได้เห็นถึงความแตกต่าง เมื่อวันเวลาที่ฝนจาง ฟ้าก็คงสว่างและทำให้เราได้เข้าใจ ว่ามันคุ้มค่า (แค่ไหนที่เฝ้ารอ) อย่าไปกลัวเวลาที่ฟ้าไม่เป็นใจ อย่าไปคิดว่ามันเป็นวันสุดท้าย น้ำตาที่ไหลย่อมมีวันจางหาย หากไม่รู้จักเจ็บปวดก็คงไม่ซึ้งถึงความสุขใจ อดทนเวลาที่ฝนพรำ อย่างน้อยก็ทำให้เราได้เห็นถึงความแตกต่าง เมื่อวันเวลาที่ฝนจาง ฟ้าก็คงสว่างและทำให้เราได้เข้าใจ ว่ามันคุ้มค่า (แค่ไหนที่เฝ้ารอ) อดทนเวลาที่ฝนพรำ อย่างน้อยก็ทำให้เราได้เห็นถึงความแตกต่าง เมื่อวันเวลาที่ฝนจาง ฟ้าก็คงสว่างและทำให้เราได้เข้าใจ ว่ามันคุ้มค่า (แค่ไหนที่เฝ้ารอ)”
หนังสือเล่มนี้จึงเป็นมากกว่าหนังสือนิยายเล่มหนึ่ง หนังสือไม่มีเสียงจนกว่าจะมีคนเปิดอ่านมัน ความฝันจะเป็นเพียงแค่อากาศธาตุถ้าไม่ลงมือทำ
ความฝันนั้นได้มีลมหายใจในโลกแห่งความเป็นจริงแล้ว มันคือสิ่งที่อยู่ในมือคุณ สำหรับฉันมันคือสิ่งที่เฝ้ารอ มันคือความคุ้มค่าที่ฝันฝ่าจนถึงวินาทีนี้.
เคารพทุกคู่สายตา
ปภาฐิตา
ส่งคำทักทายได้ที่