บทที่ 1
บทที่ 1
“กวี…ถึงบ้านแล้ว”
ชายหนุ่มเจ้าของชื่อสะดุ้งทันที ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนสีเดียวกับเส้นผมเบิกโผลงอย่างตกใจ รวมทั้งคนเรียกที่นั่งอยู่เบาะฝั่งคนขับรถยนต์ LEXUS IS สปอร์ตซีดานสี่ประตูคันหรูด้วย
“โทษที…เราทำกวีตกใจมากหรือเปล่า” ชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันถามด้วยแววตาอาทร พลางเอื้อมมือไปหรี่แอร์ในรถ เพลงนุ่มสไตล์ R&B ยังคงบรรเลงกล่อมคนในรถเบาๆ
“เปล่า” คนถูกปลุกส่ายหน้าช้าๆ นวดต้นคอตัวเองเบาๆคลายตึงเครียดกับความฝันที่เป็นส่วนหนึ่งของความทรงจำของเขา
“สีหน้ากวีไม่ดีเลย ไปหาหมอมั๊ย” เจ้าของรถเอ่ยแล้วขยับแว่นตาไร้กรอบให้กระชับใบหน้าอ่อนเยาว์ที่ดูหวานราวเด็กสาว
“เราไม่เป็นไร” ชายหนุ่มเสยผมก่อนระบายลมหายใจหนัก “ขอบใจที่อุตส่าห์ขับรถมาส่งถึงบ้านด้วยนะโกเมซ”
กวี…ชายหนุ่มเจ้าของผมรองทรงเรียบร้อย ดวงตาสีน้ำตาลโศกซ่อนรอยหม่นเศร้าไว้ลึกๆ แต่ก็ฉาบความอบอุ่นอย่างจริงใจไว้เสมอ ไม่ให้ล่วงรู้ แม้แต่เพื่อนสนิทที่รู้จักกันมาปีกว่าอย่าง ‘โกเมซ’ หนุ่มสำอางเพียบพร้อมตามแบบฉบับที่สาวๆฝันถึง ก็ยังไม่เข้าไม่ถึงจิตใจของเพื่อนรักคนนี้ดีนัก และเขาก็รู้ว่ามีบางสิ่งที่เพื่อนเองก็ไม่เคยล่วงรู้ความรู้สึกเขาเช่นกัน
“เฮ้...” เสียงเรียกนั่นดังมาจากนอกรถ ตามมาด้วยเสียงเคาะกระจกรถสาม-สี่ครั้ง ด้านที่กวีนั่งอยู่
“มาริสา” กวีเรียกชื่อเด็กสาวที่เคาะกระจก ก่อนจะกดสวิทซ์ให้กระจกอัตโนมัติเลื่อนลงตามสัญญาณมือที่เด็กสาวด้านนอกสั่ง เมื่อกระจกลดลงจนสุด เธอก็ชะโงกหน้าเข้ามาจ้องตาเจ้าของรถคันหรูทันที กลิ่นเหล้าบางๆ ลอยมาแตะจมูกคนอยู่ใกล้
“จะอยู่อย่างนี้อีกนานม่ะ เดี๋ยวใครก็นึกว่ามีฉากเลิฟซีนของเกย์ในรถหรอก”
“มาริสา! ทำไมพูดจาอย่างนี้” กวีเอ่ยปรามเสียงดัง
แต่เด็กสาวเพียงตวัดสายตามองก่อนจะดึงปุ่มปลดล็อกประตู เมื่อเธอเอาตัวเองออกมาจากช่องหน้าต่างรถแล้วก็กระชากประตูรถออกทันที
“มาริสา”
ชายหนุ่มเรียกชื่อน้องสาวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เป็นเชิงเตือนให้รู้ว่าไม่พอใจกับการกระทำของเธอนัก ส่ายหน้าอย่างระอาใจก่อนก้าวลงจากรถ เพราะเกรงว่าน้องสาวตัวดีอาจจะแผลงฤทธิ์อะไรอีก แต่เด็กสาวกลับเหยียดยิ้มไม่สนใจและเชิดหน้าอย่างท้าทาย
“ช่างเถอะกวี…ลักษณะเด่นของเด็กมีปัญหาก็อย่างนี้แหละ” โกเมซ ชะโงกตัวข้ามเบาะมาพูดด้วยรอยยิ้มยั่วโมโหเด็กสาว
แม้ใบหน้าใสๆ ของคนพูดจะฉาบรอยยิ้มแต่น้ำเสียงที่เน้น ‘เด็กมีปัญหา’ อย่างจงใจ ทำเอาเด็กสาวในชุดเสื้อยืดลายแปลกตารัดติ๋วเน้นทรวดทรงกับกระโปรงยีนส์สั้นแค่ฝ่ามือถึงกับเดือดดาลในทันที ริมฝีปากที่ฉาบสีม่วงแก่จนเกือบดำเม้มเป็นเส้นตรง ใบหน้าหวานคมแววตาดื้อรั้นไม่ยอมใคร ผมบ๊อบสั้นสีแดงเสมอติ่งหูทำให้ห่วงสีเงินเรียงเจ็ดห่วงที่หูซ้ายเด่นกว่า เจ้าแมงป่องเงินตัวน้อยที่หูขวา เท้าที่สวมรองเท้าบู๊ตสีดำกำลังจะก้าวเข้าไปหาหมายจะเอาเรื่องแต่มือใหญ่ของพี่ชายกระชากไว้ก่อน
“นี่ไม่ใช่ที่ที่นายจะอยู่ ไปผับเกย์นะไป๊!”
“มาริสา!”
คราวนี้น้ำเสียงของกวีกำราบเด็กสาวได้ เธอสะบัดหน้าหนีอย่างไม่พอใจแล้วรีบสาวเท้าของบ้านที่อยู่ไม่ไกลจากที่รถเก๋งจอดอยู่ ปล่อยให้พี่ชายได้แต่ถอนหายใจอย่างโล่งอก
‘ทะเลาะกันทุกครั้งที่เจอทั้งๆ ที่เป็นเพื่อนของพี่แท้ๆ’
“ขอโทษแทนมาริสาด้วยนะโกเมซ” กวีเอ่ยเบาๆ แล้วปิดประตูรถให้เพื่อน
“ช่างเถอะ” หนุ่มสำอางโบกมือไม่ใส่ใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น “เรากลับละ เจอกันที่มหาลัย”
กวียิ้มลาเพื่อนก่อนจะเดินตามแผ่นหลังของน้องสาวเข้าบ้านไป
โกเมซถอดแว่นตาไร้กรอบออก เท้าคางกับพวงมาลัยรถมองดูแผ่นหลังของเพื่อนที่หายลับตาไปแล้ว หนึ่งช่วงอึดใจเขาก็แหงนหน้าขึ้นมอง ไฟในห้องหนึ่งก็สว่างขึ้น…ถ้าจำไม่ผิด...ห้องของเด็กสาวปากร้ายเมื่อครู่
ชายหนุ่มเจ้าสำอาง หยิบแว่นตามาสวมตามเดิม แล้วตบเกียร์หักพวงมาลัยรถยนต์ให้เคลื่อนตัวออกไป สายฝนพร่ำลงมาอีกครั้งทั้งๆ ที่หมดฤดูฝนมานานแล้ว อาจเป็นหางพายุอย่างที่ข่าววิทยุประกาศไว้ หรือไม่ก็ฝนหลงฤดูกำลังหลงทางเหมือนจิตใจใครบางคน…
เสียงเพลงที่มีกีตาร์เป็นฮีโร่ดังกระหึ่มอยู่ในห้องนอนของเด็กสาววัยสิบแปดปี กวีหยุดยืนอยู่หน้าประตูไม้ ระบายลมหายใจหนักๆ ก่อนจะตบประตูเรียกเจ้าของห้อง สาม-สี่ครั้ง เด็กสาววัยดอกไม้ก็ยังไม่แย้มกรายเปิดบานประตู
“พี่กวีกลับมาแล้วเหรอฮะ”
เสียงเด็กชายวัยห้าขวบเอ่ยถามข้างๆ เขาเองก็เพิ่งรู้สึกตัวเมื่อชายเสื้อกระตุกด้วยมือเล็กๆ เด็กน้อยขยี้ตาเปิดปากกว้างหาวเต็มคำ เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นดูเวลา ตีสองกว่าเข้าไปแล้ว
“อั้มออกมาทำไมครับ” กวีนั่งย่องๆ บนส้นเท้าทำให้ความสูงของเขาเท่ากับน้องชายที่ยืนกำชายเสื้อของเขาอยู่
“อั้มปวดฉี่ฮะ”
“งั้นพี่จะพาไปเข้าห้องน้ำนะ” กวีลุกขึ้นยืน เป็นจังหวะเดียวกับที่บานประตูเปิดออกพร้อมร่างเพรียวบางของเด็กสาวผมบ๊อบ
“แค่นี้ไปเองไม่ได้หรือไง ห้องน้ำอยู่สุดทางเดินนี่เอง”มาริสามองน้องชายคนสุดท้องของบ้านด้วยแววตาตำหนิ ทำเอาเด็กชายก้มหน้าหลบสายตา แล้วรีบวิ่งไปที่ห้องชั้นบนซึ่งอยู่สุดทางเดินห่างจากที่กวียืนอยู่ไม่กี่ก้าว เพียงครู่เดียวหนุ่มน้อยวัยเก้าขวบก็วิ่งกลับมาพร้อมรายงานว่าจะเข้านอนแล้ว
กวีมองน้องสาวอย่างตำหนิ เด็กสาวยักไหล่ก่อนหมุนตัวเดินเข้ามาในห้อง กวีรีบเดินตามเข้ามาและรีบปิดประตูก่อนที่เสียงดนตรีพั้งค์ร๊อคจะดังปลุกคนทั้งบ้านให้ตื่นตอนตีสอง มาริสาเหวี่ยงรองเท้าบู๊ตไว้ข้างประตู ในขณะที่พี่ชายเดินเข้ามาหรี่เสียงเพลงจากเครื่องเล่น CD ที่ตั้งอยู่ข้างเตียงนอนให้เบาเสียงลง แล้วหันมาเผชิญหน้ากับน้องสาวอีกครั้ง
“เมื่อไหร่จะเลิกเกเรใส่คนอื่นอย่างนี้เสียทีนะริสา”
เขาต่อว่าแต่น้ำเสียงอ่อนโยน นี่แหละ..พี่กวีของแท้ และเรียกชื่อเด็กสาวตรงหน้าด้วยชื่อเล่นที่เขาตั้งให้ที่มาจากชื่อจริง แต่แววตาอาทรที่มองมา ทำให้เด็กสาวแกล้งเปิดตู้เสื้อผ้าทำท่าจะเปลี่ยนเสื้อเสียงตรงนั้น
“แด็ดดี้ไม่ว่าที่เที่ยวกลางคืน แต่กลับดึกแบบนี้มันอันตรายนะ เราเป็นผู้หญิงรู้ตัวมั๊ย”
กวีหันหลังให้น้องสาวเมื่อเขาเห็นเธอถอดเสื้อยืดตัวเล็กออก ทว่าเขาก็มองเห็นแผ่นหลังของน้องสาวสะท้อนที่กระจกโต๊ะเครื่องแป้ง ผิวขาวเนียนเหมือนน้ำนมของเด็กสาวซ่อนรอยสักรูปผีเสื้ออยู่กลางหลัง เขาเสมองไปทางอื่นแล้วถอนหายใจหนักๆอย่างไม่รู้จะจัดการกับนิสัยก้าวร้าวของน้องสาวได้อย่างไร
“พี่เป็นห่วงริสาเหรอ” น้ำเสียงนั่นถามกลับแผ่วเบาเจือความน้อยใจอยู่ในถ้อยคำ
“ห่วงซิ ริสาเป็นน้องสาวพี่นี่นะ” เขาหันกลับมาอีกครั้งอย่างไม่ตั้งใจ แต่มาริสาก็อยู่ในชุดเสื้อคลุมอาบน้ำเรียบร้อยแล้ว
“น้องสาว?” เด็กสาวเลิกคิ้วสูง แววตาดื้อรั้นกลับมาอีกครั้ง “ออกไปได้แล้ว เลิกมาสั่งสอนริสาเสียที!”
กวีอยากพูดอะไรมากกว่านี้แต่ก็เปลี่ยนใจ เขาไม่กล้าเสี่ยงกับอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ กับเด็กสาวในขณะนี้
“ถ้าไม่ออกไป ริสาจะฟ้องมามี้ว่าพี่กวีอยู่ในห้องตอนริสาเปลี่ยนเสื้อ” เด็กสาวยื่นคำขาดทำให้พี่ชายต้องเดินออกจากห้องไปแต่โดยดี
แต่เมื่อประตูปิดสนิทแล้ว แววตาดื้อรั้นเมื่อครู่ก็หายไป กลับมีน้ำใสๆ มาเอ่อคลอแทนที่ เด็กสาวทรุดตัวลงนั่งหลังพิงประตูก่อนที่กอดเข่าปล่อยเสียงสะอื้น…
น้องสาว…น้องสาว…น้องสาว
ใครเขาอยากเป็นน้องสาวคะ พี่กวี!
อาการเมาค้างทำให้ชายหนุ่มอายุยี่สิบสองตื่นสายกว่าปกติ จนแดดลอบเข้ามาในห้องนอนแหย่ที่ปลายตาของเขานั้นแหละ ดวงตาสีน้ำตาอ่อนจึงลืมตาขึ้น เขารู้สึกเหมือนตัวเองผ่านการสะอื้นไห้ แต่เมื่อเช็ดที่ดวงตากลับแห้งผาก จำภาพในความฝันเลือนรางไม่ได้ แต่ภาพหญิงสาวผมหยักศกเคลียไหล่ที่หันหลังเดินจากไปยังฝั่งแน่นในความรู้สึก ผู้หญิงคนนั้นยังยืนยิ้มอยู่ในกรอบรูปที่โต๊ะเขียนหนังสือของเขา
กวีลุกขึ้นจากเตียงอย่างลำบาก รู้สึกหนักหัวจนต้องนั่งนิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่งก่อนฝืนใจลุกขึ้นเดินโซเซไปหยิบกรอบรูปอันนั้นขึ้นมาดูใกล้ๆ หากเป็นเมื่อสองเดือนก่อน เขาคงยิ้มให้กับหญิงสาวในกรอบรูป แต่ตอนนี้…แค่ฝืนใจมองก็ยังปวดปร่าไปทั้งใจ ความรักที่มีให้มาตั้งแต่เขาย่างก้าวเข้ามาใช้ชีวิตนักศึกษา สถาปัตย์ ความรักที่เป็นพลังผลักดันให้เขาก้าวไปข้างหน้า ฝันถึงสิ่งสวยงามที่เรียกว่าครอบครัว แต่แล้วจู่ๆ วันหนึ่งเธอก็บอกลาเขาอย่างเลือดเย็นและหันหลังจากไปราวกับคนแปลกหน้า
ชายหนุ่มเสยผมที่ยาวลงมาปรกหน้าอย่างรำคาญ ยังมีอะไรอีกหลายสิ่งที่เป็นเหมือนตัวแทนของเธอทิ่มแทงความรู้สึกเขาอยู่ หยิบจับแต่ละชิ้นอยากขว้างทิ้งก็ลังเล แสร้งทำเป็นหัวเราะกับเพื่อนฝูง แต่อยู่คนเดียวทีไรก็ร่ำๆ จะเสียน้ำตาเพราะคนรักเก่าทุกที
‘ช่างเถอะ…ช่างเถอะ…อะไรดีๆ คงรอเราอยู่เพียงแค่จะเปิดใจรับสิ่งนั้นเข้ามา’
กวีรำพึงเบาๆ คล้ายเตือนสติและให้กำลังใจตัวเอง แน่นอน…กำลังใจที่ดีที่สุดอยู่ที่ใจของเราเอง เขายิ้มให้กับตัวเองในกระจกตรงหน้า แล้วใช้มือเสยผมให้เข้าที่เข้าทาง ริมฝีปากบางเหมือนผู้หญิง เขาไม่ค่อยชอบปากตัวเองนัก ยังดีที่มีไรหนวดบางๆ ทำให้หน้าเข้มขึ้นมารับกับจมูกโด่งแบบฉบับลูกครึ่งไทย-อิตาเลี่ยน นอกจากผมสีน้ำตาลอ่อนสีเดียวกับดวงตาแล้วยังมีความสูงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบหกเซ็นติเมตรจึงทำให้เขาดูโดดเด่นไม่น้อย
‘ก็หล่อออกป่านนี้…ยังมีสาวมาหักอก…สงสัยตาไม่ถึงแหะ’
กวีหัวเราะเบาๆ กับความคิดเข้าข้างตัวเอง เริ่มอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง ฝันเมื่อคืนจะเป็นอย่างไรก็ช่างมันเถอะ แต่ชีวิตมันยังต้องก้าวต่อไป รู้สึกว่า…แดดแรกของฤดูร้อนมาเยือนในหัวใจของเขาแล้ว
บ้านไม้สองชั้นรูปแบบของบ้านถูกสร้างผสมระหว่างไทยกับเทศ แต่ไม่สามารถแยกแยะได้บ้างว่าจากชาติไหน เป็นการสร้างตามแบบจิตนาการของเจ้าของบ้านที่ลงตัว บริเวณบ้านโดยรอบมีต้นไม้ใหญ่ให้ความร่มรื่นอย่างมากและทำให้ประติมากรรมแบบไทยหลายชิ้นที่ตั้งเรียงรายโดยรอบดูโดดเด่นไม่น้อยลักษณะบ้านเป็นทรงไทยใต้ถุนสูงแบบประยุกต์ เพื่อลูกค้าที่สนใจของเก่าต่างๆ หลากที่มาของบ้านหลังนี้ ที่นี้จึงมีลูกค้าแวะเวียนมาทักทายอยู่เสมอด้วยหลงใหลในเสน่ห์ศิลปะไทยและของประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียง เครื่องเงินจากทางเหนือ ถ้วยชามลายเบญจรงค์ ตู้ไม้สักทองที่แกะสลักลายอย่างประณีตงดงาม จนไม่น่าเชื่อว่าเจ้าของร้านจะเป็นฝรั่งอารมณ์ดีที่สะสมไขมันไว้รอบพุง หนวดเครายาวรุงรังแต่เพราะผมสีบรอนด์ทำให้ดูเหมือนเป็นซานตาครอสใจดี ทั้งๆ ที่อายุไม่เต็มห้าสิบปีดีนัก
ชายหนุ่มที่อายุเพิ่มเริ่มต้นยี่สิบสองปีได้ไม่นาน เดินลงจากชั้นบนของบ้าน บันไดที่จงใจทำให้วนรอบเสาไม้ท่อนกลมขนาดใหญ่ทำให้คนที่เดินลงมายังมีอาการเมาค้างต้องจับราวให้มั่นก่อนจะก้าวลงมาที่ละก้าว
“เมื่อคืนดื่มเยอะหรือกา-วี งานเลี้ยงคงสนุกนะ ถึงทำให้กลับดึกได้” ประโยคคำถามนั่นดังมาจากฝรั่งพุงโตที่นั่งจิบกาแฟที่เคาน์เตอร์มุมโปรดของทุกคนในบ้าน
“ก็…ครับ”
กวีหัวเราะแก้เก้อปกติเขาไม่ใช่นักดื่มหากแต่เมื่อคืนอยู่ฉลองสอบเสร็จ แล้วก็ถือโอกาสดื่มเพื่อบอกลาคนในหัวใจที่ยังเป็นดั่งเงาคอยหลอกหลอนหัวใจของเขาเสียเลย…และก็ได้เพื่อนดีอย่างโกเมซ ที่แม้จะเรียนคนละคณะแต่ก็สนิทกันมากเพราะเคยทำกิจกรรมออกค่ายอาสาพัฒนาชนบทด้วยกัน เมื่อหนึ่งปีมาแล้วน่าจะได้ โกเมซเป็นสนิทคนล่าสุดของเขา ก็ใครจะคิดเล่าว่าผู้ชายเจ้าสำอางอย่างโกเมซจะกล้าไปกร่ำแดดอย่างนั้นแถมฐานะทางครอบครัวก็ติดอันดับเศรษฐีต้นๆ ของเมืองไทย
“เมื่อไหร่แด็ดจะเรียกชื่อพี่กวีชัดๆ สักที” เสียงหวานสูงถามก่อนที่ร่างเพรียวบางจะเดินลงบันไดมาอย่างรวดเร็ว และทิ้งตัวลงนั่งใกล้ผู้เป็นพ่อที่จิบกาแฟอยู่ พลางหยิบขนมปังแผ่นทาเนยหอมกรุ่นในจานใบเล็กมากินหน้าตาเฉย
“ช่างเถอะน่า...” ผู้เป็นพ่อหัวเราะแล้วลูบผมสั้นๆของลูกสาวอย่างเอ็ดดู “แล้วรีซ่าละเมื่อคืนกลับกี่ทุ่ม เราตกลงกันไว้ไม่เกินสี่ทุ่มใช่ไหม? หรือว่ากลับพร้อมกา-วี”
เด็กสาวผมบ๊อบสั้นไม่ตอบแต่ชายตามองพี่ชายนิดหนึ่งแล้วเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ทรงสูง ฮัมเพลงไปอย่างไม่ใส่ใจการตอบคำถาม ก่อนยกเท้าที่สมรองเท้าบู๊ตขึ้นผูกเชือกให้กระชับข้อเท้า
“แล้วจะออกไปไหนอีกละ” ฝรั่งพุงพลุ้ยถามด้วยน้ำเสียงห่วงใยอยากจะห้ามปรามแต่ก็รู้นิสัยแสนดื้อรั้นและเอาแต่ใจตัวเองของเด็กสาวตรงหน้าเป็นอย่างดี
“เอาไว้เมื่อไหร่แด็ดเรียกชื่อริสาชัดๆ แล้วจะบอก” เด็กสาวกระโดดจูบแก้มเปื้อนเคราของพ่ออย่างเอาใจ ฉวยโอกาสตอนเผลอล้วงมือไปหยิบเงินในกระเป๋าเสื้อของพ่อ เป็นจังหวะเดียวกับที่ ‘อรทัย’ หญิงวัยสามสิบปลายๆ เดินเข้ามาพร้อมเด็กชายวัยห้าขวบ เด็กสาวสะบัดหน้าหนีแล้วเดินกระแทกส้นเท้าออกไปโดยไม่ทักทายใครเลย แม้แต่น้องชายต่างมารดาของตัวเอง
“คุณคะ”
“ให้เวลาแกบ้างเถอะ” ‘แต่มันก็หลายปีแล้วนะ ยังไม่ยอมรับอีกหรือ?’ ฝรั่งเคราเงินโอบผู้เป็นภรรยาแล้วกุมมือให้กำลังใจ
“พี่ริสาไม่ชอบอั้มเหรอฮะ” เด็กชายตัวน้อยถามเสียงเศร้า กวีทรุดตัวลงนั่งข้างๆ เจ้าเด็กขี้ใจน้อย
“พี่ริสาไม่ได้เกลียดอั้มหรอก แต่อั้มก็ต้องเป็นเด็กดีไม่ไปกวนใจพี่ริสานะ” กวีเอ่ยแล้วขยี้ผมเด็กชายตัวน้อยจนเจ้าตัวยิ้มกว้างออกมา
“จะออกไปข้างนอกหรือกวี ทานข้าวก่อนไหม แม่ทำข้าวต้มกุ้งไว้”
“เสียดายจัง...แต่วันนี้ผมนัดเพื่อนไว้ ถ้าช้ากว่านี้ไปสายแน่ๆ” ชายหนุ่มทำหน้าเสียดาย
“ไม่เป็นไรฮะ อั้มจะกินแทนพี่กวีเอง” เจ้าจอมซนตัวน้อยลูบท้องกลมๆของตัวเอง
“งั้นพี่ฝากหม่ำด้วยละกัน เอาให้พุงกางไปเลยนะครับ” เขาหัวเราะกับท่าทางกวนๆ ของน้องชายตัวเล็ก ก็น่ารักออกป่านนี้เมื่อไหร่น้องสาวตัวดีจะลด ฐิติได้เสียทีนะ
เมื่อบอกลาทุกคนเสร็จตัวเขาเองก็ต้องรีบออกมา ความจริงก็ไม่ได้รีบร้อนอะไรนัก แต่ก็ไม่คุ้นกับเรียกคนรักใหม่ของพ่อว่า ‘มามี๊’ เหมือนเจ้าอั้มให้เรียก ‘แม่’ ยังง่ายกว่า
แต่เขาเป็นผู้ชายตัวโตขนาดนี้จะให้เรียกอะไรแบบนั้นก็ดูประหลาดๆ มากกว่าน่ารัก.