บทที่ 64 ความโกรธของเย่โม่
เย่โม่ที่ตอนนี้เดินทางคนเดียวนั้น ความเร็วของเขาก็เพิ่มขึ้นมาก ต่อให้รวมเวลาที่เขาใช้เก็บสมุนไพรตามทางแล้วก็ใช้เวลาเพียง 3 วันเท่านั้นในการกลับมาที่พักของเขาที่หลิวเฉอ
ทว่าภาพที่ปรากฏสู่สายตากลับทำให้เย่โม่โกรธจนถึงขีดสุด! เพิ่งผ่านไปแค่ 20 วันเท่านั้น ที่พักอาศัยของเขาก็เละเทะเสียแล้ว ทุกแห่งเต็มไปด้วยซากปรักหักพัง ถนังถูกทุบทำลาย แต่นี่ยังไม่เท่าไหร่ ที่สำคัญที่สุดก็คือ...ตรงจุดที่เขาปลูก ‘หญ้าหัวใจสีเงิน’ นั้นถูกทำลายจนไม่มีชิ้นดี
ปัง! ด้วยความโกรธ เย่โม่เตะหินก้อนใหญ่จนป่นเป็นผงด้วยพลังปราณ
ตอนนี้สมบัติที่สำคัญที่สุดสำหรับเขาคือ ‘หญ้าหัวใจสีเงิน’ รวมถึงที่แห่งนี้เขาก็ปลูกมันไว้ถึง 19 เมล็ด ทว่าพวกมันกลับถูกทำลายทิ้งจนหมด ฟางหนานมัวทำอะไรอยู่?
ขณะที่เย่โม่เตรียมจะไปหาฟางหนานที่หลิวเฉออยู่นั้นเอง ก็มีชายคนหนึ่งรีบวิ่งเข้ามาหา เมื่อเห็นเย่โม่ซึ่งยืนอยู่หน้าซากปรักหักพังก็รีบเข้ามาหาแล้วพูดด้วยความนอบน้อม “พี่เย่! พี่ฟางให้ผมมารอพี่ ในที่สุดพี่ก็กลับมา”
ชายหนุ่มคนพูดมีอายุ 20 กว่าๆ เย่โม่จำเขาได้ เขาคือคนที่ยืนอยู่ด้านหลังของฟางหนานตอนที่พวกเขาเจอกันครั้งแรก ชายหนุ่มคนนี้ถูกเรียกว่า ‘หิน’
เย่โม่ข่มแรงโกรธในใจเอาไว้ ฐานะของ ‘หญ้าหัวใจสีเงิน’ ในใจเขานั้นสำคัญหาใดเปรียบ ในเมื่อมันถูกทำลายไปกว่าครึ่งแบบนี้แล้วเย่โม่ไหนเลยจะทนไหว แต่ถึงจะโกรธแค่ไหนเขาก็ยังทนได้ เย่โม่ไม่ใช่คนที่จะระเบิดความโกรธออกมาก่อนที่จะสืบสาวเรื่องราวให้แน่ชัดเสียก่อน เมื่อเรื่องทุกอย่างเปิดเผยออกมาแล้วล่ะก็...ชีวิตของพวกมันต้องสังเวยให้กับ ‘หญ้าหัวใจสีเงิน’ ของเขา!
หินเมื่อเห็นสีหน้าถมึงทึงของเย่โม่ก็รีบพูดขึ้นทันที “พี่เย่ หลังจากที่พี่ไป…เพราะแก๊ง ‘13 ผู้พิทักษ์’ หายไป พี่ฟางหนานและแก๊งใหญ่ในหลิวเฉออีกแก๊งหนึ่ง ‘แก๊งเยวี่ยหนาน(เวียดนาม)’ ก็ต่อสู้แย่งชิงส่วนแบ่งผลประโยชน์กัน เดิมทีพี่หนานไม่กลัวแก๊งเยวี่ยหนานอยู่แล้ว แต่พวกมันกลับละเมิดกฏไปรวมหัวกับ ‘แก๊งเฟย’ ซุ่มโจมตีแก๊งโพตาวของพวกเรา”
“ตอนนี้พี่ฟางหนานบาดเจ็บสาหัส พี่น้องคนอื่นๆ พาตัวมารักษาตัวที่นี่ แต่ก็ยังถูกพวกมันล้อมฆ่าอยู่ดี สุดท้ายจึงเหลือพี่น้องแค่ไม่กี่คนพาพี่ฟางหนานฝ่าวงล้อมออกมาได้ พี่ฟางหนานสั่งให้ผมมารอพี่เย่ที่นี่ เขาบอกว่าต้องขอโทษพี่เย่ด้วยจริงๆ”
ใบหน้าของเย่โม่ซีดขาวเมื่อได้ยินสิ่งที่ชายหนุ่มพูด เขานิ่งเงียบไปนานโดยไม่ได้พูดอะไร
เย่โม่เข้าใจดีว่าหากฟางหนานไม่มาที่วัดแห่งนี้ บางที ‘หญ้าหัวใจสีเงิน’ ของเขาคงจะไม่ต้องมาถูกทำลายแบบนี้ และฟางหนานเองก็คงไม่ได้จงใจใช้วิธีนี้เพื่อได้มาซึ่งความช่วงเหลือจากเย่โม่ หรือต่อให้ฟางหนานจงใจให้เย่โม่โกรธและตรงเข้าไปทำลาย ‘แก๊งเยวี่ยหนาน’ จริง...เย่โม่ก็ไม่ได้ว่าอะไรหากจะต้องทำลายไอ้แก๊งโพตาวของฟางหนานลงด้วย!
เย่โม่เดินเข้าไปในสวนซึ่งถูกเหยียบย่ำจนเละเทะ แต่เขาก็พอจะมองหาเมล็ดพันธ์ที่ปลูกไว้ได้อยู่บ้าง นั่นทำให้พอจะสงบใจลงได้
ตอนนี้เย่โม่ค้นพบแล้วว่าต่อให้ไม่เกิดเรื่องนี้ขึ้น ‘หญ้าหัวใจสีเงิน’ ของเขาก็ไม่มีทางโตในที่แบบนี้ได้ นั่นเพราะเขาเห็นเมล็ดของมันซึ่งตอนนี้เน่าไปทั้งเมล็ดแล้ว ไม่มีท่าทีว่าจะงอกออกมาเลย ดูท่าแล้ว ‘หญ้าหัวใจสีเงิน’ ต้องปลูกในสถานที่พิเศษจริงๆ ถึงจะโต ไม่รู้ว่าทำไมสวนที่เขาอยู่ตอนแรกถึงได้ปลูก ‘หญ้าหัวใจสีเงิน’ ขึ้นได้แบบนั้น
“พาผมไปหาฟางหนาน” เย่โม่พูดขึ้น สีหน้ากลับคืนสู่ความปกติอีกครั้ง
..........
ฟางหนานตอนนี้เรียกได้ว่าอยู่ในสภาพนาเวทนาอย่างถึงที่สุด เขากำลังซ่อนตัวอยู่ในถ้ำอันห่างไกลแห่งหนึ่ง ลูกน้องข้างกายเขาตอนนี้เมื่อรวมกับหินแล้วเหลืออยู่เพียง 6 คนเท่านั้น
เมื่อเห็นเย่โม่เดินเข้ามา ฟางหนานก็รีบตะเกียกตะกายยันตัวลุกยืน ใบหน้าเต็มไปด้วยความละอายใจ ดูจากคำที่เย่โม่พูดย้ำเตือนกับเขาไว้ก็เข้าใจได้...เย่โม่ให้ความสำคัญกับสถานที่แห่งนั้นมาก แต่เขากลับปกป้องมันไว้ไม่ได้ รวมถึงเขายังเป็นต้นเหตุให้สถานที่แห่งนั้นถูกทำลายอีก หากเข้าย้อนเวลากลับไปได้อีกครั้ง เขาจะต้องห้ามไม่ให้ลูกน้องพาเขาไปซ่อนตัวที่นั่นแน่นอน!
เย่โม่ที่เห็นฟางหนานพยายามลุกขึ้นและท่าทีละอายใจของเขาแล้ว เย่โม่ก็โบกมือ “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนาย ให้ผมดูแผลของนายก่อน”
ฟางหนานถูกยิง…ต่อให้เขาถูกยิงมา 2 นัดก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับเย่โม่ ผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเขาก็จัดการแผลของฟางหนานเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“ผมจะไปดูที่หลิวเฉอสักหน่อยว่าใครมันกล้าทำลายของๆ ผม ส่วนนายก็พักอยู่ที่นี่เถอะ ตกดึกค่อยกลับไป” เย่โม่ที่เห็นว่าฟางหนานไม่มีปัญหาอะไรแล้วก็ลุกเตรียมจะจากไป ทว่าคำพูดที่เอ่ยออกมากลับเย็นยะเยียบ
ฟางหนานรีบร้อนพูดขึ้น “พี่เย่! เรื่องนี้ผมฟางหนานเป็นคนก่อเอง ต่อให้ต้องตายผมก็ไม่มีทางปล่อยให้พี่เย่ไปหลิวเฉอแล้วตัวเองนอนอยู่ตรงนี้หรอก!”
เย่โม่ยิ้มบางๆ “ในเมื่อเป็นแบบนี้...พวกเราก็ไปกันเถอะ”
ในความคิดของเย่โม่นั้น ไอ้แก๊งคนสิ้นคิดพวกนี้ไม่อยู่ในสายตาเขาแม่แต่น้อย ต่อให้ฟางหนานมากับเขาด้วยก็ไม่เป็นปัญหา
..........
หลิวเฉอ
ที่พักอาศัยรูปทรงครึ่งวงกลมที่สร้างจากหิน...เดิมทีแล้วที่นี่เป็นที่ของฟางหนาน เวลานี้คนที่นั่งอยู่ข้างในกลับไม่ใช่ฟางหนานอีกแล้ว แต่เป็นหัวหน้าแก๊งใหญ่อย่าง ‘แก๊งเยวี่ยหนาน’ และนอกจากนั้นแล้วยังมีพวกฟิลิปปินที่คอยก่ออาชญากรรมตามชายแดนของจีนอย่าง ‘แก๊งเฟย’ รวมอยู่ด้วย
“ไอ้หัวหน้าแก๊งโพตาวอย่างฟางหนานนั้นผมดูถูกมันมาตั้งนานแล้ว ต่อให้ฆ่ามันไม่ได้แต่ก็ขับไล่มันออกจากหลิวเฉอได้แบบนี้ผมก็วางใจ ครั้งนี้โชคดีจริงๆ ที่มีบอสผู่อยู่ด้วย มา! ให้ผมเป็นตัวแทนแก๊งเยวี่ยหนานคาราวะ 1 จอก!” หัวหน้าแก๊งเยวี่ยหนานพูดออกมาเป็นภาษาจีน
“ดี! หลังจากนี้พวกเราจะอยู่ที่เมืองหลิวเฉอแห่งนี้ ต้องขอให้ประธานหวังช่วยดูแลพวกเราแล้ว” หัวหน้าแก๊งเฟยที่นั่งอยู่ตรงข้ามพูดขึ้น เขาเป็นชายผิวดำ ถึงแม้จะพูดออกมาเป็นภาษาจีนแต่ก็ตะกุกตะกักอยู่บ้าง แต่เขารู้ดีว่าการมาอยู่ที่หลิวเฉอแห่งนี้ หากไม่พูดภาษาจีนล่ะก็อยู่ไม่รอดแน่
ชายที่ถูกเรียกว่าประธานหวังหัวเราะฮ่าฮ่า “พูดได้ดี! พูดได้ดี! พื้นที่และธุรกิจที่ฟางหนานมันเหลือไว้ พวกเรามาแบ่งกันครึ่งๆ ตามที่ตกลงกัน”
ประธานหวังคนนี้คือหัวหน้าแก๊งเยวี่ยหนาน หวางเซี่ยน เขาไม่ชอบให้คนอื่นเรียกตัวเองว่าหัวหน้าแก๊ง เขาชอบให้คนอื่นเรียกว่าประธานหวังเสียมากกว่า
ภายใต้การสนทนาต่อรอง สถานที่แห่งนั้นก็เต็มไปด้วยบรรยากาศครื้นเครง จนกระทั่ง...
ตุบ! ตุบ! เสียงเหล่านี้ขัดจังหวะภาพบรรยากาศรื่นเริงได้ชะงัด มี 2 ศพหล่นอยู่บนโต๊ะที่หัวหน้าแก๊งเยวี่ยหนานและแก๊งเฟยกำลังดื่มเหล้ากันอยู่ มันเป็นศพของบอร์ดี้การ์ดชาวเวียดนามที่ทำหน้าที่อารักขาอยู่ด้านนอกนั่นเอง
ขณะนั้นเองที่บรรยากาศภายในห้องเปลี่ยนเป็นเงียบสงัด ทว่าไม่นานทั้ง 30 กว่าคนภายในห้องก็ได้สติขึ้นมา พวกเขาชักอาวุธเตรียมพร้อมรับศึกทันที
“นายเป็นใคร!? ทำไมอยู่ๆ ก็มาฆ่าคนของผมแบบนี้!?” มือประธานหวังวางอยู่บนด้ามปืนแล้ว ไม่ว่ายังไงชายคนนี้ก็ฆ่าลูกน้องเขา ชีวิตต้องแลกด้วยชีวิต!
เย่โม่หัวเราะเสียงเย็น เขากวาดสายตามองคนภายในห้องแวบหนึ่ง มีทั้งหมด 40-50 คน มีคนดำอยู่ 10 กว่าคนและคนขาวอีก 2 คน เมื่อสำรวจเสร็จเขาก็พูดขึ้น “วัดที่ผมอยู่...พวกนายเป็นคนทำลายใช่ไหม?”
ฆ่าคนแค่เพราะวัดถูกทำลาย? สีหน้าประธานหวังเปลี่ยนเป็นดำคล้ำ เขาชักปืนออกมา “พี่น้อง! ฆ่ามัน! จัดการไอ้เปรตนี่!”