ตอนที่ 4 : แบ่งปันความลับ
มีถาดขนมอยู่ในมือของฟีเน่ เธอน่าจะตั้งใจนำมาให้เขาและเข้ามาในห้องในตอนที่เขาไม่ได้เรียก
เขาบอกว่าไม่ต้องการอาหารอะไรดังนั้นเขาก็เลยคิดว่าจะไม่มีใครเข้ามาในห้อง พอมาคิดว่าเกิดการคำนวณผิดพลาดแบบนี้แล้วนั้น...
“จะ, เจ้าชายอาร์โนลด์ใช่ไหมคะ....? คนที่พึ่งจะเคลื่อนย้ายเข้ามา, และรูปร่างนั้นมัน........ท่านซิลเวอร์ไม่ใช่หรอคะ?.......”
“............”
จะหลอกเธอว่าเราชอบแต่งตัวแบบนี้ได้ไหมนะ? ไม่สิ, แบบนั้นน่าจะเป็นไปไม่ได้
หรือว่าจะฆ่าเธอดี? นั่นก็เป็นไปไม่ได้เหมือนกัน ฟีเน่เป็นที่โปรดปรานของจักพรรดิ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับเธอจักพรรดิจะต้องทำการสืบสวนด้วยตัวเองแน่ๆและผู้ต้องสงสัยหลักก็คงจะต้องเป็นเราอย่างแน่นอน ซึ่งถ้าเราตกเป็นผู้ต้องสังสัยหล่ะก็การชิงบัลลังก์ของลีโอก็คงจะจบสิ้นไปได้เลย
เขาไม่สามารถหลอกเธอและไม่สามารถฆ่าปิดปากเธอได้ด้วย
เขาไม่เห็นทางออกจากสถานการณ์นี้เลย
“......เข้ามาในห้องของข้าทำไม?”
“เอ่อ, คือว่า....ข้าพึ่งอบขนมเสร็จก็เลยคิดว่าควรนำมาให้องค์ชายด้วยค่ะ....และเนื่องจากเคาะเรียกแล้วองค์ชายไม่ตอบ, ข้าก็เลยคิดว่ามีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นก็เลย......”
“เห้ออ....”
พอเห็นสีหน้ารู้สึกผิดของฟีเน่ในขณะที่ร่างกายของเธอดูเหมือนกำลังหดเล็กลงเรื่อยๆแล้วความเป็นปฏิปักษ์ของเขาก็เลยหายไป
และความตั้งใจของเขาในการใช้มาตรการรุนแรงกับเธอก็หายไปด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม, เขาไม่สามารถปล่อยเธอไปทั้งแบบนี้ได้
“เจ้ารู้ความลับของข้าแล้ว ถ้าขืนเป็นแบบนี้, ข้าก็คงไม่สามารถปล่อยเจ้าไปโดยไม่ทำอะไรได้”
“ขะ, ข้าจะไม่บอกใครแน่นอนค่ะว่าตัวตนที่แท้จริงของซิลเวอร์คือเจ้าชาย!”
“แต่เจ้ากำลังพูดด้วยเสียงที่ดังมากเลยนะ”
“คือว่า....”
“ใจเย็นก่อน ข้าได้ร่ายบาเรียป้องกันเสียงเอาไว้แล้ว ไม่ว่าเจ้าจะพูดอะไร, มันก็ไม่รั่วไหลออกไปสู่ภายนอกหรอก”
“งะ, งั้นหรอคะ.....ขอบคุณมากเลยค่ะ.....”
แก้มของฟีเน่กลายเป็นสีแดงระเรื่อด้วยความเขินอาย
ดูเหมือนว่าเธอจะไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายขนาดไหน ถ้าคนนอกไม่สามารถได้ยินอะไรจากห้องนี้, มันก็หมายความว่าตอนนี้ไม่ว่าเขาจะทำอะไรกับฟีเน่เธอก็ไม่สามารถร้องขอความช่วยเหลือได้......
“เจ้าไม่คิดว่าข้าจะทำอะไรเจ้ารึไง?”
“อย่างเช่นอะไรหรอคะ?”
“ยกตัวอย่างเช่น, ข้าอาจจะฆ่าปิดปากเจ้าก็ได้นะ”
“องค์ชายหน่ะหรอคะ? เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ แต่ถ้ามันเป็นสิ่งที่องค์ชายจำเป็นต้องทำจริงๆข้าก็จะยอมรับมันค่ะ”
“.....ข้าไม่เห็นจำได้เลยนะว่าไปได้รับความไว้ใจจากเจ้ามากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“ถ้าท่านคือซิลเวอร์ก็หมายความว่าท่านได้กำจัดมอนส์เตอร์เรียบร้อยแล้วใช่ไหมคะ? ถ้างั้นตอนนี้ท่านก็เหมือนกับฮีโร่ที่ช่วยเหลือพวกเรา และความจริงที่ว่าท่านมาที่นี่ในฐานะเจ้าชายและแสดงศักยภาพต่างๆอย่างรอบคอบก็เพื่อน้องชายของท่านถูกไหมคะ? นี่แหล่ะค่ะคือเหตุผลที่ข้าไว้ใจท่าน คนที่สามารถเคลื่อนไหวเพื่อประโยชน์ของคนอื่นได้แบบท่านจะต้องเป็นคนดีแน่นอนค่ะ”
พอพูดจบ, ฟีเน่ก็เผยรอยยิ้มที่อ่อนโยนออกมา
เธอเป็นคนดีจริงๆเพราะเธอยอมเชื่อใจคนอื่นมากถึงขนาดนี้
ในเมื่อเธอรู้แล้วว่าเขาคือซิลเวอร์, ก็เป็นธรรมดาที่เธอจะต้องรู้ว่าการกระทำทุกอย่างของเขานั้นก็เพื่อทำให้ดยุคตกต่ำและให้เขามาสนับสนุนด้วยการสร้างหนี้บุญคุณ แต่ถึงอย่างนั้น, ฟีเน่ก็ยังคงเชื่อในตัวเขา
ความเชื่อใจแบบนี้มันทำให้ทรยศไม่ลงเลย
“คนเดียวที่รู้ความลับของข้าก็คือเซบาส และเซบาสก็ไม่มีวันหักหลังข้า ถ้าความลับนี้รั่วไหลออกไป, ข้าจะไม่มีวันยกโทษให้เจ้า ดังนั้นห้ามนำเรื่องนี้ไปบอกใครหล่ะ”
“ค่ะ! เข้าใจแล้วค่ะ”
พอได้ยินเสียงขานตอบด้วยความดีใจของเธอ, เขาก็ถอนหายใจ
เขาคิดว่าจะใช้เวทย์ลวงตาทำให้เธอคิดว่าเรื่องทุกอย่างเป็นความฝันแต่เห็นได้ชัดเลยว่าสุดท้ายแล้วมันก็จะถูกจับได้
และหลังจากที่ถูกจับได้, มันก็จะกลายเป็นปัญหาร้ายแรงกับพวกเขา ดังนั้นการให้ฟีเน่เชื่อในตัวเขาแบบนี้จะเป็นการดีกว่า
จากการพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน, เขาก็สามารถทำความเข้าใจนิสัยส่วนใหญ่ของฟีเน่ได้แล้ว ถ้าความลับรั่วไหลออกไป, มันก็คงจะมาจากคนที่ใกล้ชิดกับเธอ ซึ่งมันก็ไม่น่าจะสายเกินไปต่อให้เขาใช้มาตรการรุนแรงในเวลานั้น
“แต่พอมาคิดว่าความลับที่เขาปกปิดมาตั้งนานถูกเปิดโปงแบบนี้แล้วมันก็......”
“ร่าเริงหน่อยสิคะ มาลองชิมขนมของข้ากันเถอะ อ้อ, เดี๋ยวข้าจะรินชาให้ท่านด้วยนะ”
ในขณะที่กำลังมองฟีเน่ที่กำลังจัดขนมลงบนโต๊ะและเริ่มเตรียมน้ำชานั้น, เขาก็เถียงกลับไปอยู่ในใจ
ทั้งหมดมันเป็นความผิดของเธอไม่ใช่รึไง.........
——————
“นี่คือรายงานสรุปสำหรับเหตุการณ์นี้ครับ”
อาเบลที่พึ่งกลับมากำลังคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าดยุคและส่งรายงานให้เขา
ในขณะที่กำลังฟังเรื่องราวทั้งหมด, ดยุคก็พยักหน้าเป็นพักๆและแสดงความขอบคุณกับอาเบล
“ยอดเยี่ยมจริงๆ และข้าก็ต้องขอโทษด้วยที่มันกลายเป็นคำขอที่รุนแรงแบบนี้ นี่คือรางวังแยกต่างหากจากภารกิจแต่ข้าอยากให้พวกเจ้ารับมันเอาไว้ด้วยนะ”
พอพูดจบเขาก็วางถุงเล็กๆเบื้องหน้าอาเบล
ข้างในนั้นมีเงินอยู่
อย่างไรก็ตาม, อาเบลส่ายหัวและปฏิเสธ
“ขอแค่รางวัลจากภารกิจก็พอแล้วครับ ตามที่ข้าได้สรุปเอาไว้ในรายงานก่อนหน้านี้, ซิลเวอร์ต่างหากหล่ะครับที่เป็นคนทำให้พวกเราแก้ไขสถานการณ์ได้ โปรดยกโทษให้พวกเราด้วยนะครับ”
“งั้นหรอ...อืมม, เข้าใจหล่ะ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นอีกข้าจะขอความช่วยเหลือจากเจ้านะ เมื่อถึงตอนนั้นข้าขอฝากพวกเจ้าด้วยหล่ะ”
“ครับท่าน, พวกเราจะตอบรับความคาดหวังของท่านและทำภารกิจให้สำเร็จด้วยฝีมือของพวกเราเองครับ”
พอพูดจบอาเบลก็จากไป
ตอนนี้คนที่เหลืออยู่ข้างในนั้นมีแค่เจ้าชายอาร์โนลด์กับดยุค
“เท่านี้, ก็เสร็จไปอีกหนึ่งเรื่องแล้วสินะ”
“ใช่ครับ ข้าไม่รู้จะขอบคุณองค์ชายยังไงดีถึงจะพอ แต่ข้าก็ขอขอบคุณมากๆเลยครับ”
“นำคำขอบคุณนั้นไปให้ลีโอเถอะ ถึงยังไงทั้งข้าและซิลเวอร์ก็มาที่นี่เพื่อลีโอ”
“ครับ...องค์ชาย, ดยุคบ้านไคลเนลต์จะให้ความร่วมมือและคอยสนับสนุนเจ้าชายลีโอนาร์ดอย่างเต็มที่ครับ พวกข้าจะตอบแทนความเมตตานี้ให้ได้อย่างแน่นอน”
หลังจากที่ได้ฟังประโยคนี้ในที่สุดเขาก็วางใจได้สักที จากนั้นเขาก็ยื่นมือขวาไปให้ดยุค พอเห็นแบบนั้น, ดยุคก็ยื่นมือมาจับมือของเขา
“พวกข้าอยู่ในการดูแลของเจ้าแล้วนะ”
“พวกข้าจะทำให้เจ้าชายลีโอนาร์ดได้ขึ้นครองบัลลังก์ให้จงได้ครับ”
“อืมม”
ด้วยสิ่งนี้, ลีโอก็จะสามารถตั้งตัวเป็นขั้วอำนาจที่สี่ในศึกชิงบัลลังก์ที่ตอนนี้มีอยู่สามขั้วอำนาจได้แล้ว
ด้วยความที่ดยุคที่ยิ่งใหญ่อย่างดยุคไคลเนลต์อยู่ฝ่ายพวกเขา, พวกที่กำลังรอดูทิศทางลมอยู่ก็จะมีส่วนที่ถูกพัดมาทางฝั่งลีโอด้วย
นอกจากนี้ท่านพ่อของพวกเขาก็รับรู้ว่าลีโอเป็นหนึ่งในผู้ชิงบัลลังก์แล้วด้วย, ในที่สุดพวกเขาก็มาอยู่ที่เส้นเริ่มต้นแล้ว
ถึงแม้ว่าเขาจะยังลดการป้องกันลงไม่ได้แต่เขาก็ยังอารมณ์ดีหลังจากที่ทำงานเสร็จไปแล้วหนึ่งงาน
อย่างไรก็ตาม, ดยุคก็ได้เริ่มพูดกับเขาต่อด้วยสีหน้าไม่ค่อยสบายใจ
“องค์ชาย.....ตอนนี้ฝั่งท่านมีกำลังคนมากพอรึยังครับ?”
“กำลังคนหรอ...อืมจะว่ามีมันก็มีอยู่หรอกแต่มันยังไม่พอเลย ยังมีขุนนางบางส่วนที่ตัดสินใจอยู่เป็นกลางด้วย การจะเริ่มเจรจากับขุนนางพวกนี้พวกเราจำเป็นต้องมีคนที่ไว้ใจได้มากกว่านี้”
“เข้าใจแล้วครับ, ค่อยโล่งอกหน่อย”
“เจ้าจะให้ข้ายืมคนหรอ?”
“ใช่ครับ, ข้ากำลังคิดว่าจะให้ลูกสาวไปกับท่านด้วย”
“วะ—ว่าไงนะ?”
เขาตอบกลับไปโดยไม่ได้คิด
ดยุคเองก็ตอบสนองกลับไปด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น
“องค์ชายจะรู้สึกประหลาดใจก็ไม่แปลกหรอกครับ ข้าเองก็ประหลาดใจเหมือนกันในตอนที่ฟีเน่มาขอร้องข้าเมื่อวาน เห็นได้ชัดเลยว่าเธออยากจะตอบแทนองค์ชายที่ช่วยเหลือดินแดนของพวกเราเอาไว้ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม....และในเมื่อลูกสาวคนนี้ไม่เคยขออะไรจากข้ามาก่อน...ข้าก็เลยรู้สึกหวั่นไหวเป็นอย่างยิ่งที่เธอพูดออกมาแบบนั้นครับ”
“ไม่, เดี๋ยวก่อนสิ...ถ้าเจ้าจะเอาแบบนี้ข้าเองก็ลำบากใจนะ....”
“อย่าพูดแบบนั้นสิครับองค์ชาย ลูกสาวคนนี้เป็นคนที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวงของจักวรรดิจริงๆนะครับ แถมองค์จักพรรดิก็ชื่นชอบเธอด้วย เธอจะต้องมีประโยชน์กับท่านอย่างแน่นอนครับ”
“ตรงจุดนั้นข้าก็ยอมรับอยู่หรอก...แต่เจ้าจะโอแคแน่นะ, ท่านดยุค?”
มันมีข้อดีมากมายเกินกว่าที่จะนับถ้าพวกเขามีเธออยู่ฝั่งเดียวกัน ฟีเน่เป็นคนที่มีประโยชน์จริงๆ
อย่างไรก็ตาม, เหตุผลที่จู่ๆเธออยากจะไปเมืองหลวงนั้นต้องเป็นเพราะความจริงที่ว่าเธอได้รู้ถึงตัวตนของเขาเมื่อวานนี้แน่ๆ พูดตามตรง, ถ้าเธอยังเก็บตัวเงียบอยู่ในดินแดนของเธอมันจะทำให้เขาสงบใจได้มากกว่า
ในเมืองหลวงของจักวรรดิ, เธอจะมีโอกาสติดต่อกับผู้คนมากมายและเขาก็ไม่รู้เลยว่าจะมั่นใจได้ไหมว่าถ้าเกิดข้อมูลรั่วไหลแล้วจะหาแหล่งที่มาได้
ดังนั้นเขาจึงพยายามใช้ความเป็นพ่อของดยุคมาเปลี่ยนใจแต่ว่า
“มันคือสิ่งที่เด็กคนนั้นต้องการ ช่วยนำเธอไปใช้งานด้วยเถอะครับ”
“......”
เขาอยากจะเปลี่ยนใจเขาด้วยความน่ารักของลูกสาวของเขาแต่มันกลับไปกระตุ้นเขายิ่งกว่าเดิม เป็นพ่อยังไงกันนะ, คนๆนี้?
ตอนนี้เขาหมดข้ออ้างที่จะใช้ปฏิเสธแล้ว
สุดท้าย, เขาก็ต้องยอมอนุญาตให้ฟีเน่ตามมาด้วย
...
“ถ้างั้นข้าขอลานะคะ ท่านพ่อ, ท่านพี่”
“อืม, ไปนู่นก็ทำตัวให้มีประโยชน์หล่ะเข้าใจไหม?”
“อย่าลืมระวังสุขภาพร่างกายด้วยนะ”
พอบอกลาพ่อกับพี่ชายของเธอเสร็จ, ฟีเน่ก็ขึ้นรถม้า
เธอโบกมือให้พวกเขาจากหน้าต่างรถม้าจนกระทั่งร่างของพวกเขาหายไปจากนั้นเธอก็กลับมานั่งและจ้องเขาที่นั่งหลับตาอยู่ตรงข้าม
“เจ้าชายอาร์โนลด์ ถึงแม้ว่าข้าจะไม่ได้เป็นคนที่มีพรสวรรค์อะไรนักแต่ได้โปรดช่วยดูแลข้าด้วยนะคะ”
“เห้ออ.....”
“นี่ท่านโกรธอยู่หรอ......?”
“ข้าแค่ประหลาดใจหน่ะ นับจากนี้ไป, พวกเราจะต่อสู้ชิงบัลลังก์ มันเป็นการต่อสู้ที่มืดมนและเต็มไปด้วยคาวเลือด ถ้าเจ้าอยากจะถอนตัวก็ทำได้แค่ตอนนี้เท่านั้นนะ รู้รึเปล่า?”
“ข้าเข้าใจดีค่ะ แต่ถึงอย่างนั้น, ข้าก็อยากจะทำตัวให้มีประโยชน์ แล้วก็, ถ้าข้าอยู่ใกล้ตัวองค์ชาย, มันจะทำให้ท่านจับตาดูข้าได้ง่ายกว่าไม่ใช่หรอคะ?”
“ไม่, ถ้าเจ้าอยู่ในดินแดนของตัวเองมันจะทำให้ข้าวางใจได้มากกว่านี้เยอะเลย”
“เอ๋!!!?”
พอเห็นฟินี่ที่กำลังโบกมือไปมาด้วยความตื่นตระหนก, เขาก็ถอนหายใจ
การถูกเด็กผู้หญิงแบบนี้เปิดโปงความลับของข้า, ก็คงจะไม่เป็นไรหรอกมั้ง...... เขาคิด