บทที่ 3
บทที่ 3
“ขอโทษค่ะ”
เสียงหวานใสร้องออกมาพร้อมกับดันตัวเองออกจากอกกว้างของอีกฝ่าย ที่เธอหล่นมานอนทับอยู่อย่างนี้ และรีบถอยออกห่างเมื่อตั้งสติได้
กวียันตัวเองลุกขึ้นนั่ง สายตาจับจ้องอีกฝ่ายอย่างไม่กังวลถึงมารยาท ใบหน้ารูปไข่ ตากลมโตหวานสวยแต่ซ่อนเศร้า จมูกโด่งรั้นเหมือนเด็กดื้อและริมฝีปากบางเม้มจนเป็นเส้นตรง ผิวขาวราวกับอบร่ำในเปลือกหอย ที่แก้มเนียนแดงระเรื่ออย่างน่ามอง โดยเฉพาะผมยาวสยายเหยียดตรงถึงกลางหลังที่นุ่มมือเขาเหลือเกิน
สวยเหมือนภาพวาดหรือว่าเขากำลังละเมอ
สายตาของชายหนุ่มแปลกหน้าทำเอาหญิงสาวทำหน้าไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรขอโทษที่หล่นจากต้นไม้มาทับเขาหรือขอบคุณที่เขายอมเป็นเบาะรองรับร่างของเธอ พอจะลุกขึ้นยืนก็เจ็บข้อเท้าจนต้องทรุดนั่งอยู่ท่าเดิม กวีเห็นอีกฝ่ายท่าทางจะเจ็บมากจึงเอื้อมมือไปจับข้อเท้าของเธอเบาๆ สร้อยข้อเท้าสีเงินวาวมีลูกกระพรวนเล็กๆห้อยอยู่สะท้อนกับแสงแดด แต่ยังไม่ทันที่เขาจะถอดรองเท้าเธอออกดูความบอบช้ำหญิงสาวก็ชักเท้ากลับและยันตัวลุกขึ้นยืนโดยเร็วไม่สนใจความเจ็บปวดของตัวเอง
“ขอโทษ เอ่อ..ขอบคุณค่ะ”
“เดี๋ยวครับ…เดี๋ยว”
กวีส่งเสียงเรียกตามแผ่นหลังของหญิงสาวที่วิ่งกระเผลกๆ จากไปแล้ว เหลือเพียงแต่ภาพหญิงสาวสวมชุดกระโปรงยาวรุ่ยร่ายสีขาวไข่มุกที่จู่ๆก็ตกตุบจากกิ่งไม้เหนือศีรษะเขา
หรือเธอจะเป็นนางฟ้าที่ทำปีกหลุดหายกลางทาง…
กวีเผลอหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อมองรองเท้าแบบสานทำมาจากหญ้าชนิดหนึ่งยังติดมือของเขาอยู่ ข้างที่เขาจับข้อเท้าเธอคนนั้น และอีกข้างที่หล่นเฉียดศีรษะเขาไปนิดเดียวนั้นตกอยู่ไม่ไกล หรือบางที…เธออาจเป็นเจ้าหญิงซุกซนที่ปีนต้นไม้เล่น แล้วทิ้งรองเท้าให้เขาดูต่างหน้า…แล้วเธอก็เดินเท้าเปล่าจากไป เขายังหาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้ แต่ที่แน่ๆ หัวใจที่เคยจมน้ำตากำลังถูกกามเทพเล่นตลก เพราะขณะนี้ หัวใจเขาเริ่มหวั่นไหวคล้ายได้ยินเพลงรักอบอวลในหัวใจอีกครั้ง
กล่องกระดาษสีน้ำตาลขนาดย่อมถูกเลื่อนเข้าไปใต้เตียงอย่างรวดเร็ว เมื่อชายหนุ่มเจ้าของห้องได้ยินเสียงเคาะประตูถี่ๆหลายครั้ง เขารีบลุกขึ้นดึงผ้าคลุมเตียงลงอย่างเดิมก่อนเดินไปเปิดประตูห้องนอนให้ หญิงสาวผมบ๊อบสั้นเสมอติ่งหูก้าวเข้ามาให้ห้องของเขา และถือวิสาสะนั่งบนเตียงนอนอย่างไม่ขออนุญาต
“แด็ดให้มาตาม จะให้ช่วยย้ายอะไรไม่รู้” มาริสาเคี้ยวหมากฝรั่งแล้วเป่าเป็นลูกโต
“เที่ยวพอหรือยัง จะได้กลับไปเรียนต่อเสียที” กวีถอนหายใจหนักๆ เขาเองก็พอเข้าใจความรู้สึกของน้องสาว แต่สิ่งที่เธอทำอยู่นี้ไม่ใช่ทางออกที่ดีเลย
“แด็ดจ้างเท่าไหร่ให้พี่กวีมาพูดแบบนี้ละ” มาริสาเบ้ปากแล้วผุดลุกขึ้นยืน
“พี่พูดเพราะเป็นห่วง กลัวริสาจะตามคนอื่นไม่ทัน”
“ตามใคร? ทำไม? ริสาจะเป็นแบบนี้ใครจะทำไม? แด็ดยังไม่ว่าอะไรริสาเลย พวกฝรั่งนะเค้าปล่อยให้เด็กตัดสินใจเองทั้งนั้นแหละ”
“ใช่…ตัดสินใจเอง แต่ไม่ใช่ประชดแบบนี้”
“พี่กวี! อย่ามาถือสิทธิ์สั่งสอนริสานะ อย่าลืมนะว่าพี่ก็ไม่ได้เป็นพี่แท้ๆ ของริสา”
ยังไม่ทันที่กวีจะเอ่ยอะไรเด็กสาวก็พรวดพลาดออกจากห้องไป เสียงปิดประตูดังโครมทำให้เจ้าของห้องได้แต่ถอนหายใจเบาๆ ทรุดตัวนั่งที่ปลายเตียง ไม่มีรู้จะทำยังไงดีกับน้องสาวคนละสายเลือดคนนี้
เขารู้…และเข้าใจความรู้สึกของมาริสาดี เธอเคยเป็นที่รักของครอบครัว จนเมื่อแม่ของมาริสาจากไปด้วยโรคร้าย เพียงไม่ถึงสองปี พ่อก็แต่งงานใหม่ ถึงแม้ว่าคุณอรทัยจะไม่ใช่แม่เลี้ยงใจร้ายแบบในละครหลังข่าวภาคค่ำ แต่มาริสาก็สวมบทเป็นลูกเลี้ยงใจดำที่ไม่ยอมรับการแต่งงานใหม่ของพ่อพาลเกลียดไปถึงน้องชายต่างแม่วัยห้าขวบอีกต่างหาก เพราะรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกแย่งความรักไป
ตัวเขาเองก็มาอยู่ในบ้านหลังนี้ในฐานะผู้อาศัย เพราะพ่อเขามาเสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์ เขาตัดสินใจไม่นานหลังเสร็จงานศพพ่อ ก็โบกรถเข้ากรุงเทพฯทันที เขาจึงเข้ามาเป็น ‘ลูกชาย’ ของบ้านหลังนี้เมื่อตอนอายุสิบห้าปี ลุงเคจเพื่อนสนิทของพ่อจึงอาสาจะส่งเสียเลี้ยงดูจนเขาจบมหาวิทยาลัย ส่วนแม่นะหรือ เขาจำไม่ได้แล้วว่าหน้าตาเป็นอย่างไร
เสียงเคาะประตูสองสามครั้งก่อนที่บานประตูจะแง้มออกช้าๆ ทำให้กวีเอี้ยวตัวมองไปทางต้นเสียง เด็กชายอั้มโผล่หน้ามายิ้มน้อยๆ ให้พี่ชายก่อนที่จะเดินเข้ามาในห้อง
“แด็ดให้มาตามพี่กวีมาช่วยย้ายตุ๊กตาช้างยักษ์ครับ”
“พี่กำลังจะลงไปพอดีครับ”
กวีหัวเราะน้อยๆ ตุ๊กตาช้างยักษ์ที่น้องอั้มว่าเป็นช้างไม้แกะสลักตัวใหญ่ ที่มีลูกค้าสั่งไว้เมื่อสองสัปดาห์ก่อน น้องชายตัวเล็กยิ้มกว้างก่อนเดินนำหน้าออกไป กวีลุกขึ้นเดินตามแผ่นหลังของเจ้าจอมซน แต่จู่ๆเขาก็นึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมา อดมองไปที่ใต้เตียงไม่ได้ คงไม่มีใครเข้ามารื้อหาอะไรในห้องของเขาเวลาที่เขาไม่อยู่บ้านนะ
ที่สำคัญเขาไม่สามรถห้ามหัวใจไม่ให้ที่จะนึกถึงเจ้าของรองเท้า ป่านนี้ไม่รู้จะหารองเท้าใส่ได้หรือยัง
เสียงเพลงในจังหวะเทคโนแดนส์ดังกระหึ่มในผับแห่งหนึ่งย่าน RCA หนุ่มสาวมากมายต่างยักย้ายส่ายเรือนร่างตามจังหวะเสียงเพลงอย่างเมามัน เด็กสาวในเสื้อผ้าน้อยชิ้นหรือรัดติ๋วแต่งหน้าจัดจ้านส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดอย่างสนุกสุดเหวี่ยง หนุ่มน้อยใหญ่ในเสื้อผ้าทันสมัยก็ขยับโยกกายเบียดร่างเสียดสีกับหญิงสาวอย่างได้อารมณ์ ราวกับจะละลายความเหงาให้หมดไปด้วยเสียงเพลง
แต่มันก็ไม่สามารถใช้ได้กับทุกคน มาริสานั่งอยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์พร้อมแก้วเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอร์ เพื่อนสาวที่มาด้วยกันไปแดนส์กระจายกับเพื่อนหนุ่มที่เจอกันเมื่อครู่ เธอสวมเสื้อยืดตัวเล็กรัดเน้นทรวดทรงกับกระโปรงกำมะหยีสีดำสั้นเหนือเข่าเข้ากับรองเท้าบู๊ตที่เธอชอบสวมใส่เป็นประจำ ในขณะที่รอบข้างถูกดูดกลืนด้วยเสียงเพลง แต่เธอกลับรู้สึกเหมือนนั่งอยู่คนเดียวอย่างเคว้งคว้างในอากาศ
‘น้องสาว เอะอะก็น้องสาว คำก็น้องสาว-สองคำก็น้องสาว’
มาริสากระดกแก้วเครื่องขึ้นรวดเดียวหมดก่อนกระดิกนิ้วเป็นสัญญาณให้บาเทนเดอร์ผสมเครื่องดื่มชนิดเดิมมาให้อีกแก้ว เธอไม่ได้อยากมาที่แบบนี้เสียหน่อย ถ้าเพียงแต่พ่อห้ามเธอสักคำเธอจะไม่มาเลย ต่อให้พ่อเธอเป็นฝรั่งผมทองที่หลงรักศิลปวัฒนธรรมไทยมากมายขนาดตั้งร้านขายของเก่ายังไง พ่อก็น่าจะแสดงความเป็นห่วงเป็นใยลูกสาวคนเดียวอย่างเธอบ้าง
ปีนี้เธอควรจะอยู่มอหกและเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว แต่เธอปล่อยให้คืนวันผ่านไปอย่างเปล่าดาย เธอไม่ไปโรงเรียนจนอาจารย์ส่งจดหมายเชิญผู้ปกครอง พ่อก็ไม่มีอาการแสดงที่ท่าอะไร เธอปล่อยให้วันคืนเดินผ่านไปอย่างช้าๆ จบครบเทอม ถึงได้รู้ว่าพ่อได้ไปเซ็นใบลาออกให้เธอแล้ว ตั้งแต่พ่อแต่งงานใหม่ พ่อก็หลงลืมไปแล้วว่ามีลูกสาวคนนี้อยู่ พ่อหมดรักแม่-แต่งงานใหม่ทั้งๆ ที่แม่จากไปไม่ถึงสองปี พ่อทรยศความรักที่แม่มีให้พ่อเพียงคนเดียว แถมยังมีลูกชายตัวเล็กๆ มาแทนที่เธออีก นี้นะหรือ ? ความรักของพ่อ ความรัก ความห่วงใย ที่พี่กวีกรอกใส่หูแทบทุกครั้งที่เจอหน้า
‘น้องสาว เอะอะก็น้องสาว คำก็น้องสาว-สองคำก็น้องสาว’
ตั้งแต่เมื่อห้าปีก่อน ช่วงนั้นเธอยังไม่เที่ยวเตร่เต็มตัวขนาดนี้ แต่ก็เริ่มแอบหนีไปนอนบ้านเพื่อนแล้วกลับมาเช้าอยู่บ่อยๆ วันนั้น…วันที่ผู้ชายร่างผอมบางยืนโซเซอยู่หน้าบ้าน ผมสีน้ำตาลอ่อนสั้นเกรียนแบบเด็กมัธยมปลาย ดวงตาอิฐโรยจนเธอต้องรีบไขกุญแจเข้าบ้านให้เขาเข้ามาโดยไม่ถามถึงที่มาที่ไปหรือแม้ว่าจะถามว่าเขาเป็นใคร
“กา-วีเค้าเป็นลูกชายของเพื่อนรักของพ่อที่อยู่โคราชจะมาอยู่กับพวกเรา...มาเป็นพี่ชายคนโตให้รีซ่ากับอั้มเราครอบครัวเดียวกันนะ”
พ่อแนะนำแต่ยิ้มแบบภูมิใจ แต่เธอยิ้มไม่ออก ลำพังเจ้าเด็กอั้มก็มาแย่งความรักจากพ่อไปจนจะหมดอยู่แล้ว แต่นี้ยังมีกวีอะไรเพิ่มขึ้นมาแย่งพ่อไปอีกคน เธอแสดงอาการต่อต้านแบบเงียบๆ ไม่ยอมกินข้าวร่วมโต๊ะ เจอหน้าก็ไม่พูดไม่จาหรือถ้าจำเป็นก็จะพูดห้วนๆ ห้าวๆไม่น่ารัก แต่ชายหนุ่มกลับยิ้มบางๆ ไม่ว่าจะโดนเธอวีนใส่ร้ายกาจแค่ไหน เขาก็ไม่มีท่าทีโกรธเคืองแม้แต่น้อย
“ทำไมริสาไม่ไปโรงเรียน”
จู่ๆ วันหนึ่ง กวีก็เอ่ยถามน้ำเสียงราบเรียบแต่นั่นเป็นครั้งแรกที่เธอได้สบตาเขา ได้จ้องมองลึกลงไปในดวงตาสีน้ำตาลอ่อน จนเห็นแววเศร้าซ่อนอยู่ในนั้น
“เรื่องของริสา ใครจะทำไม แด็ดยังไม่เคยว่าเลย”
“ไม่ใช่แค่เรื่องของริสาหรอก ทุกคนเป็นห่วงเพียงแต่ไม่พูดออกมา”
“ใคร…ใครห่วงเหรอ?”
“ก็พ่อเอ่อ...แด็ดของริสาไง”
“ริสามีพ่อคนเดียวก็จริง แต่แด็ดไม่ได้มีริสาเป็นลูกคนเดียวเสียเมื่อไหร่”
“ริสา…ฟังพี่นะ…ไม่ว่ายังไง…ความเป็นพ่อเป็นลูกมันจะอยู่กับเราไปจนกว่าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะตายจากกันไป พี่ไม่อยากให้ริสามาสำนึกได้ตอนที่พ่อไม่อยู่แล้ว รักท่านเสียตั้งแต่ตอนที่ท่านยังอยู่กับเรา...เชื่อพี่ซิ”
มาริสาจำไม่ได้ว่าเธอเถียงอะไรเขาต่อหรือเปล่า จำได้เพียงแต่แผ่นหลังของเขาที่หันหลังจากไป เธอเพิ่งนึกได้ว่า…พี่กวีไม่มีใครเหลือเลย พ่อเคยเล่าว่า แม่ของพี่กวีก็หย่าขาดจากพ่อตั้งแต่เขายังตัวเล็กๆ และไม่มาให้เห็นหน้าตากันเลย เขาเติบโตโดยมีพ่อผู้ซึ่งตัวเป็นฝรั่งแต่ใจเป็นไทยหลงรักทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นไทยเหมือนกัน แม้กระทั้งวาระสุดท้ายของลมหายใจก็ยังตายในแผ่นดินไทย แววตาของเขาจึงซ่อนเศร้าเพราะอย่างนี้เอง
เด็กสาวยกแก้วเครื่องดื่มขึ้นซดจนหมด ยังไม่ทันจะสั่งใหม่ ก็รู้สึกว่ามีใครบางคนมายืนด้านหลังและโน้มตัวเบียดร่างเธอข้ามมาสั่งเครื่องดื่ม
“สงสัยแบบนี้จะอร่อย ขอผมสักแก้วซิ เอ่อ...ว่าแต่ที่ตรงนี้ว่างไหมครับขอนั่งด้วยคน”
มาริสาปรายตามองแล้วเหยียดยิ้ม เบื่อจริง! ผู้ชายแบบนี้ แบบที่คิดว่าผู้หญิงมาเที่ยวคนเดียวเป็นประเภทที่พร้อมจะไปกับผู้ชายแปลกหน้าได้เสมอ เธอเบื่อจะพูดคุย แต่เมื่อมีเครื่องดื่มให้ฟรีแบบนี้…ก็ช่วยไม่ได้นะ…
“ริสา ไปดิ้นดีกว่า”
เพื่อนผู้หญิงที่มาด้วยกันดึงแขนให้เธอลุกขึ้นแล้วไปเต้นรำ มาริสาเคลื่อนไหวร่างกายได้พลิ้วไหวตามจังหวะเสียงดนตรีจนกลายเป็นจุดเด่น เธออยากเต้นรำให้เหงื่อกระจาย เวลาที่ได้เคลื่อนไหวร่างกายเป็นอิสระเต็มที่ เธอรู้สึกดีอย่างแปลกประหลาด คล้ายโซ่ตรวนที่พันธนาการไว้มันหลุดกระเด็นตามแรงเหวี่ยงของร่างกาย แต่จะไม่สนุกก็ตรงที่มีผู้ชายพยายามจะเสียดสีเนื้อตัวของเธอแบบนี้นะซิ!
อย่ามายุ่งกับฉัน”
มาริสาตวาดจนผู้ชายคนที่มาใกล้ผงะถอยอย่างตกใจ เธอดึงเงินออกมาจากกระเป๋าสะพายส่งให้เพื่อนเป็นค่าเครื่องดื่มแล้วเดินออกมาจากผับทันที ขืนอยู่นานไปเธออาจได้เตะปากคนแน่ๆ คนจำพวกนี้ทำให้รู้สึกว่าอากาศเป็นมลพิษเหลือเกิน แต่เธอเดินออกมานอกร้านได้ไม่ไกลนัก จู่ๆ ก็ถูกกระชากแขนจากด้านหลัง พอหันกลับไปจึงรู้ว่าเป็นผู้ชายหน้าแหลมที่เข้ามาวุ่นวายจนเธอหมดสนุก
“อวดเก่งนักใช่ไหม…จะทำให้จำหน้ากูได้ไปตลอดทั้งชีวิตเลย”
“ปล่อยนะ…แน่จริงอย่าหมาหมู่ซิวะ”
มาริสาพยายามดิ้น ก็ใช่นะ…ถ้าคนเดียวตัวต่อตัวเธอก็สู้ได้ยิบตา…แต่นี้ผู้ชายตัวใหญ่ตั้งหลายคน ผู้ชายสี่ห้าคนที่ล้อมเธอไว้
ทำให้คนอื่นที่เดินผ่านไปมาไม่รู้ว่าเธอกำลังต้องการความช่วยเหลือ แต่แล้วก็มีร่างชายหนุ่มเซถลาเข้ามากลางวงด้วยท่าทางคนเมาเต็มที่
“โทษครับพี่ โทษคร๊าบบบ”
“อะไรวะ เอามันไปไกลๆ ทีซิ เดี๋ยวคนอื่นก็สงสัย”
หน้าแหลมสั่งคนอื่นๆ ร่างคนเมาถูกหิ้วปีกขึ้น แต่พอทรงตัวได้ เท้าที่สวมรองเท้าหนังมันวาวก็ยันใส่ท้องอีกฝ่ายจนผงะหงาย อีกคนที่ตั้งสติได้ขว้างหมัดใส่ แต่คนแกล้งเมาแกล้งทำเซแต่เอี้ยวตัวหลบๆ ได้ทันแล้วยืนหัวเราะเอิ๊กอ๊าก
“โทษครับพี่ โทษทีคร๊าบบบ ขาผมมันยาวไปหน่อย”
เขาเดินเซๆ เข้าไปกอดคอมาริสาที่ยืนตะลึงอยู่ก่อน เธอได้ยินเสียงกระซิบจากเขาแล้วเธอก็ทำท่าประคองเขากึ่งวิ่งกึ่งเดินไปที่ลานจอดรถและรีบขึ้นรถทันที ทั้งคู่มอบอยู่ในรถ LEXUS IS จนแน่ใจว่าพวกไอ้หน้าแหลมที่วิ่งตามมา…ได้เปลี่ยนใจไปทางอื่นแล้ว จึงค่อยๆ ขยับตัวขึ้นมานั่งในท่าปกติ
“จะขอบใจก็ไม่มี ไม่น่ารักเอาเสียเลย” นายแบบหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงปกติไม่มีท่าทางของคนเมาเหลืออยู่แม้แต่น้อย
“ใครให้มาช่วยละ” มาริสาทำเสียงแข็งทั้งๆ ที่เมื่อครู่หัวใจก็เต้นไม่เป็นจังหวะนัก
“เออ...ตามใจ จะกลับบ้านเลยไหมหรือจะเที่ยวต่อ ผมจะได้ไปส่งให้ถูกที่”
“หมดอารมณ์แล้ว กลับบ้านดีกว่า”
“เฮ้! คุณ รถผมไม่ใช่แท็กซี่นะ”
“ก็เมื่อกี้ใครบอกจะไปส่งละ”
“เออ…ผมผิด ยุ่งไม่เข้าเรื่องเอง”
นายแบบหนุ่มสตาร์ทรถแล้วค่อยเคลื่อนรถออกไปช้าๆ คืนนี้เผอิญมางานเลี้ยงวันเกิดของคนในที่ทำงาน จริงๆ ก็ไม่อยากมาเท่าไหร่ แต่ก็ต้องมาตามมารยาท แถมบังเอิญเห็นยัยเด็กแสบตั้งแต่ดิ้นยั่วผู้ชายในผับแล้ว จะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นก็ยังไงอยู่…ถึงยังไงก็น้องสาวเพื่อน
“ไอ้ที่อยากไปส่งเพราะจะได้เจอพี่กวีมากกว่าละมั้ง?”
เขาเลิกคิ้วเมื่อได้ยินเสียงกวนประสาทก่อนหัวเราะออกมาเสียงดัง
“อะไรยะ”
“ชี้โพลงให้กระรอกหรือไง ผมมีปัญญาจัดการเองได้ไม่ใช่แส่หาเรื่องแล้วเอาตัวรอดไม่ได้”
“นี่นายโกเมซ! ไอ้พวกวิปริต”
“เฮ้! คุณพูดจาดีๆ หน่อย ผมมันพวกเห็นความรักเป็นสิ่งสวยงามต่างหาก แต่เอาเถอะคุณไม่ต้องกังวลเพราะผู้หญิงอย่างคุณ ไม่อยู่ในสายตาผมหรอก”
มาริสากัดฟันแน่นด้วยความโมโห นึกอยากต่อว่าแต่เถียงอะไรไม่ขึ้น แอบหวั่นๆ ในใจ หากไอ้คนวิปริตคนนี้ขับรถเลี้ยวเข้าม่านรูดขึ้นมาจะทำยังไง ท่าทางของเด็กสาวที่นั่งอยู่เบาะข้างๆ คนขับทำให้โกเมซหัวเราะได้ใจ นึกว่าจะแน่สักแค่ไหน ยังไงก็เป็นแค่ผู้หญิงที่ดีแต่ปากเท่านั้น
หรือจะเรียกว่าปากดี! ชักน่าลองชิมปากนี่เสียแล้วซิ!.