บทที่ 5
บทที่ 5
ระยะทางที่กวีต้องนั่งรถไฟมาถึงไร่ของพี่ศิลาใช้เวลาหลายชั่วโมง แม้ว่าเจ้าของไร่ยื่นข้อเสนอให้เขาใช้การเดินทางแบบอื่นที่ราคาแพงกว่า รวดเร็วกว่า และสบายกว่า แต่เขาก็เลือกที่จะโดยสารรถไฟไทยราคาประหยัด ได้สัมผัส ได้ฟังเสียงสายลมที่พัดผ่าน
ชายหนุ่มคุ้นชินกับการเดินทางคนเดียวมานาน หรือการเดินทางผสมอยู่ในสายเลือด หากไม่ได้ไปกับก๊วนเพื่อนซี้ที่คลั่งไคล้การบันทึกความทรงจำภาพเลนส์ แต่ถึงอย่างนั้นหัวใจเขาก็มักจะเดินทางคนเดียวเสมอเท่าที่โอกาสมาเยือน กวีเผลอถอนหายใจเบาๆ ช่วงหนึ่งของชีวิตจะมีมือเล็กๆ ค่อยเกาะกุมทุกขณะที่เท้าก้าวไป แต่วันนี้ไม่มีมือคู่นั้นอีกแล้ว…แม้จะปวดเจ็บที่หัวใจแต่ชีวิตมันก็ต้องก้าวต่อไปเหมือนเช่นที่เคยก้าวผ่านมา
แม้ว่าเขาจะรักการเดินทางมากเพียงใด ก็ยังไม่สามารถเอาชนะอาการเมารถได้เสียที เขามักใช้วิธีต่อรถบ่อยๆ เพื่อที่ร่างกายจะได้ค่อยๆ ปรับสภาพไปเรื่อยๆ จนถึงจุดหมาย หากฝืนนั่งรถนานๆ หลายชั่วโมงติดๆ กันกว่าจะถึงที่หมาย สภาพร่างกายก็ไม่พร้อมที่จะตะลุยไปตะลอนอย่างที่ใจปรารถนา
เหมือนกับการเดินทางครั้งนี้
กวีไม่ได้ให้คนของพี่ศิลามารับที่สถานีรถไฟ เขาอาศัยดูจากแผนที่แล้วโบกรถมาเรื่อยๆ เสื้อเชิ้ตผ้ายีนส์เนื้อหนาเต็มไปด้วยฝุ่นสีแดงเพราะถนนเส้นที่เขาผ่านมาอยู่ระหว่างขยายช่องทางเดินรถเพิ่ม เพื่อรองรับความเจริญและเศรษฐกิจที่ถ่ายเทจากเมืองไปสู่ชนบท ชายหนุ่มอดระบายลมหายใจหนักๆ ไม่ได้ ภาพบ้านไม้ใต้ถุนสูงคงจะเลือนหายไปในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เขารู้ดีว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดาของชีวิต จากวิถีชุมชนก็จะปรับเพื่อรองรับเศรษฐกิจแบบอุตสหกรรม แต่เขาก็ยังคาดหวังว่าจะเห็นบ้านทรงไทยที่เป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่นนั้นๆ อยู่ ซึ่งในแต่ละท้องถิ่นลักษณะบ้านก็จะแตกต่างกันไป ภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ใช้ประสบการณ์จริงมาเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตนั้นแสนน่าสนใจนัก ไม่ช้าไม่นาน บ้านไม้ใค้ถุนสูงคงได้เห็นจากในสมุดภาพเท่านั้น
ความเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดาของชีวิต
ไม่เว้นแม้แต่ใจคน
ชายหนุ่มหรี่ตามองเลยป้ายไม้สลักลายสวยงาม บอกชื่อไร่ ‘เรือนศิลา’ ถนนโรยกรวดเส้นเล็กๆที่มองเพียงปราดเดียวก็รู้ว่ากำลังอยู่ระหว่างปรับปรุงเส้นทาง จากคำบอกเล่าของชาวบ้านที่เขาถามทาง จากจุดนี้ต้องเดินเข้าไปอีกสี่หรือห้ากิโลเมตรจะถึงตัวบ้านพัก ซึ่งตรงกับที่พี่ศิลาเคยบอกไว้
‘กวีเดินเข้าไปไม่ไหวหรอกไปถึงแล้วให้โทรศัพท์ไปหาลุงคำปัน ให้แกเอารถออกมารับ พี่จะสั่งลุงไว้อีกที’
โทรศัพท์! โทรศัพท์มือถือรุ่นเก่าที่ถ่ายภาพไม่ได้มันนิ่งสนิทมาครึ่งวันแล้ว เพราะแบตเตอรี่มันเก็บไฟไม่อยู่แล้ว เขาลืมที่จะใส่ใจไอ้เครื่องมือสื่อสารชนิดนี้…ตั้งแต่เสียงหวานใสที่เคยกล่าวราตรีสวัสดิ์ก่อนนอนทุกคืนเป็นคนขอร้องให้เขาเลิกติดต่อกับเธอ
“เดินเอาก็ได้…แค่สี่-ห้ากิโลเอง”
ไม่รู้ว่าเพราะความอ่อนล้าหรือเพราะอาการเมารถยังตกค้าง หนุ่มลูกครึ่งเจ้าของร่างสูงโปร่งรู้สึกหวิวๆ อยู่ภายใน ที่คิดว่า ‘แค่’ ไม่กี่กิโลเมตร เริ่มไม่แน่ใจว่าเท้าที่อยู่ในการห่อหุ้มของรองเท้าผ้าใบจะเดินได้ครึ่งทางหรือยัง กวีปลดเป้ที่สะพายอยู่วางลงพิงโคนต้นไม้ใหญ่ก่อนทรุดตัวลงนั่งบนพื้นหญ้าอ่อนนุ่ม เหยียดขายาวไม่สนใจว่ากางเกงยีนส์สีดำสนิทจะเลอเทอะเปรอะฝุ่น
เขาพยายามหายใจเข้าปอดลึกๆ ก่อนผ่อนออกมาช้าๆควบคุมให้มันสม่ำเสมอ เพื่อปรับให้สภาพร่างกายให้เป็นปกติก่อนจะเดินทางต่อ เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ สายลมที่พัดผ่านทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย และเสียงนกร้องทีคงจะเดินทางกลับรัง คล้ายเสียงเห่กล่อม ทำให้เขาปิดเปลือกตาลงเหมือนต้องมนต์สะกดให้หลับใหลอย่างไม่รู้ตัว
ชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงสัมผัสที่อ่อนนุ่มที่เย็นสบายลูบไล้ใบหน้าเรื่อยลงลำคอ กลิ่นหอมอ่อนโยนที่ไม่รู้ที่มาทำให้รู้สึกสดชื่นได้อย่างประหลาด สติยังไม่กลับคืนคล้ายกึ่งฝันกึ่งตื่น ความฝันหรือความจริงวิ่งชนกันวุ่นวายในสมองจนดวงตาที่ปิดอยู่เต้นระริก จนกวีต้องฝืนใจเปิดเปลือกตาที่หนักอึ้งขึ้น แต่แสงไฟสว่างจ้าที่สาดเข้าใส่เขาทำให้ต้องยกมือขึ้นป้องแสงนั่น และพยายามปรับสายตาให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่ความมืดเข้าปกคลุม
“คุณกวีหรือเปล่าครับ”
เสียงชายวัยกลางคนตะโกนถาม และถามย้ำอีกครั้งเมื่อลงจากรถจี๊ปเหล็กเขรอะคราบโคลน ชายหนุ่มหยัดกายลุกขึ้นจึงรู้ว่าแสงสว่างที่ส่องมาคือแสงจากดวงไฟหน้ารถ
“ครับ” กวีเอ่ยตอบหลังจากเงียบไปอึดใจ ไม่รู้ว่าตนเองเผลอหลับไปนานขนาดนี้
“ผมคำปันครับ” แม้ผู้พูดจะสูงวัยกว่าแต่ยังเอ่ยกับคนที่อายุห่างรุ่นลูกอย่างนอบน้อม “คุณศิลาโทรศัพท์มาบอกว่าคุณกวีจะมาวันนี้ ผมเอะใจว่าทำไมคุณยังมาไม่ถึงเลยตั้งใจจะขับรถไปดักรอคุณที่ตีนเขานะครับ”
ถ้อยคำเป็นกันเองพร้อมรอยยิ้มละไม ลุงคำปันเดินไปฉวยเป้ที่วางอยู่โคนต้นไม้อย่างไม่รอคำอนุญาตจากเจ้าของใส่ท้ายรถทำให้ร่างสูงโปร่งต้องเร่งเท้าเดินตามไปที่รถทันที
“เอ…ทำไมไม่โทรศัพท์ให้ผมมารับละครับ” ลุงคำปันถามแบบไม่มองหน้าและเคลื่อนรถออกทันทีที่ประตูฝั่งผู้โดยสารปิดสนิทแล้ว
“แบตมือถือหมดนะครับ” กวีเอ่ยเบาๆ ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นภาระให้ผู้สูงวัยกว่าหรือเปล่า แต่ประโยคของเขากลับสร้างเสียงหัวเราะก๊ากแบบไม่เกรงใจคนฟัง ทั้งๆ ที่คนพูดก็ไม่แน่ใจว่าขำตรงไหน
“แล้วไปทำอีกท่าไหนถึงหลับตรงนั้นได้ละครับ”
กวียิ้มเจื่อนๆ ไม่รู้จะเอ่ยตอบอย่างไรดี แม้รถจะเคลื่อนออกมาจากจุดนั้นแล้วเขาก็ยังมองไปด้านหลังผ่านกระจกรถ เผื่อว่าจะ…จะได้คำตอบว่าความรู้สึกในตอนนั้นมันเป็นเพียงความฝันหรือเรื่องจริง
อาจเป็นเพราะความมืดเข้าคลี่คลุม จึงไม่มีใครสังเกตเห็นร่างบอบบางที่หลบซ่อนกายอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ที่เคยมีชายหนุ่มแปลกหน้าเผลอหลับใหลเพราะความอ่อนล้า หญิงสาวยกมือที่มีผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำในมือขึ้นทาบอก รู้สึกถึงจังหวะหัวใจที่เต้นรัวเหมือนกลองรบอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
จะเรียกว่า ‘คนแปลกหน้า’ ได้ไหม? ก็ในเมื่อ…ทั้งคนทั้งคู่เคยพบเจอกันมาแล้ว
บนโต๊ะทำงานเต็มไปด้วยแปลนงานแบบก่อสร้างมากมาย รวมทั้งโมเดลจำลองแบบรีสอร์ทในจิตนาการ ที่พยายามผสมผสานความเป็นธรรมชาติและความทันสมัยเข้าไว้ด้วยกันภายใต้โครงสร้างที่เรียบง่ายอิงแบบภูมิปัญญาชาวบ้านให้มากที่สุด แต่กระนั้นเจ้าของห้องที่เพิ่งเข้ามาอาศัยอยู่ได้เพียงแค่สามคืน ก็รู้สึกหงุดหงิดเพราะบางสิ่งบางอย่างดูมันจะไม่ยอมออกมาจากหัวสมองบ้างเลย
กวีจิบกาแฟในถ้วยเซรามิคใบสวยแล้วเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ความจริงเมื่อคืนก่อนพี่ศิลาโทรมาหาเขาพูดคุยน้ำเสียงอารมณ์ดีที่รู้ว่าเขามาถึงตามคำเชื้อเชิญ เขาอนุญาตให้กวีอยู่สบายๆ โดยไม่ต้องวุ่นวายกับงานที่เขาเคยบอกไว้ว่าจะให้ทำ กวีเองก็เข้าใจในความหวังดีของพี่ศิลาที่อยากจะให้ศึกษางานจากผู้เชี่ยวชาญตัวจริงมากกว่าลงมือทำเอง แต่เขาก็อยากแสดงฝีมือให้เจ้าของไร่ที่ปันเนื้อที่เป็นรีสอร์ทสุดหรูว่าเขาทำงานได้จริงและไม่อยากอยู่ฟรีกินฟรีอย่างนี้
“คุณกวี ทานข้าวเที่ยงครับ”
เสียงลุงคำปัน เรียกทันทีที่เปิดประตูห้องพักของกวี คนหนุ่มยิ้มเหนื่อยๆ ก่อนลุกขึ้นบิดตัวไปมา ลุงคำปันยิ้มจนเห็นฟันซี่เกข้างหน้า ชายวัยห้าสิบปีเศษเป็นคนนี้เป็นผู้ดูแลเรื่องเกือบทุกเรื่องในไร่เรือนศิลา และเป็นคนเดียวกับที่พบเขานอนหลับอยู่ระหว่างทางเข้ามาที่ไร่เมื่อสามวันก่อนด้วย..
“คุณกวีขี่ม้าเป็นไหมครับ” สำเนียงเหนือของลุงคำปันถามเมื่อตักข้าวส่งให้ กวีเขาส่ายหน้าแล้วยิ้มบางๆ ขณะรับจานข้าวที่ถูกส่งมาตรงหน้า
“คุณศิลาชอบขี่ม้ามาก มีคอกม้าด้วย คุณกวีน่าจะหัดขี่ดูนะครับ เผื่อคุณศิลากลับมาจากเชียงใหม่จะได้ขี่เล่นกับคุณศิลา”
“คงจะไม่ล่ะครับลุง” กวีอดหัวเราะไม่ได้เมื่อนึกถึงตัวเองทรงตัวอยู่บนม้า เขาคงถูกม้าถีบเล่นเสียมากกว่าที่จะสนุกกับการขี่ม้า
“งั้นไปเดินเล่นก็ได้นะครับ ทางเหนือมีน้ำตก เล็กๆ นะครับไม่ใหญ่โตอะไร คนแถวนี้ไม่ค่อยไปเท่าไหร่เพราะไปจนเบื่อ ถ้าพวกนักท่องเที่ยวมาทัวร์ก็จะไปอีกที ตรงนั้นก็เลยยังสวยอยู่ คล้ายๆกับที่ส่วนตัว..คุณศิลาชอบไปบ่อยๆ แต่ไม่บอกใครหรอกครับ” ผู้ดูแลแนะนำอย่างเจนหน้าที่
“แล้วทำไมลุงบอกผมล่ะ”
“ก็คุณศิลาสั่งไว้ว่าคุณเป็นแขกของท่าน ต้องดูแลอย่างดี”
กวียังคงทานข้าวอยู่ต่อไป แต่เขาก็เริ่มสนใจสถานที่นั้นขึ้นมาแล้ว...และเผลอยิ้มออกมาจนชายวัยห้าสิบยิ้มกว้างที่สามารถชักจูงให้ชายหนุ่มออกไปนอกห้องเสียบ้างได้สำเร็จ
เสียงน้ำตกดังขึ้นชัดเจนเรื่อยๆ เมื่อเท้าของคนหนุ่มลูกครึ่งไทย-อิตาลี่เดินเท้าเปล่าลุยพงหญ้าที่ถางไว้เป็นทางเล็กๆ พอนำทางให้ได้ไม่ผลัดหลงไปดอมดมดอกไม้อื่นเสียก่อน ภาพน้ำตกที่สูงไม่มากนัก ทำให้ความเหนื่อยล้าของผู้มาเยือนจางหายไป
น้ำใสๆ จนเห็นปลาตัวเล็กๆ แหวกว่ายอยู่ริมธาร แต่คาดว่าตรงกลางคงลึกไม่น้อยเพราะสีของน้ำเข้มกว่าบริเวณอื่น
กวีวางรองเท้าที่หิ้วมาทิ้งไว้โคนต้นไม้แล้วทรุดตัวลงใช้มือควักน้ำมาล้างมือ ปลาตัวเล็กๆ ว่ายหนีหายอย่างรวดเร็ว อารมณ์ทำให้นึกถึงเมื่อวัยเด็กครั้งที่ยังอยู่ อ.พิมาย ส่วนหนึ่งของจังหวัดนครราชศรีมา นานแล้วที่ไม่ได้นึกถึงที่นั่นนานมากจนเกือบลืมว่าจากมากี่ปี แต่บางเรื่องราวยังคงไม่เลือนหายจากไปความทรงจำเลยแม้แต่น้อย
กวีสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ แล้วก้มศีรษะตัวเองลงไปในน้ำ เริ่มนับหนึ่งทันทีที่ลืมตาในน้ำใสๆ นั่นได้ ราวกับแข่งดำน้ำกับปลาตัวเล็กที่แหวกว่ายอยู่ใต้ผิวน้ำ เขาชอบทำแบบนี้เสมอ เมื่อรู้สึกอยากล้างอะไรบางอย่างออกจากหัวไปบ้าง อย่างน้อยน้ำเย็นๆ นี้ก็รู้สึกเย็นสบายไปถึงหัวใจ
จนเมื่อเขารู้สึกว่าตัวเองไม่ไหวแล้ว จึงเงยหน้าขึ้นจากน้ำอย่างรวดเร็วๆ ไม่ทันมองว่ามีใครอยู่ใกล้ แล้วสายตาสีน้ำตาลอ่อนโยนของเขาก็คล้ายถูกสะกด เมื่อมองดูเสียงร้องตกใจที่ดังขึ้นใกล้ๆหูเขา
หญิงสาวเองก็ตกใจไม่น้อย นึกว่ามีใครเป็นอะไรถึงได้เอาศีรษะจุ่มน้ำแล้วแช่ในน้ำนานอย่างนี้ แต่ความรู้สึกของเธอก็ไม่ต่างจากคนแปลกหน้าที่จ้องมองมาและไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองว่า ‘ใครคนนั้น’ จะมาอยู่ตรงนี้
“คุณ”
กวีจะเอื้อมมือไปสัมผัสต้นแขนเปลือยเปล่าที่โผล่พ้นเสื้อแขนกุดของเธอ เขาจำได้ว่าผู้หญิงคนเดียวกับที่ทิ้งรองเท้าไว้ให้ดูต่างหน้า อยากจะสัมผัสตัวเธอให้แน่ใจว่าเธอเป็น ‘คน’ ไม่ใช่ภาพหลอนที่หลอกให้เขาละเมอหา
“จะทำอะไรนะ”
รัดเกล้าร้องเสียงสั่น จะลุกขึ้นแต่กวีดึงเธอไว้ก่อน เพ่งสายตาคู่โศกของเขามองดูเธอชิดใกล้จนได้ลมหายใจสัมผัสถึงกันและกัน หญิงสาวรู้สึกวูบไหวไปกับสายตาที่จ้องมอง แต่ก็สะบัดหน้าหนีหลบสายตาคู่นั้น พยายามดิ้นร้นเพื่อให้ตัวเองออกจากวงแขนของคนแปลกหน้าที่เฝ้าหลอกหลอนในคืนวันที่แสนเหงาของเธอ
ชายหนุ่มเพียงตั้งใจไม่ให้เธอล้ม เพราะทั้งคู่ยืนอยู่ริมลำธารที่เป็นดินค่อนข้างลื่นไม่ได้ตั้งใจล่วงเกินเธอเลย หากแต่อีกฝ่ายออกแรงสะบัดแขนให้หลุดพ้นจากมือเขา ชายหนุ่มก็ปล่อยเธอออกเพราะกลัวเธอจะเจ็บจากแรงบีบจากมือแข็งแกร่ง ทว่ามันกลับทำให้ร่างเล็กๆ ทรงตัวไม่อยู่เอนหลังจะหล่นน้ำ เขายื่นมือไปสุดแขนจะคว้าร่างบางไว้แต่กลับร่วงหล่นลงน้ำด้วยกันทั้งคู่…
กวีกวาดสายตามองหาทันทีที่ตัวเองดีดตัวเองขึ้นพ้นผิวน้ำ นอกจากแผ่นน้ำที่ไหวระริกเขาก็มองไม่เห็นสิ่งใด ทำให้หัวใจเขาเต้นแรงด้วยความกังวลและดำลงไปหาหญิงสาวผมยาวสยายคนนั้นอีกครั้ง ต้องเพ่งสายตาในน้ำขุ่นอยู่นานจนเห็นร่างเล็กๆ กำลังพยายามตะเกียกตะกายขึ้นน้ำ เขาทะยายตัวเข้าไปรั้งเอวคอดกิ่วของเธอ ไว้แล้วพาว่ายขึ้นผิวน้ำ
ใช่ว่าหญิงสาวจะว่ายน้ำไม่เป็น แต่เพราะตกใจมากกว่าจึงตั้งสติไม่ทัน…สายตาที่เคยตกใจเมื่อครั้งแรกที่ได้เจอกลับเป็นแค้นเคืองจนเขารู้สึกว่าตัวเองทำผิดไปมาก แต่ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร?
“ผมขอโทษ...” กวีพูดได้แค่นั้น หญิงสาวผมยาวในเสื้อแขนกุดก็ว่ายน้ำหนีไปขึ้นฝั่ง
เสื้อสีขาวแนบเนื้อจนเขาเบนสายตาหนีระบายลมหายใจอย่างอึดอัด แล้วว่ายน้ำตามกลับมาที่ฝั่ง ผมสีน้ำตาลอ่อนยังคงดูอ่อนโยนแม้จะเปียกน้ำจนไม่ได้รูปทรง หญิงสาวกอดอกปกป้องร่างกายที่เปียกชุ่มจากสายตาของคนแปลกหน้า
ชายหนุ่มยืนตากลมได้เพียงครู่พยายามเค้นหาถ้อยคำเรียกประโยคในใจด้วยไม่รู้ว่าจะเอ่ยเรื่องใดก่อนดี ที่เขาไม่ได้ตั้งใจทำให้เธอเปียกหรือการที่เขายังเก็บรองเท้าคู่นั้นของเธอไว้ที่ใต้เตียง เพียงลมพัดมาวูบหนึ่งร่างสูงโปร่งกลับเป็นฝ่ายสั่นสะท้านขึ้นมาก่อน หญิงสาวเพียงมองอย่างนิ่งเฉยด้วยไม่รู้จะจัดการกับอารมณ์ที่สับสนในใจอย่างไร เมื่อไม่รู้จะทำอย่างไนเท้าเล็กๆ ก็เดินหนีทันที่
“คุณ...ผมขอโทษ” กวีเร่งเท้าเดินตาม แต่ดูเหมือนเธอจะชำนาญเส้นทางดีกว่าเขาหลายเท่า
“คุณ...” กวีเองก็จนคำพูดนึกอะไรไม่ออกได้แต่มึนงงกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่
“อย่าเข้ามาใกล้ฉันนะ” เธอตวาดกลับแต่เสียงนั้นเบา มีเพียงแต่สายตาที่แสดงความไม่พอใจออกมา
“ผมแค่อยากรู้จักคุณ” กวีพูดเสียงเบาน้ำเสียงจริงใจไม่แพ้สายตา
รัดเกล้าลดอารมณ์ของตัวเองลงเมื่อได้ยินเสียงบางเบาของร่างสูงโปร่ง เธอหมุนตัวไปสบตากับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนโยน เห็นสายตาวิงวอนแบบนี้แล้ว เธอเองก็ไม่ควรไปทำเกรี้ยวกราดใส่แต่เธอก็วิ่งหนีหายไปทันทีที่ดูเหมือนเขาทำท่าจะเขามาใกล้เธออีกครั้งไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกอย่างไรก็ตาม
วิสกี้ยี่ห้อหรูถูกรินลงในแก้วทรงสูงแล้วเลื่อนส่งให้กับคนหนุ่มที่นั่งอยู่ใต้ผ้าห่มที่ระเบียงของบ้าน ถ้ามองขึ้นไปบนฟ้าก็พบดวงดาวมากมายระยิบระยับทักทายอยู่ใกล้ๆ พระจันทร์เสี้ยวที่แขวนตัวโดดเดี่ยวเป็นส่วนหนึ่งของท้องฟ้าสีดำกำมะหยี่
“ดื่มนิดเดียว แต่พอทำให้ร่างกายอบอุ่น” ลุงคำปันเอ่ยยิ้ม
แต่คนรับยิ้มแหยๆ เพราะไม่ใช่คนคอเหล้า ถ้าไม่จำเป็นเขาเลือกที่จะไม่ดื่ม แต่ด้วยแรงคะยั้นคะยอทำให้จำใจดื่มไปจนได้
เขารู้สึกร้อนขึ้นมาทันทีที่เหล้าผ่านคอ รู้สึกวูบวาบไปหมดทั้งตัว เมื่อตอนเย็นเขาเดินกลับลงมาจากเขาในสภาพเปียกโชกและหนาวสั่น แต่กระนั้นจิตใจก็หวั่นไหวและห่วงหาคนที่เปียกปอนด้วยกันมากกว่าจะใส่ใจตัวเอง
ลุงคำปันตกใจมากที่เห็นสภาพแขกของคุณศิลาอยู่ในสภาพเช่นนั้น แต่เมื่อชายหนุ่มยืนยันว่าตัวเองไม่เป็นอะไรมากก็โล่งอก
แต่ก็ยังไม่วายห่วงใยเขาเหลือเกิน ทั้งหาเสื้อผ้าเนื้อหนาเตรียมน้ำอุ่นแถมด้วยเจ้าวิสกี้แก้วนี้จนกวีซึ้งในน้ำใจที่มีให้
“คุณกวีน่าจะกลับไปนอนที่ห้องนะครับ ตรงนี้พอดึกๆน้ำค้างจะแรง”
“อีกเดี๋ยวนะลุง ดาวสวยนะคืนนี้” กวีเฉไฉไปเรื่องอื่น ลุงคำปันส่ายหน้าอมยิ้มเมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ใคร่จะสนทนาต่อ คล้ายอยู่ในห้วงความคิดถึงใครบางคนที่อาจพิเศษที่หัวใจ
กวีหนาวจนกายสะท้านเมื่อสายลมวูบหนึ่งพัดมาทักทายคล้ายหยอกเย้า กระชับผ้าห่มเข้าหาตัว อนุญาตให้หัวใจนึกถึงผู้หญิงคนหนึ่งที่เคยมีค่าที่สุดในหัวใจ แต่สุดท้ายก็หักหลังเขาอย่างไม่เหลือเศษหัวใจไว้ให้เก็บ มันช่างเป็นเวลาที่เลวร้ายที่สุด…เหมือนคนโง่ในสายตาคนอื่น ผู้ชายคนหนึ่งหลงรักใครอย่างหัวปักหัวปำ เมื่อถูกทำร้ายก็แทบบ้าตายเสียให้ได้ หากไม่มีเผ่าหนุ่มมาดเซอร์ นายต๋องโอ่งราชบุรีและโกเมซเพื่อนผู้เงียบขรึมเป็นเพื่อนอยู่ในเวลานั้น เขาคงไม่กลายเป็นบ้าไม่เป็นผู้เป็นคนเลยทีเดียว
วิสกี้ยังคงตั้งอยู่ใกล้ๆ เขามองนิ่งนานก่อนที่จะเทมันลงแก้วแล้วเทผ่านคอเพื่อดับความขมขื่นของหัวใจ แก้วแล้วแก้วเล่าจนลืมนับจำนวนแก้วที่รินไปว่าเท่าไหร่แล้ว แต่หยุดเมื่อเห็นดวงดาวพร่าคล้ายจะเลือนหายไปต่อหน้าต่อตา...และเหมือนพระจันทร์ร้องไห้...เสียงสายลมที่พัดผ่าน เหมือนเสียงสะอื้นทว่ากรีดลึกที่หัวใจ รู้สึกหนาวจนไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรไป
รัดเกล้าเดินเข้ามาในบ้านพักหลังใหญ่กลางไร้ที่มีพื้นที่ส่วนหนึ่งแบ่งเป็นรีสอร์ทสุดหรู เธอไม่ค่อยได้มาที่นี้เท่าไหร่นัก เธอไม่ชอบผู้คนมากมาย แต่ก็เข้าใจว่านั่นเป็นส่วนหนึ่งของกิจการของครอบครัวที่พี่ชายดูแลอยู่ โดยที่เธอไม่เคยได้เข้าไปช่วยเหลืออะไรเลย สิ่งเดียวที่เธอทำได้และมั่นใจว่าทำได้ดีคือช่วยงานแม่อธิการใจดีท่านหนึ่งด้วยการดูแลเด็กกำพร้าที่แม่อธิการรับอุปการะดูแลเกือบยี่สิบคน
แต่เย็นนี้เธอก็ขึ้นมาที่ไร่นี้จนได้ เพราะลุงคำปันมาคอยรับนานแล้ว แม้ว่าตลอดวันของวันนี้ เธอไปฉีดวัคซีนให้ชาวเขาที่หมู่บ้านหนึ่ง กว่าจะกลับมาถึงก็เย็นย่ำ ดูสีหน้าของลุงคำปันแสดงความกังวลไม่น้อย เธอจึงจำใจรีบมาที่ไร่เพื่อดูอาการคนป่วยตามที่ลุงคำปันขอร้องแกมบังคับ เพราะคนป่วยคนนี้เป็นรุ่นน้องของเจ้านาย หรือพี่ศิลา-พี่ชายของเธอด้วย
“อะไรกันนี่…”
เธออุทานทันทีที่เปิดประตูเข้าห้องคนป่วย ข้าวของค่อนข้างรกเต็มไปด้วยแบบแปลนกระดาษอะไรไม่รู้มากมายที่เธอไม่รู้จักมันเลย...แม้ว่าจะเคยเห็นพี่ศิลาหอบกระดาษแบบนี้มาทำงานที่บ้านบ่อย ๆ
“คุณกวีมีไข้ตั้งแต่เมื่อคืนนะครับคุณเกล้า” ลุงคำปันเอ่ยแล้วรีบกวาดกระดาษรกๆ ออกจากเตียง จะได้เห็นหน้าคนป่วยไข้ที่ไม่ยอมทิ้งงานให้ห่างตัว
คุณพยาบาลทรุดตัวลงนั่งข้างๆ เตียง ถลกแขนเสื้อตัวเองขึ้นในท่าถนัด สัมผัสหน้าผากของชายหนุ่มแผ่วเบา เพียงการขยับตัวรับสัมผัสของอีกฝ่ายก็ทำเอาหญิงสาวสะดุ้ง แต่เปลือกตาของคนป่วยยังปิดสนิท เธอข่มความรู้สึกตัวเองให้เป็นปกติ มือเรียวเกลี่ยเส้นผมสีน้ำตาลราวแสงแดดทอประกายเมื่อเห็นใบหน้าชายหนุ่มชัดเจนก็ถึงกับเผลอสะดุดเป็นครั้งที่สอง
“มีอะไรครับคุณหนูเกล้า”
“ปะ...เปล่า” หญิงสาวสะบัดหน้าไปมาจนเส้นผมสีดำปลิวไปมา ‘ทำไมโลกมันกลมอย่างนี้นะ...ตาบ้านี่มาพักที่นี่ได้ยังไง’
“แย่จริง...ฉันไม่ได้เอากระเป๋ายามา ลุงคำปันกลับลงไปเอาที่แม่อธิการได้มั้ย เอามาทั้งกระเป๋านะ ฉันจะเอาเข็มฉีดยาด้วยที่นี่ไม่มี”
รัดเกล้าสั่งงานทันทีที่ได้สติ เวลานี้ต้องดูแลคนป่วยที่ไม่รู้สึกตัวก่อน เธอไม่คิดว่าจะมีคนป่วยไข้ขึ้นสูงอย่างนี้จึงไม่ได้เตรียมอะไรมา ลุงคำปันผงกศีรษะรับคำสั่งแล้วรีบออกไปอย่างรวดเร็ว
ศิลาไม่ชอบให้ใครมายุ่งย่ามในบ้านมากนัก จึงให้พวกแม่บ้านและคนรับใช้ไปพักที่เรือนด้านหลัง ให้เข้ามาเฉพาะทำงานตอนกลางวันเท่านั้น ที่นี้จึงมีแค่ลุงคำปันที่เข้านอกออกในได้เกือบยี่สิบสี่ชั่วโมง บ้านหลังใหญ่ในเวลานี้จึงมีแค่หนุ่มสาวอยู่เพียงแค่คู่เดียว
รัดเกล้าถอนลมหายใจหนักๆ มือเรียวเล็กปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของชายหนุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนที่นอนหลับใหลเพราะพิษไข้
เสื้อที่ทำจากผ้าฝ้ายชื้นเหงื่อจนชุ่ม หญิงสาวลุกขึ้นไปเตรียมน้ำอุ่นมาเช็ดตัวเพื่อให้ไข้ลดลง และคงต้องเปลี่ยนเสื้อตัวใหม่ให้ด้วย
จู่ๆ แก้มเนียนก็แดงระเรื่ออย่างไร้เหตุผลเพียงแค่เหลียวมองแผ่นอกกว้างที่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อเชิ้ตที่ถูกปลดกระดุมออกหมด
‘ฉันเป็นอะไรไปเนี่ย’.