บทที่ 2
บทที่ 2
ชายหนุ่มรู้สึกตัวเองเป็นตกเป้าสายตาตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาในมหาวิทยาลัย เขาจึงเดินก้มหน้าก้มตาแทนการเผลอไปสบตากับคนอื่นที่จ้องมองอยู่ วันนี้เขาสวมเสื้อยืดพื้นสีขาวสะอาดตา และมีตัวหนังสือภาษาอังกฤษอยู่ด้านหลัง 2-3 คำ เป็นฝีมือการเพ้นท์เสื้อของเพื่อนซี้คนหนึ่งของกวี กางเกงบลูยีนสบายๆกับรองเท้าผ้าใบคู่ใจ สายลมอ่อนๆ พัดมาทักทายและคล้ายจะหยอกเย้าเส้นผมนุ่มๆ สีน้ำตาลอ่อนของเขา ผมที่พยายามจะให้เรียบร้อยอยู่ทรงจึงเสียรูป เมื่อลมพัดแต่ก็ทำให้เขากลายเป็นหนุ่มน้อยท่าทางดื้อรั้นคนหนึ่งได้เหมือนกัน
“เฮ้ย!กวีรอด้วย” คนถูกชะงักเท้าแล้วหันไปมองตามต้นเสียง เพื่อนสนิทคู่ซี้พาร่างอวบๆ วิ่งตามมาใกล้ๆ
“เห็นตั้งแต่อยู่หน้ามหา’ลัยแล้ว แต่ซื้อลูกชิ้นปิ้งอยู่ เผลอแป๊บเดี๋ยวนายเดินจะถึงห้องชมรมอยู่แล้ว” เพื่อนหุ่นเท่าโอ่งมังกรราชบุรีเดินไปเคี้ยวลูกชิ้นไปเสียงดังยับ-ยับ ทำอย่างกับกลัวจะมีใครมาแย่งกิน กวีจึงเผลอหัวเราะเพื่อนที่ชื่อ ‘ต๋อง’ คนนี้เบาๆ เพียงไม่กี่นาทีทั้งกวีและต๋องก็เดินมาถึงห้องชมรมถ่ายภาพ เมื่อประตูเปิดออกก็พบว่าคู่ซี้อีกหนึ่งชีวิตกำลังนั่งส่องสไลด์อยู่ริมหน้าต่างท่าทางขะมักเขม้น
“มึงตื่นกี่โมงว่ะไอ้เผ่าถึงมาก่อนคนอื่นได้” ต๋องถามล้อๆ เมื่อคืน....เผ่าก็เป็นอีกคนที่เห็นอาการเมาดิบระหว่างปาร์ตี้ฉลองสอบเสร็จ ทั้งๆ ที่วันนี้ไม่น่าจะลุกมาไหวเสียด้วยซ้ำ
“เรื่องของกู”
ประธานชมรมถ่ายภาพเอ่ยชัดถ้อยชัดคำจน เพื่อนอีกคนหัวเราะเสียงดัง เผ่าเก็บสไลด์ใส่กล่องตามเดิม เสยผมยุ่งๆที่ยาวปรกตาคู่เข้ม ผมด้านหลังยาวพอมัดเป็นหางเต่า ความจริงเขาไม่ได้อยากไว้ผมยาวแต่เกิดอาการขี้เกียจตัดผมขึ้นมา มันจึงยาวไร้รูปทรงอย่างที่เป็นอยู่
“ซัมเมอร์นี้จะไปลุยกันถึงไหน” หนุ่มลูกครึ่งเอ่ยถามก่อนทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้ว่างพลางกวาดสายตาดูภาพถ่ายจากที่ต่างๆในประเทศไทยที่ล้วนสวยงามทั้งสิ้น
“ว่าจะไปน้ำตกคลองลาน” เผ่าตอบแล้วลูบคางที่มีรอยบุ๋มเป็นเอกลักษณะเฉพาะตัวของเขา
“ไปน้ำตกช่วงนี้ไม่เจอแต่ขี้แห้งเหรอวะ” นายต๋องถามทั้งๆ ที่ปากยังเคี้ยวลูกชิ้นปิ้งแบบไม่เรียกใครกินแม้จะเป็นเพื่อนสนิทก็ตาม
“ก็กูจะไปไอ้ต๋องมึงไม่ได้อยู่ชมรมกูอย่ามาออกความเห็นได้ไหม” ท่านประธานชักหัวเสียกับเสียงค้าน
“ไอ้กวีก็ไม่ใช่ทำไมถามได้วะ มึงมันคอมมิวนิสต์วะ”
“ถึงจะมีแต่ขี้แห้งกูก็จะไป” เผ่ายืนกรานเสียงแข็งก่อนหันไปหาเพื่อนอีกคนที่เอาแต่หัวเราะไม่ออกความคิดเห็น “คราวนี้ไปด้วยกันอีกไหม?”
“คงไม่...รับงานไว้พอดี” กวีตอบแล้วมองดูใบไม้ร่วงในภาพโปสการ์ดใบหนึ่ง
“อะไรวะ ยังเรียนไม่จบก็มีงานทำแล้วเหรอพ่อ มัฑนากรใหญ่” ต๋องร้องถามล้อเพื่อนมากกว่าต้องการคำตอบ...แต่คนถูกถามก็ยิ้มภูมิใจ
“แล้วโกเมซละ” กวีเพิ่งนึกถึงเพื่อนหนุ่มเจ้าสำราญอีกคนได้
“วันนี้คงไม่มาหรอก เมื่อเช้าส่ง SMS มาว่าไปถ่ายแบบที่ฮ่องกง” เผ่าหยิบกล้องคู่ใจขึ้นมาสำรวจความพร้อมก่อนใช้งาน “ตกลงมึงจะไปไหมไอ้ต๋อง”
“กูไม่ไปดูขี้แห้งหรอก” หนุ่มต๋องทำเบ้ปาก เป็นจังหวะเดียวกับที่ประตูห้องชมรมแง้มออกช้าๆ เด็กสาวหน้าหมวยเดินตรงเข้ามาหาประธานชมรม
“พี่เผ่าคะ เชอรี่มาลงชื่อไปน้ำตกนะค่ะ แม่เพิ่งอนุญาตไม่ทราบว่าลงชื่อตอนนี้ยงทันหรือเปล่า” สาวหมวยถามพลางสงสายตาอ้อนวอน
“นั้นซิเผ่า...มีที่ว่างให้กู เอ๊ยเราไปด้วยคนมั๊ย”
นายต๋อง หนุ่มหุ่นโอ่งราชบุรีทำเสียงเก๊กหล่อ ส่งสายตาหวานฉ่ำให้สวยหมวยร่างเล็กแต่อวบอึ๋ม กวีหันหน้าหนีกลั้นเสียงหัวเราะ ในขณะที่เผ่าได้แต่เกาหัวแกรกๆ กับท่าทางที่เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังเท้าอย่างรวดเร็วของเพื่อนซี้
สายลมยามบ่ายโบกพัดเอื่อยๆ แต่ปัดเส้นผมให้พลิ้วสนตาลอ่อนขยับไหวแทบตลอดเวลาจนเจ้าตัวต้องเสยผมอยู่บ่อยครั้ง กวีมองตรงไปยังโรงแรมหรูระดับห้าดาวที่ตั้งเด่นอยู่ตรงหน้า ขยับเสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทางเพื่อที่จะได้ดูเรียบร้อยขึ้น แล้วก้าวเท้าเข้ามาในโรงแรมแห่งนี้ที่เขามานับครั้งไม่ถ้วนแล้วแต่ความประหม่าไม่ลดลงเลย
“ขอโทษครับ” กวีเอ่ยขึ้นเมื่อตัวเองยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ แล้วสาวสวยสองคนก็เงยหน้าขึ้นมายิ้มหวานตามแบบฉบับพนักงานต้อนรับที่ดี
“คุณศิลาเข้ามารึยังครับ”
“คุณกวีใช่ไหมคะ” พนักงานคนหนึ่งถามกลับแล้วยิ้มให้แบบเป็นกันเอง “คุณศิลาบอกว่าถ้าคุณกวีมาก็เชิญให้ไปพบที่สวนพฤกษาด้านหลังโรงแรมค่ะ”
“ขอบคุณครับ”
กวีก้มศีรษะให้นิดหนึ่งเป็นเชิงขอบคุณแล้วเดินจากไป แต่สองสาวประชาสัมพันธ์ยังแอบกระซิบกระซาบเบาๆ ในเรื่องรูปร่างและหน้าตาของชายหนุ่มที่เพิ่งเดินจากไป เพียงไม่กี่นาทีกวีก็เดินมาถึงที่หมาย กลิ่นหอมของดอกไม้นานาพันธุ์โชยมาแตะปลายจมูกเบาๆ จนอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าเต็มๆ ปอด กลางใจเมืองหลวงจะหาอากาศสดชื่นอย่างนี้ได้บ่อยๆ เสียที่ไหนบางที…คนเราก็ต้องมีบางช่วงที่รู้สึก ‘เห็นแก่ตัว’ บ้าง โดยเฉพาะเวลาที่เจออากาศบริสุทธิ์อย่างนี้อย่างน้อยก็ขอหายใจเต็มปอดหน่อยเถอะ!
“ไง..สอบเสร็จแล้วเหรอกวี” เสียงทุ้มๆ ของชายหนุ่มวัยสามสิบหกปีดังขึ้นจากด้านหลังจนกวีต้องหันไปมอง
“ครับ”
เขารับคำเบาๆ กวาดสายตามองรอบตัว บริเวณนี้วางแผนไว้ว่าจะจัดเป็นลักษณะส่วนป่าขนาดย่อม ตรงทางเดินปูอิฐก้อนใหญ่ให้เดินได้สะดวก แต่ตอนนี้ยังตบแต่งไม่เสร็จดีนัก จึงยังมองไม่ออกนักว่าที่ตรงนี้จะจัดให้มีหน้าตาอย่างไร เพียงแต่มีการนำต้นไม้ใหญ่มาปลูกแล้วเท่านั้น
“พี่กำลังตบแต่งสวนใหม่เบื่อของเก่าแล้ว แต่ยังไม่รู้ว่าจะทำเป็นน้ำตกจำลองหรือน้ำพุเล่นระดับดี กวีว่าไง” หนุ่มใหญ่ยิ้มอารมณ์ดี ชี้มือให้ดูมุมหนึ่งของสวนที่มีเศษอิฐเศษปูนกองอยู่ รอยยิ้มและท่าทางเป็นกันเองทำให้กวีประทับบุคลิกของอีกฝ่ายตั้งแต่เริ่มรู้จักกันเลยทีเดียว
“ผมชอบน้ำตกมากกว่า…ทำให้เป็นป่าจำลองเลยยิ่งดี แล้วมีมุมน้ำชาให้นั่งพักผ่อน”
“พี่ก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน ไว้กวีมาคุยกับทีมงามที่นี่ดูซิ” หนุ่มใหญ่พยักเพียงออไปทางกลุ่มคนอีกกลุ่มที่กำลังเตรียมงานกันอยู่
“พี่ไม่ค่อยได้แวะไปที่ร้าน ลุงเคจสบายดีไหม?”
“ครับ…ช่วงนี้พ่ออยู่บ้าน พอดีเพิ่งกลับจากลาว แต่ได้ยินว่าอาทิตย์หน้าจะลงใต้อีกพ่อก็ถามถึงพี่ศิลาบ่อยเหมือนกันครับ”
กวียิ้มบางๆ ให้กับลูกค้าประจำของที่ร้านขายของเก่าบ้านที่ถูกดัดแปลงเป็นร้านขายของเก่ามีฝรั่งพุงพลุ้ยเป็นเจ้าของร้านชอบตระเวนเสาะหาสินค้าตามท้องถิ่นต่างๆ ทำให้มีเพื่อนต่างวัยอยู่มากมายรวมทั้งหนุ่มใหญ่วัยสามสิบหกเจ้าของกิจการโรงแรมหรูระดับห้าดาวกลางกรุงที่ชื่อ ‘ศิลา’ คนนี้ด้วย
ด้วยความเป็นลูกค้าประจำของพ่อ ทำให้ศิลาได้เห็นฝีมือการทำงานของกวี บ่อยครั้งงานออกแบบตบแต่งบางส่วนของโรงแรมก็เป็นไอเดียของกวี ความจริงศิลาจองตัวกวีให้ทำงานกับเขาตั้งแต่ยังเรียนปีสามด้วยซ้ำไป เพราะนอกจากโรงแรมที่ดูแลอยู่ หนุ่มใหญ่ยังมีรีสอร์ทในหลายจังหวัดอีกด้วย แน่นอนว่าชื่อศิลาเป็นชื่อคุ้นปากสำหรับคนทำธุรกิจด้านนี้เป็นอย่างดี
แม้จะได้ข้อเสนอดีขนาดนั้น กวีก็ยังไม่กล้ารับปาก เขายังไม่มั่นใจว่าฝีมือเขาเข้าขั้นจริงหรือ? หรือแค่ว่าพูดเพื่อเป็นกำลังใจให้กัน
“ปิดเทอมถ้าไม่ได้ไปไหนก็ขึ้นไปไร่ของพี่ที่ลำปางก็ได้ก็ได้นะ พี่กำลังปรับปรุงไร่ให้เป็นรีสอร์ทเพื่อต้อนรับช่วงหน้าหนาว”
สำหรับภาคเหนือ ฤดูหนาวจะเป็นที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวมากที่สุด หนุ่มใหญ่เอียงคอมองดูคนหนุ่มรุ่นน้องอย่างเอ็นดูราวกับมองภาพตัวเองในกระจก วัยเยาว์…หากใครหยิบยื่นโอกาสได้ทำในสิ่งที่รัก มันก็เหมือนมีใครมาเติมเชื้อไฟให้ความฝันโชนแสงตลอดเวลา
“อยากได้ตังค์กินขนมก็ลองขึ้นไปดูนะ มีที่พักให้สบายๆ …ตอนจะกลับไปเอาที่อยู่กับเลขาของพี่แล้วกัน พอดีพี่มีธุระจะต้องออกไปก่อน”
“ขอบคุณครับ ขอผมเดินเล่นในนี้สักพักก็แล้วกัน” กวียิ้มกว้างเมื่อได้ยินประโยคเมื่อครู่ เจ้าของโรงแรมยิ้มรับที่มุมปากก่อนเดินจากไปทิ้งให้กวีเดินดูต้นไม้ใหญ่ที่ไม่รู้จักชื่อเพียงลำพัง กลิ่นหอมที่ไม่รู้ที่มาทำให้เขาเดินลัดเลาะต้นไม้ใหญ่ไปเรื่อยๆ ต้นไม้เล็ก ๆ บางต้นยังอยู่ในกระถางขนาดใหญ่ ส่วนต้นใหญ่บางต้นก็ยังมีไม้ค้ำ ยิ่งเดินไปเรื่อยๆกลับรู้สึกเหมือนอยู่ในป่า จนเขานึกแปลกใจพื้นที่เพียงไม่เท่าไหร่ ทำไมถึงรู้สึกกว้างและลึกได้ขนาดนี้
แต่อากาศสดชื่นก็ช่วยปลอบประโลมจิตใจของกวีได้ไม่น้อย ขณะที่เท้ากำลังก้าวไปที่ละก้าว ภาพวันวานเก่าซ้อนทับตามจังหวะการก้าวเดินอย่างช้าๆ เขาเคยเดินไปตามต้นไม้ใหญ่ในป่าอย่างนี้ ที่คอคล้องกล้องถ่ายรูป ด้านหลังสะพายขาตั้งกล้องมือขวาต้องถือถุงเสบียง แต่ที่ทำให้เขาไม่รู้สึกเหนื่อยเพราะในมือซ้ายมีมือขวาเล็กๆ ที่เขาปกป้องเกาะกุมไปตลอดทาง แม้เหงื่อจะโทรมกายแต่เขาก็ยิ้มให้กับหญิงสาวผมหยักศกเคลียบ่าได้เสมอ
“แพม”
กวีละเมอเรียกชื่อหญิงสาวที่เคยรักมากมาย ภาพหญิงสาวในห้วงฝันหันมาสบตาแล้วยิ้มบางๆแต่ดวงตาเปล่งประกาย เธอสะบัดมือขวาออกจากมือซ้ายของเขาแล้ววิ่งไปข้างหน้า
“แพม”
“ปล่อยแพมเถอะกวี…แพมหลอกตัวเองอีกต่อไปไม่ได้แล้ว แพมไม่ได้รักกวี…ไม่เคยรัก ที่ผ่านมาแพมแค่เหงา…เหงา…เข้าใจไหม…กวี”
‘ไม่…ไม่เข้าใจ’ เขาได้แต่ตะโกนก้องในใจและเมื่อเห็นแผ่นหลังของหญิงสาวผมหยักศกวิ่งไปหาชายหนุ่มคนหนึ่งที่ยืนรออยู่ไม่ไกล หัวใจเขายิ่งแหลกสลาย
‘ไม่…ไม่เข้าใจ’
เขาได้แต่ตะโกนจนได้ยินเสียงตัวเองก้องอยู่ในสมองจนมึนชา ความรักที่เขามอบให้เธอมาตลอด มันไม่สามารถละลายความเหงาในใจเธอได้เลยเหรอ เขารู้…และหลงรักแววตาซ่อนเศร้าของเธอตั้งแต่แรกเห็นถึงเธอจะสดใสร่าเริงเวลาอยู่ต่อหน้าเพื่อน แต่ความจริงเธอก็ยังคงซ่อนตัวอยู่ในโลกของคนเหงา เขารู้ดี…เพราะเขาเคยเป็นเช่นนั้น เขารู้จักความเหงาที่ร้ายกาจนั่นเป็นอย่างดี เขาเติบโตมาพร้อมสิ่งนั้น เขาจึงเชื่อมั่นเหลือเกินว่า เขาจะละลายความเหงาที่ก่อตัวเป็นภูเขาน้ำแข็งในใจของเธอได้ เพียงเพื่อแลกกับรอยยิ้มสดใส เขาทำให้เธอได้ทุกอย่าง
ทว่าหัวใจเขาต่างหากที่เป็นฝ่ายละลายจนกลายเป็นน้ำตาท่วมอยู่ในหัวใจเขาเอง
กวียกมือทาบอก รู้สึกถึงจังหวะหัวใจที่เต้นเร็วกว่าปกติ จนต้องหลับตาและหยุดเดินและยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง สายลมพัดเอาความสดชื่นมาคลอเคลียอยู่ใกล้ๆ เขาผ่อนลมหายใจช้าๆ ก่อนลืมอีกครั้ง ข้างกายไม่มีหญิงสาวผมยังศกเคลียบ่าคนนั้น รอบข้างยังเป็นต้นไม้ใหญ่ที่เขาไม่รู้จักสายพันธุ์ คงเป็นเพียงความคิดถึงที่นำพาเงาของคนรักเก่ามาทักทายชายหนุ่มฝืนยิ้มให้กับตัวเอง
ถึงเขาไม่สามารถรั้งเธอไว้ได้ แต่เขาก็เลือกได้…เลือกที่จะจดจำภาพวันวานด้วยความรู้สึกอย่างไร การจากไปแม้จะเจ็บปวดแต่ความทรงจำดีๆก็ยังคงอยู่ เธอเพียงเดินทางผ่านให้หัวใจได้รู้จักรักและเจ็บปวดเพราะรัก...การเดินทางของกาลเวลาได้นำพาเธอจากไปแล้ว
แต่เขายังอยู่…ยังต้องใช้ชีวิตอยู่ต่อไป
กวีสูดลมหายใจลึกๆ เต็มๆ ปอด เพ่งมองรอบข้าง แล้วหัวเราะให้กับตัวเอง ก็เขาเล่นเดินวนเป็นวงกลมมันก็เหมือนกับว่า…สวนป่าจำลองนี้ช่างกว้างใหญ่เสียอย่างนั้น เขาก้มมองพื้นดินที่คะเนจากสายตาแล้วคงจะมีแผนปลูกหญ้าญี่ปุ่นเป็นแน่
ชายหนุ่มแหงนหน้าแล้วยิ้มให้กับแสงแดด เอาเถอะโชคชะตาจะเล่นตลกอะไรกับชีวิตเขาก็ช่าง แต่เขาจะยิ้มสู้ไม่ท้อไม่ถอย
“สู้เว้ยยย”
กวีเผลอตะโกนออกมา เพราะคิดไปเองว่าในบริเวณนี้มีเขาอยู่คนเดียว แต่ก็ต้องสะดุดสายตาอยู่ที่อะไรบางอย่างบนต้นไม้เหนือศีรษะ เขายิ่งเพ่งตามองจนดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเบิกกว้างกว่าปกติ อะไรบางอย่างข้างบนนั้นเหมือนชายผ้าสีขาวพลิ้วไหวตามแรงลม บนกิ่งไม้ใหญ่เหนือศีรษะสูงขึ้นไปแค่สุดมือเอื้อม กำลังถอยตั้งหลักเพื่อจะมองสิ่งที่สงสัยให้ถนัดตา อะไรบางอย่างก็ตกลงมา เฉียดฉิวศีรษะและข้ามไหล่เขาไปเล็กน้อย กวีย้ายสายตาไปมองสิ่งที่ตกลงมายังไม่ทันดูว่าสิ่งนั้นคืออะไร เขาก็ต้องย้ายสายตาแหงนหน้ามอง ตามเสียงกรุ๋งกริ๋ง หวานใสคล้ายกระพรวน ที่ดังอยู่เหนือกิ่งไม้ เป็นปฏิกิริยาทางธรรมชาติที่สั่งให้แขนสองข้างของเขายื่นออกไปรอรับอะไรบางอย่างที่เขารู้ว่ากำลังจะตกลงมาจากิ่งไม้ใหญ่ด้านบนแน่ๆ
“โอ๊ย!”
กวีเผลอร้องออกมาเมื่อร่างของเขาถูกทับจนล้มลงนอนราบกับพื้น เส้นผมยาวสลวยนุ่มหอมกรุ่นเคลียอยู่ปลายจมูกและใบหน้าเขาอย่างไม่ตั้งใจ…เหมือนกับที่สองมือของเขาที่โอบกอดร่างบอบบางอยู่ เขารู้สึกเหมือนแรกสัมผัสว่าร่างนี้ช่างเบาราวกับนุ่นและหอมกรุ่นราวดอกไม้ป่า ทำให้เขาเผลอสูดกลิ่นหอมข้างเรือนผมของอีกฝ่ายอย่างไม่รู้ตัว แต่เขาเองก็ไม่รู้ว่าปลายจมูกของตนเองสัมผัสอยู่ใกล้ซอกคอของใครบางคนที่ร่วงหล่นจากฟากฟ้า.