ตอนที่ 98 สหายนักใช้เงิน
หกวันผ่านไปร่างกายของเหนือภพเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง เขาไม่ใช่ชายหนุ่มร่างใหญ่โตเทอะทะแบบกรรมกรแรงงานเหมืองอีกแล้ว แต่เขากลับเปลี่ยนไปเป็นชายหนุ่มร่างเพรียวแต่เต็มไปด้วยมวลกล้ามเนื้อที่อัดแน่น ทรงผมที่เคยสั้นก็เริ่มงอกยาวจนเลยบ่าเพียงเล็กน้อย เมื่อเขาได้รับการบำรุงจากเนื้อสัตว์อสูรบางชนิด ร่างกายที่เคยมีน้ำหนักมากจนเป็นปัญหา ก็ถูกหักลบโดยเนื้อสัตว์อสูรที่ช่วยปรับสมดุลให้ร่างกายและปรับสภาพผิวหนังให้ขาวเนียน แม้ในตอนนี้ร่างกายเขาจะยังหนักมากอยู่ แต่เขาก็สามารถควบคุมมันได้จนไม่สร้างผลกระทบต่อพื้นที่รอบข้าง จนเขามั่นใจแล้วว่าเขาสามารถนั่งรถเทียมเกวียนได้โดยไม่ทำให้รถเทียมเกวียนพังอย่างที่แล้ว ๆ มา
“ยักษ์เหยียบป่า ! กวางสะบัดหน้า ! รามสูรขว้างขวาน ! คลื่นกระทบฝั่ง ! ตะเพียนแฝงตอ ! ขุนยักษ์จับลิง ! หักคอเอราวัณ !”
เหนือภพที่กำลังฝึกออกกระบวนท่าต่อสู้พร้อมเปล่งเสียงชื่อท่าอย่างต่อเนื่องในสภาพเหงื่อชุ่มกาย ไม่นานเขาก็ต้องหยุดเพื่อยื่นมือขาวนวลเยี่ยงคุณชายชั้นสูงไปรับนกอาคมที่บินผ่านชั้นดินเข้ามา จากนั้นนกตัวนั้นก็กลายสภาพตัวเองเป็นจดหมายสีขาวเนื้อดี
----------------------------------------------
ผู้ส่ง - ฟ้ารดา
ที่อยู่ผู้จัดส่ง - ร้านผ้าไหมฟ้ารดา
ผู้รับ - เหนือภพ
ที่อยู่ผู้รับ - หมู่บ้านลมหวน
ลูกรัก แม่หวังว่าลูกจะสบายดี แม่อยากบอกว่าตอนนี้แม่อยู่สุขสบายดีไม่ต้องห่วง ขอบใจมากสำหรับเงินที่ส่งมาให้ ตอนนี้แม่ได้มาเปิดร้านขายผ้าไหมอยู่ที่หมู่บ้านธารบรรจบ ก็เพราะได้เงินทุนจากลูกนั่นแหละ ส่วนลุงไทก็ยังคอยดูแลแม่ดี ตอนนี้เขาได้เลื่อนขั้นเป็นครูใหญ่ของโรงเรียนเตรียมฮันเตอร์สาขาหมู่บ้านแร่ห้าสีแล้วนะ เขาเป็นคนมีความสามารถใช่มั๊ยล่ะ ลูกก็รู้ดี
ว่าแต่ส่งเงินกลับมาให้แม่เยอะขนาดนี้แล้วลูกจะมีเงินพอใช้รึเปล่า ทีหลังไม่ต้องส่งเงินกลับมาแล้วนะ แม่ไม่มีที่เก็บแล้ว อ้อ ส่วนพวกคนรับใช้พวกนี้ก็เหมือนกัน แม่ไม่ต้องการพวกเขาหรอกนะ คราวหน้าไม่ต้องหามาให้แม่แล้ว แต่คนพวกนี้ที่มาถึงแล้วก็ให้แล้วไปเถอะ แม่จะเลี้ยงดูพวกเขาเอง จะไล่ไปก็สงสาร
ลูกได้คุยกับน้องบ้างรึเปล่า ตอนนี้น้องใกล้จะเรียนจบแล้วนะ ถ้าลูกทั้งสองได้เติบโตใช้ชีวิตรอดด้วยตัวเองสักทีแม่ก็จะได้เบาใจ แม่ไม่ห่วงอะไรอีกแล้ว ยกเว้นอย่างเดียว แม่อยากอุ้มหลาน เมื่อไหร่ลูกจะกลับมาสร้างทายาทไว้ให้แม่ได้ชื่นใจบ้าง แม่เหงา
ลงชื่อ แม่
รักและเป็นห่วงลูกเสมอ
----------------------------------------------
เหนือภพยิ้มก่อนจะบรรจงพับจดหมายเก็บไว้ที่อก เขาจะเก็บไว้อ่านซ้ำเวลาคิดถึงแม่ เขาอยากจะกลับไปหาแม่กับน้องใจจะขาด แต่ว่าตอนนี้เขากำลังเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ มากมาย ปัญหาที่เขาไม่อยากบอกแม่ ไม่อยากทำให้แม่กังวลใจ และไม่อยากชักนำมันไปสู่แม่กับน้อง เขาขอเผชิญกับมันเพียงคนเดียว
พอเหนือภพคิดถึงแม่ก็ทำให้เขารู้สึกเศร้าและเจ็บปวดในใจที่เขาในฐานะลูกคนโตไม่อาจดูแลท่านได้ เขากังวลว่าแม่จะต้องมารับเคราะห์กับการกระทำของเขา เหนือภพกำหมัดแน่น ประกายในแววตาฉายแววแน่วแน่ จริงจัง เขาต้องแข็งแกร่งกว่านี้ ต้องแกร่งที่สุด เขาถึงจะคุ้มครองแม่กับน้องได้ และจะต้องไม่มีใครกล้ามายุ่งกับเขาอีก
เหนือภพยังคงฝึก กิน นอน ฝึก และก็กินแบบนี้ตลอดทั้งวัน จนกระทั่งเขาได้รับจดหมายจากศิษย์พี่ในช่วงค่ำ ในจดหมายบอกเล่าสถานการณ์ภายนอกให้เขารู้ ตอนนี้นักล่าจากลัทธิดับสุริยันทั้งสามคนได้ถอนตัวออกจากเมืองนิรันดร์กาลแล้ว ไม่รู้ว่าพวกเขากำลังไปไหน
แต่ที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือมีข่าวลือเกี่ยวกับปรมาจารย์อาคม มีข่าวว่าเขาปรากฏตัวขึ้นที่เมืองหลวงอมตะ และเป้าหมายของปรมาจารย์อาคมผู้นี้ก็คือของสิ่งหนึ่ง ยังไม่มีใครรู้ว่ามันคืออะไร แต่มีคนมากมายพยายามที่จะตามหาของสิ่งนั้น ด้วยหวังที่จะเอาใจฮันเตอร์ระดับปรมาจารย์ ผู้ซึ่งเป็นที่สุดของฮันเตอร์บนโลกเงาสุริยัน หากใครได้ฝากตัวเป็นศิษย์ของปรมาจารย์ท่านนี้ก็จะสามารถก้าวข้ามขีดจำกัดพลังเข้าสู่ระดับผู้เชี่ยวชาญ หรือจะกลายเป็นฮันเตอร์แรงค์ที่เกินกว่าระดับ C ก็ไม่ใช่เรื่องยาก
เหนือภพอ่านและทำความใจข้อความชั่วครู่ ก่อนจะตัดสินใจขึ้นจากหลุมหลบภัยโดยไม่ลืมเก็บข้าวของที่จำเป็นติดตัวไปด้วย ถึงอย่างไรเขาก็ต้องพร้อมเสมอในทุกสถานการณ์
เมื่อเหนือภพขึ้นมาถึงพื้นผิวดินได้ เขาก็สูดลมหายใจเข้าแรงอย่างโหยหา รับเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าสู่ปอดอย่างกระหาย เขาไม่ได้รู้สึกปลอดโปร่งแบบนี้มาหลายวันแล้ว ดังนั้นเหนือภพจึงใช้เวลาอยู่นิ่ง ๆ สักพัก มองสำรวจดูซากปรักหักพังที่ยังไม่ได้รับการฟื้นฟู บรรยากาศรอบข้างค่อนข้างมืดมน เขาค่อนข้างแปลกใจเหมือนกันว่าหกวันที่ผ่านมาไม่มีใครเข้ามาจัดการดูแลซากอาคารพวกนี้เลยหรือ
จากนั้นเขาก็ส่งจดหมายอาคมไปหาช่างดาบเพื่อสอบถามเกี่ยวกับอาวุธใหม่ของเขา และติดต่อกับสมุทรเพื่อบอกให้รู้ว่าเขากลับมาแล้ว เมื่อเหนือภพได้รับจดหมายตอบกลับจากทั้งสองคน เขาก็ตัดสินใจมุ่งหน้าสู่งานประมูลที่อาคารประมูลหลักในทันที
ทั้งสมุทรและช่างดาบล้วนสนใจการประมูลในวันสุดท้ายนี้ วันนี้มีการประมูลพิเศษที่เกี่ยวข้องกับอาวุธที่ผลิตขึ้นจากช่างตีเหล็กระดับผู้เชี่ยวชาญขึ้นไป อาวุธที่มีส่วนประกอบของเหล็กไหลและแร่ห้าสีเป็นวัตถุดิบหลัก อานุภาพของมันมากพอที่จะล่าสังหารฮันเตอร์แรงค์ C ได้อย่างง่ายดาย
แต่พระเอกของงานไม่ใช่อาวุธระดับนี้ ทว่าเป็นอาวุธระดับตำนานที่มีอายุยาวนานกว่าห้าร้อยปี สุดยอดอาวุธชิ้นนี้ถูกจัดสร้างโดยปรมาจารย์ศาสตรารุ่นก่อน และถูกมอบให้กับเจ้านิกายมัจฉาสวรรค์รุ่น 81 แต่หลังจากที่อดีตเจ้านิกายมัจฉาสวรรค์รุ่น 81 หายตัวไป ดาบเล่มนี้ก็ไม่เคยปรากฏขึ้นที่ไหนอีกเลย จนกระทั่งมันตกมาอยู่ในมือของสมาคมพ่อค้าในตอนนี้
“ดาบนั่นแข็งแกร่งแค่ไหน”
เหนือภพถามช่างดาบหลังจากที่ได้ฟังสิ่งที่ช่างดาบอธิบายก่อนหน้า ช่างดาบ และเหนือภพพากันมาอยู่ที่ชั้น 3 ของอาคารประมูล ที่ชั้นนี้มีชนชั้นเศรษฐีธรรมดาและชนชั้นกรรมาชีพมากมายแออัดกันอยู่ตรงระเบียง ดังนั้นเสียงพูดคุยจึงดังเซ็งแซ่รอบกายพวกเขา ไม่มีใครสนใจพวกเหนือภพเลย
ช่างดาบตอบพร้อมเสียงบรรยายของพิธีกรนำชายที่กำลังสาธยายเกี่ยวกับดาบชั้นเลิศที่จะประมูลในวันนี้
“ถือว่าหนึ่งในสิบดาบที่ดีที่สุดเท่าที่โลกนี้เคยมีมา”
“ดีขนาดนั้นเชียว”
“ใช่ ปรมาจารย์ศาสตราในปัจจุบัน แม้จะมีความสามารถมากแต่เขายังทำได้เพียงแค่ดาบระดับ 6 เขายังไม่มีความสามารถมากพอที่จะตีดาบระดับ 7 ขึ้นมาได้”
“ถ้าดีขนาดนั้นก็เก็บเอาไว้เองไม่ดีกว่าหรอ จะเอามาขายทำไม”
“ก็จริง แต่โชคดีที่ผู้ครอบครองคนปัจจุบันเป็นสมาคมพ่อค้าซะได้ และพวกเขาก็เห็นผลกำไรสำคัญที่สุดเหนือสิ่งอื่นใด”
เหนือภพพยักหน้าพลางฟังพิธีกรชายประกาศเสริมประวัติความเป็นมาของมัน เหนือภพจ้องมองไปยังกล่องไม้ประดับอัญมณีลวดลายสวยงามกลางเวที มันเป็นกล่องไม้ที่มีความยาวประมาณหนึ่งวา กว้างประมาณสองศอก สูงประมาณสองศอก ภายในบรรจุดาบเล่มดังกล่าวเอาไว้ ช่างดูล้ำค่าและกระตุ้นความปรารถนาของผู้คนได้ดีนัก
กล่องไม้ใบสวยถูกวางอาคมป้องกันซ้อนเอาไว้หลายชั้น อาคมแต่ละชั้นแน่นหนาจนทุกคนสามารถมองเห็นแสงสีทองเรืองรองปกคลุมกล่องไม้ได้ด้วยตาเปล่า รอบ ๆ เวทีประมูลมีฮันเตอร์แรงค์ C ที่เขาคุ้นหน้าประจำการอยู่ นอกเหนือจากนั้นยังมีฮันเตอร์ผู้คุ้มกันลึกลับที่เห็นได้ชัดว่าระดับของพวกเขาสูงกว่าแรงค์ C คอยอารักขาอยู่ แต่พวกเขาสวมใส่ชุดในเครื่องแบบของสมาคมพ่อค้าสาขาแคว้นสุริยัน
จากนั้นเหนือภพและช่างดาบก็พากันเข้าไปนั่งในห้องรับรองที่ช่างดาบจ่ายเงินเช่าเอาไว้ มันเป็นห้องรับรองที่มีขนาดเล็กมากเมื่อเทียบกับห้องรับรองบนชั้น 5 แต่เหนือภพก็ไม่ได้ใส่ใจ ขอเพียงมีที่ได้หลบออกมาหายใจจากการยืนเบียดเสียด เขาก็พอใจแล้ว
ก๊อก ๆ
“เข้ามา”
เหนือภพพูด ขณะเดียวกันประตูไม้เนื้อบางก็ถูกเปิดออก
“เจ้าไปไหนมา ไหนพี่สาวเจ้าบอกว่าเจ้ามีธุระต่างเมืองไง ทำไมกลับมาไวจัง”
สมุทรเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว เขาอยู่ในชุดเกราะฮันเตอร์เต็มยศที่ทำจากหนังสัตว์อสูรหายากที่มีความนุ่ม บาง สวมใส่สบายตัว แต่เหนียวและทนทานมากกว่าที่ตาเห็น มันเป็นหนังสีน้ำเทาเข้มที่ถูกขัดเป็นมัน ยาวปกคลุมตั้งแต่คอยาวลงไปจรดข้อมือข้อเท้า เข้ากันได้ดีกับสีของเกราะตรงช่วงอก แขนช่วงล่าง ข้อศอก หัวเข่า หน้าแข้ง และด้านหลังที่ถูกเสริมด้วยเกราะโลหะชุบด้วยแร่ห้าสี สอดคล้องเป็นชุดเดียวกับสนับมือและรองเท้าที่ใช้ส่วนประกอบของโลหะที่ถูกชุบด้วยแร่ห้าสีเช่นกัน หากประเมินมูลค่าชุดทั้งชุดรวมกับเกราะหมวกหนังเข้าชุดกัน เกรงว่าทั้งตัวของสมุทรคงมีมูลค่าเกือบสี่แสนเหรียญทอง
สมุทรทักทายเหนือภพด้วยคำถาม และท่าทีสบาย ๆ ก่อนจะพูดต่อไปว่า
“ข้าไปเจอเฮงเฮงกับซวยซวยมาแล้วนะ แล้วก็มีอีกคนที่ชื่อไร้ซื่อกับผู้หญิงสองคน เขาถามหานายด้วย”
“พวกเขาว่าไงบ้าง”
“ก็ไม่มีอะไรมาก แค่ถามว่าเจ้าอยู่ไหน ก็แค่นั้น”
“ไร้ชื่อเป็นไงบ้าง ใกล้หายดีหรือยัง”
“ยัง อีกสักพักนั่นแหละ บาดแผลภายนอกดูดีขึ้นแต่ปัญหาคือบาดแผลภายใน อวัยวะบางส่วนบอบช้ำจึงต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง อ้อ มีอีกอย่าง คนที่ชื่อแสงเงินฝากนี่มาให้เจ้าด้วย”
เหนือภพรับกระดาษแผ่นหนึ่งมาจากสมุทร ที่แท้มันก็คือใบมอบอำนาจโอนที่ดินที่เมืองอมตะนคร ขอเพียงเขาเขียนชื่อลงไป ที่ดินผืนนั้นก็ถือว่าเป็นของเขาโดยสมบูรณ์ถูกต้องตามกฎหมาย
“แล้วเฮงเฮงกับซวยซวยล่ะ ทำไมไม่มากับเจ้า”
“เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง คู่นั้นถูกทาบทามเข้าบ้านฮันเตอร์กันไปแล้ว เฮงเฮงถูกทาบทามเข้าบ้านฮันเตอร์ ที่อยู่ภายใต้สังกัดฮันเตอร์หลวง ส่วนซวยซวยถูกทาบทามเข้าบ้านนพชวด ที่อยู่ภายใต้สังกัดตระกูลชวด ป่านนี้พวกเขาคงออกจากเมืองไปแล้ว เห็นว่าจะไปหาประสบการณ์”
“โอ้”
“แต่จะว่าไปนะ พอพูดถึงบ้านฮันเตอร์ พวกเรามาสร้างบ้านฮันเตอร์กันไหม”
สมุทรเสนอความคิดที่เขาเก็บไว้ในใจมานาน หากเขามีบ้านฮันเตอร์เป็นของตัวเอง บางทีที่บ้านของเขาจะเห็นว่าเขามีลู่ทางที่ดีมีอนาคต และอาจจะไม่บีบบังคับเขาให้กลับไปทำในสิ่งที่ไม่ชอบ
“เป็นความคิดที่ดีเลย”
เหนือภพตอบด้วยดวงตาเปล่งประกาย
หากฮันเตอร์คนใดอยากจะหาเงินได้เยอะ ๆ ก็ต้องมีสังกัดที่ดี อัตราการจ้างงานและผลการตอบแทนจะสูงขึ้น ยิ่งบ้านฮันเตอร์มีชื่อเสียงมีผลงานการทำงานที่ประสบผลสำเร็จมากมายจะเป็นตัวบ่งชี้ที่ทำให้ค่าตัวของฮันเตอร์ภายในสังกัดสูงขึ้น และที่สำคัญมันนับเป็นธุรกิจที่ทำเงินได้มหาศาล หากเขาเอาแต่พึ่งพาเงินจากเหล่าทาสก็เกรงว่าจะไม่พอใช้
เหนือภพเว้นจังหวะคิดไปครู่หนึ่ง แล้วเขาก็พูดต่อทันทีว่า
“แต่ว่าตอนนี้ข้ายังไม่พร้อม ไหนจะเรื่องเงิน ทรัพยากร จำนวนคน พวกเรายังไม่มีอะไรสักอย่าง ยังไงขอเวลาอีกสักปี แล้วเราค่อยมาคุยเรื่องนี้อย่างจริงจังดีกว่า”
สมุทรได้ยินเช่นนั้นก็ไม่แสดงอาการต่อต้านอะไร เขารู้สึกว่าเป็นความคิดที่ดี และเขาเองก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องที่ต้องวางแผนกันระยะยาว
จากนั้นเหนือภพก็แนะนำช่างดาบให้สมุทรรู้จักในฐานะที่ช่างดาบเป็นทั้งลูกจ้าง และเพื่อนมีหน้าที่ตีอาวุธ พอสมุทรรู้เช่นนั้นเขาก็พูดคุยกับช่างดาบด้วยความสนใจ สมุทรมีความคิดที่จะสร้างธนูของจริงขั้นมา ที่ผ่านมาเขาใช้แต่ปราณอาคมที่เปลี่ยนร่างเป็นธนู มันดีในเรื่องความสะดวกรวดเร็วในการเรียกใช้งาน แต่มันเปลืองพลังอาคมของเขาเกินไป เขาจึงอยากมีคันธนูชั้นเลิศพกตัวไว้บ้าง ทว่าปัญหาคือการเงินที่ขาดแคลน ดังนั้นพอเจอช่าง ทั้งยังเป็นช่างของเพื่อนแล้ว สมุทรจึงร้องขอให้ทำคันธนูให้ทันทีพร้อมกับสิ่งที่เพื่อน ๆ ผู้ไม่มีอันจะกินมักทำกัน คือการติดเงินไว้ก่อน
การกระทำของสมุทรทำให้เหนือภพตกใจ
“เดี๋ยว ๆ เงินที่ข้าให้เจ้าไปล่ะ มันไม่ใช่น้อย ๆ เลยนะ เจ้าไปทำอะไรหมด”
เหนือภพตกใจเล็กน้อยเขาเพิ่งแบ่งเงินกำไรจากการขายแร่ให้สมุทรไปไม่กี่วันก่อนมิใช่หรือ
สมุทรยิ้มกว้างขณะแอ่นตัว หมายให้เหนือภพสังเกตเห็นชุดเกราะหนังผสมโลหะสีขาวทองที่เขาสวมใส่ เป็นคำตอบโดยไม่ต้องพูดมากว่าเงินกว่าล้านเหรียญทองนั้นหายไปไหน เขาไม่เพียงซื้อชุดให้ตัวเอง แต่เขายังใช้เงินไปกับการซื้อชุดให้เฮงเฮง ซวยซวย และไร้ชื่อด้วย ถือเป็นของขวัญมิตรภาพ
ท่าทางของสมุทรดูภาคภูมิใจที่ได้ใช้เงิน ผิดกับเหนือภพที่แสดงสีหน้าเสียดายออกมาอย่างออกนอกหน้า เงินกว่าล้านเหรียญได้แค่ชุดเกราะบ้า ๆ นี่มา ในมุมมองของเหนือภพ เขารู้สึกว่ามันไม่คุ้มสักนิด สู้เขาก็ไม่ได้ เสียเงินกว่าร้อยล้านเหรียญทอง แต่ได้ค่าสมรรถภาพทางร่างกายมาตั้งเยอะ เขาไม่รู้ว่าเขาได้มาเท่าไหร่เพราะเขายังไม่มีโอกาสไปตรวจสอบแน่ชัด และการตรวจสอบก็ต้องใช้เงินจำนวนมาก
เขาจะไม่ยอมเสียเงินกับเรื่องไร้ประโยชน์