ตอนที่แล้วตอนที่ 94 หน้าเลือดเจอหน้าเลือดกว่า
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 96 คนเมืองโลหะ

ตอนที่ 95 ข้าต้องการยี่สิบล้าน


ฉึบ !! โครม

ร่างของเหนือภพล้มลงตามแรงเหวี่ยงของกรงเล็บ สตรีนัยน์ทองอีกนางพยายามหลบหนีออกจากที่นี่ เธอวางแผนจะกระโดดออกทางหน้าต่าง โดยมีขุนนางหลวงและองครักษ์ทั้งนอกและในห้องรวมเป็นสี่คน ปลดปล่อยออร่าปราณอาคมที่แท้จริงของตัวเองออกมาอยู่ข้างหลัง พวกเขาแตกต่างจากก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง

ทว่าลูกแกะก็ยังคงเป็นลูกแกะ ต่อให้ห่มหนังเสือสักกี่ผืนก็ไม่อาจต่อต้านนักล่าที่แท้จริงได้ ใช้เวลาชั่วอึดใจเดียวไม่ทันที่คนทั้งหมดจะแสดงพลังที่แท้จริงก็ถูกกำราบ ส่วนสตรีนัยน์ตาทองที่คิดจะหนีก็ถูกเหนือภพกับสมุทรร่วมมือกันจับกุมเอาไว้ได้

เหนือภพลูบคอตัวเองอย่างสงสัย มันมีรอยข่วนจนเลือดแดงซิบบนลำคอแกร่ง บ่งบอกได้ว่าระดับของเธอไม่ได้ด้อยไปกว่าสุภัชชาเลย

เหนือภพนั่งลงมองเหล่าชายสี่หญิงสองที่ถูกจับกุมอยู่บนพื้นห้อง สายตาเขาเน้นจับจ้องไปที่สตรีนัยน์ตาทองที่น่าจะเป็นผู้นำของคนกลุ่มนี้ เธอคือ ท่านหญิงทิวาทิพย์ บุตรสาวหัวแก้วหัวแหวนของเจ้าพระยากรมคลังเมืองนิรันดร์กาลตัวจริง สาเหตุที่เธอมาอยู่ตรงนี้เป็นเพราะพ่อของเธอไม่ว่าง ไม่เช่นนั้นเรื่องคงไม่จบง่ายดายเพียงนี้ หากเป็นเจ้ากรมการคลังมาเองต่อให้เป็นวัฏจักรก็ยังยากที่จัดการให้เรื่องสงบโดยง่าย

“ท่านรู้ตั้งแต่เมื่อไหร่”

เสียงหวานใสของทิวาทิพย์ดังกังวานด้วยจังหวะการพูดที่ฟังแล้วรู้เลยว่า เธอได้รับการเลี้ยงดูมาเยี่ยงชนชั้นสูง

เหนือภพไม่พูด เขายังคงงอนและไม่พอใจที่อยู่ ๆ คนของเธอก็มาข่วนคอเขา หากเขาไม่ได้กินเนื้อสัตว์อสูรระดับสูงมา เห็นทีว่าการโจมตีนั้นคงทำให้เขาหัวขาดแน่ ๆ เหนือภพจึงเมินหน้าหนีเธออย่างไม่สบอารมณ์

สมุทรเลยตอบเธอแทนเพราะคิดว่าเหนือภพคงจับสังเกตได้ในเวลาไล่เลี่ยกับตัวเอง

“ข้ารู้สึกแปลก ๆ ตั้งแต่ที่ข้าเข้ามา แต่ข้าไม่รู้ว่าแปลกตรงไหน เพราะเอาแต่ดูการแต่งตัวของพวกท่าน ยิ่งท่าทางตื่นตระหนกพวกท่านทำได้แนบเนียนมากจนข้าคิดว่า พวกท่านคือ….”

สมุทรไม่พูดคำสุดท้ายออกมา ถึงอย่างไรเธอก็เป็นถึงท่านหญิง มีศักดิ์และฐานะสูง มีศักดิ์ศรี มีเกียรติ เขาเองก็ไม่อยากดูหมิ่นความเป็นสตรีของเธอ สมุทรจึงเฉไฉไปพูดเรื่องอื่นแทน

“ข้าสังเกตจากสายตาเขา”

แล้วสมุทรก็มองไปยังขุนนางหลวง

“สายตาเขาที่มองท่านแต่ละช่วงเวลา แม้จะกลบเกลื่อนด้วยการมององครักษ์ แต่ความรู้สึกของแววตามันต่างกันชัดเจน เขามองท่านด้วยความให้เกียรติ”

“ท่านชื่ออะไร”

“สมุทร”

ทิวาทิพย์ยิ้ม แม้เธอจะถูกจับกุมตัวอยู่แต่เธอก็ยังมีท่าทีผ่อนคลายไม่หวาดกลัว ถึงขนาดกล้ารับผลส้มที่เหนือภพยื่นให้

“ในบรรดาพวกท่านทั้งหมด ท่านดูผ่อนคลายเกินไป เราท่านหญิงจึงเลือกให้ สาวใช้ของเราโจมตีท่านเพื่อเปิดทาง”

คำตอบของทิวาทิพย์ทำให้เหนือภพที่พึ่งหยิบยื่นส้มให้นางอึ้ง เขาไม่คิดว่าความผ่อนคลายที่เขาเรียนรู้มาจากความยียวนของขุนภาม จะกลายเป็นเภทภัยขนาดนี้ แต่เขายังไม่เข้าใจ

“ศิษย์พี่รองของข้าดูท่าทางสบาย ๆ กว่าข้าตั้งเยอะ ทำไมเจ้าไม่โจมตีเขาล่ะ”

เหนือภพมองวัฏจักรที่กำลังยืนกินผลส้มอยู่โดยไม่สนใจคุยกับใคร เห็นได้ชัดเจนว่าเขาดูสบายใจกว่าทุกคนในห้องนี้

“เราไม่ใช่คนโง่ เขาคือวัฏจักร ต่อให้เราใจกล้าเพียงไหน ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้เขา”

“ไร้สาระเป็นบ้า”

“ท่านยังไม่บอกเลยว่าท่านรู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ หรือมีใครนำความลับนี้ไปบอกท่าน”

“ข้าไม่รู้อะไรทั้งนั้น ที่ข้าพูดไปตอนนั้น ข้าแค่รู้สึกว่าคำพูดของเจ้าอ้วนนั้นมันย้อนแย้งต่างหากล่ะ”

“ข้าหรอ”

ขุนนางหลวงชี้หน้าตัวเองอย่างสงสัย แต่ดูเหมือนทุกคนจะพยักหน้าพร้อม ๆ กัน พอนึกไปนึกมาสิ่งที่ขุนนางพูดนั้นก็ย้อนแย้งจริง ๆ เหนือภพเริ่มอธิบายสิ่งที่ตัวเองเข้าใจออกไป ด้วยประโยคคำพูดที่ว่า

‘ให้คนของข้าออกไปก่อนได้หรือไม่ ข้าไม่อาจปล่อยให้เรื่องนี้แพร่งพรายออกไป’

“ปัญหามันอยู่ที่คำว่า ‘ข้าไม่อาจปล่อยให้เรื่องนี้แพร่งพรายออกไป’ พวกเจ้าไม่คิดว่ามันแปลกหรอก เจ้าอ้วนนั้นไม่อยากให้เรื่องนี้แพร่งพราย แต่กลับให้พวกเจ้าออกไป ข้าคิดว่าระหว่างที่ข้าคุยกับเจ้าอ้วนนั้น พวกเจ้าทั้งหมดก็คงเอาเรื่องที่เกิดขึ้นไปบอกแก่ผู้อื่น ผู้อื่นรู้ว่าข้ากับมันคุยกันก็คงคาดเดาเรื่องราวต่าง ๆ ได้แน่ ข้าเลยแย้งไงว่าข้าไม่ได้โง่ จริง ๆ ข้าจะบอกด้วยซ้ำว่าให้พวกเจ้าอยู่ที่นี่ล่ะ ดูจะปลอดภัยกว่า แต่เจ้าดันโจมตีข้าซะก่อนเรื่องก็เลยเถิดมาแบบนี้”

เอิ่ม…

คำอธิบายของเหนือภพทำเอาทุกคนหมดคำพูด เขาไม่ได้รู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของทิวาทิพย์เลยแม้แต่น้อย ทิวาทิพย์ยิ้มอย่างระอาใจ หากเธอยอมให้เรื่องดำเนินไปตามที่เหนือภพต้องการ บางทีสถานการณ์มันคงจะดีกว่านี้

“งั้นพวกเราก็มาเข้าเรื่องกันเถอะ หากท่านต้องการรายชื่อผู้ที่ต้องการบีบบังคับให้ท่านตาย เรายอมซื้อแร่หกสีในราคาก้อนละสิบล้านเหรียญทอง”

ทิวาทิพย์พูดจบก็สังเกตเห็นใบหน้าหงิกงอของเหนือภพ เธอจึงรีบเสนอข้อเสนอต่อไปในทันที

“แต่หากว่าไม่ เราก็ยอมซื้อในราคาก้อนละสิบสองล้านห้าแสน เราให้มากกว่าราคาทั่วไปของโรงประมูลห้าแสนเลยนะ ท่านคิดว่าเป็นไง”

“ก้อนละยี่สิบล้าน”

“นี่ท่าน ท่านไม่คิดว่ามันจะมากเกินไปงั้นหรอ”

“นั่นมันเป็นปัญหาของเจ้า อย่าลืมว่าสาวใช้ของเจ้าทำอะไรไว้กับข้า”

เหนือภพพูดจบก็ชี้มาที่คอตัวเอง มันยังคงมีรอยแดงและรอยเลือดแห้งกรัง

“เจ้าจะซื้อหรือไม่ข้าไม่บังคับ หากไม่ซื้อข้าก็จะไปที่อื่น ส่วนรายชื่อข้าหาเองได้ ข้าไม่ถือว่ามันเป็นข้อแลกเปลี่ยน และข้าก็ยังคงยืนยันคำเดิมที่เพื่อนของข้าพูด หากเจ้าไม่ร่วมมือกับข้า ข้าย่อมมีวิธีทำให้พวกเจ้าเผชิญกับปัญหา”

สีหน้าของทิวาทิพย์เคร่งขรึมลงเมื่อเห็นท่าทีของวัฏจักร แม้เขาจะไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรนอกจากกินส้มผลน้อย แต่จังหวะที่เหนือภพพูดจบวัฏจักรก็ทำบีบบี้เมล็ดส้มด้วยสองนิ้ว เมล็ดส้มแข็งแตกละเอียดคามือของเขา นี่เป็นคำขู่ แต่ยี่สิบล้านต่อก้อนเป็นราคาที่มากเกินไป แม้แร่หกสีในตลาดจะมีราคาเริ่มต้นไม่ต่ำกว่าหนึ่งล้านเหรียญทองก็จริง และในช่วงเวลานี้ราคาพุ่งขึ้นมาสิบเท่า แต่มันก็ไม่ควรเกินก้อนละยี่สิบล้านเหรียญทอง

“เราให้ได้แค่สิบสามล้าน”

“สิบแปดล้าน”

เหนือภพสวนกลับทันควัน สมุทรได้แต่ยืนยิ้มน้อย ๆ แล้วก็ส่ายหัวอย่างระอาใจ นี่เขาคงไม่จำเป็นต้องเหนื่อยเองแล้วสินะ

ทิวาทิพย์ขมวดคิ้ว นิ้วเรียวยาวบีบผ้าเช็ดหน้าแน่น เธอมีเงินมากพอที่จะจ่าย แต่ว่าการประมูลคิวปรมาจารย์ศาสตรายังไม่จบ ตอนนี้ราคาประมูลก็ปาเข้าไปสี่สิบล้านแล้ว หากเธอทุ่มเงินไปกับการซื้อแร่หกสีสองก้อนก็เกรงว่าเธอจะไม่มีเงินมากพอไปลงชิงประมูล

“สิบห้าล้าน เราให้ได้เพียงเท่านี้ หากไม่ได้เราก็ไม่เอาท่านไปขายให้ผู้อื่นเถอะ”

ทิวาทิพย์เสียงสั่น นี่ก็เป็นราคาที่เธอสู้ไหว

“ตกลง”

เหนือภพยิ้มกว้างก่อนจะเอาแร่หกสีมาโยนสลับไปมาต่อหน้าทุกคน ทิวาทิพย์จัดการเรื่องเงินเพียงไม่นาน จากนั้นเธอก็ยื่นป้ายสีทองเคลือบแร่ห้าสีเพื่อแลกเปลี่ยนกับแร่หกสีสองก้อน ป้ายสีทองพิเศษนี้มีวงเงินอยู่ถึงสามสิบล้านเหรียญทอง

เหนือภพโบกมือลา ขณะออกมาจากห้องรับรอง โดยมีทิวาทิพย์ยืนหน้าบึ้งเมินหน้าหนี เธอไม่อยากพบเจอเหนือภพอีก

“โรงเรียนเซนต์อมตะ ให้ราคา 41,200,000 เหรียญทอง”

“บ้านเพชรการเวก ให้ราคา 41,300,000 เหรียญทอง”

“องค์รัชทายาทแคว้นอมตะนคร ให้ราคา 41,400,000 เหรียญทอง”

“ตระกูลนาคราช ให้ราคา 41,500,000 เหรียญทอง”

“เจ้าพระยากรมคลังเมืองนิรันดร์กาลเคลื่อนไหวแล้วค้า ท่านให้ราคา 41,600,000 เหรียญทอง การประมูลในนี้ดูท่าจะยืดยาวกว่าที่คิดนะคะเนี่ย ท่านปรมาจารย์ศาสตราบอกว่า การเพิ่มเงินที่หนึ่งแสนเหรียญทองคงน้อยเกินไปแล้ว ทำให้ท่านเสียเวลา ดังนั้นทางเราจะขอเพิ่มราคาประมูลเป็นทีละหนึ่งล้านเหรียญทองค้า”

เหนือภพยิ้มกว้างเมื่อได้ยินว่าการประมูลยังไม่สิ้นสุด ก่อนจะพาสมุทรและวัฏจักรไปยังจุดหมายต่อไป เหนือภพเลือกปรับวิธีใหม่ เขาไม่อยากบุกเข้าไปแล้วเกิดเรื่องแบบในห้องรับรองของเจ้าพระยากรมการคลังอีก เพราะแต่ละฝ่ายย่อมมีตัวตนไม่ธรรมดา

ดังนั้นเขาจึงใช้วิธีการส่งจดหมายเสนอขายผ่านนกอาคมแทน หากใครยินดีซื้อขายเขาถึงจะไปขายด้วยตัวเอง แน่นอนว่าการขายในครั้งหลัง ๆ ผู้รับหน้าคือสมุทรที่มีทักษะการพูดที่สามารถปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ จะขายถูกหรือขายแพงขึ้นอยู่กับความต้องการอีกฝ่าย

เหนือภพต้องการขายแค่พอประมาณ เขาไม่ต้องการขายแร่หกสีออกไปทั้งหมด เขาขายแค่สิบก้อนให้กับห้าตระกูลที่มีฐานะ ที่เหลือเขาตั้งใจเก็บเอาไว้เพื่อใช้ทำอาวุธกับชุดเกราะ และเผื่อเอาไว้ขายกินในยามขัดสน ดังนั้นจำนวนแร่หกสีที่เขามีจึงแบ่งบางส่วนไว้กับตัวเอง ที่เหลือฝากไว้ที่แมวดำ ก่อนจะปล่อยให้มันไปมีอิสระตามยถากรรม โดยได้แต่หวังว่ามันจะไม่ถูกใครจับไป

การประมูลเริ่มมาถึงจุดแตกหักขึ้นเรื่อย ๆ จำนวนเงินมากขึ้นจนบางตระกูลเริ่มถอนตัว แม้พวกเขาจะมั่งคั่ง แต่หากสูญเสียเงินก้อนโตไปก็อาจจะเป็นปัญหาในระยะยาวได้ ดังนั้นเมื่อมูลค่าของเงินมากขึ้นถึงจุดจุดหนึ่ง จำนวนตระกูลที่ยังกล้าโยนผ้าต่อราคานั้นก็ยิ่งน้อยลง มีเพียงแค่ตระกูลนาคราช ตระกูลสุบรรณเวนไตย และตัวแทนองค์เจ้าแคว้นอมตะเท่านั้นที่ยังสู้ไหว

“ปิดรายการแล้วคร้า ! ขอแสดงความยินดีกับองค์เจ้าแคว้นอมตะ ที่ได้รับคิวสร้างอาวุธ ของท่านปรมาจารย์ศาสตรา….ทางเราขอปิดการประมูลในค่ำคืนนี้ ขอให้ทุกท่านเดินทางกลับโดยสวัสดิภาพ ฝันดีราตรีสวัสดิ์ค่ะ พบกันใหม่ในรอบการประมูลเช้าวันพรุ่งนี้ โดยจะเริ่มจัดในอีกห้าชั่วโมง”

เสียงเจื้อยแจ้วของพิธีกรงานประมูลยังคงดังอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ผู้ชมจากแต่ละตระกูลต่างทยอยกันเดินออกจากอาคารประมูล มีทั้งที่มีใบหน้าเบิกบานและก็ผิดหวัง คนที่ดูมีความสุขมากที่สุดก็คงไม่พ้นเหนือภพ เขากอบโกยเหรียญทองมามากถึงร้อยหกสิบกว่าล้านเหรียญทอง แม้จะมีเงินมหาศาลแต่เขาก็ไม่ต้องลำบากหาที่เก็บ เพราะป้ายเหรียญทองมูลค่าสูงเพียงแค่กำมือเดียวก็เพียงพอแล้ว นี่สินะใคร ๆ ถึงชอบพูดถึง ‘กำมือเดียวพลิกปฐพี’

เหนือภพเดินเคียงข้างสหายไปอย่างสบายใจ ภายในกายเขาเริงร่าราวกับได้กินยาบำรุงชั้นเลิศนับร้อยไห แต่แล้วเขาก็หยุดชะงักพลางหันมาคุยกับสมุทร

“สมุทร นายกลับไปก่อนเลย พอดีข้ามีธุระที่ต้องจัดการนิดหน่อย”

สมุทรเองลังเลอยู่นิดหนึ่ง เขาทำท่าจะถาม แต่ก็เปลี่ยนใจไม่ถามเสียดีกว่า เหนือภพมักจะทำเรื่องบ้าบอเหนือความคาดหมาย บางทีหากเขาไม่รับรู้ตั้งแต่แรกอาจจะเป็นเรื่องดีกว่า

“เอายังงั้นก็ได้ งั้นเจอกันพรุ่งนี้ตอนบ่ายโมงที่เหลาอิ่มทรัพย์ละกัน ซวยซวยนัดเจอพวกเราที่นั่น”

เหนือภพพอจะรู้มาบ้างแล้วว่าสมุทรอาศัยอยู่กับซวยซวย แต่เขาก็ยังไม่มีโอกาสไปเจอสหายเก่าอีกคน สงสัยว่าเขาต้องไปสักครั้ง ไหน ๆ เหลาอิ่มทรัพย์ก็อยู่ไม่ไกลจากโรงหมอที่ไร้ชื่อรักษาตัวอยู่ ไม่รู้ว่าเฮงเฮงคอยดูแลจะเป็นยังไงบ้างแล้ว

‘ไร้ชื่อนี่ก็ช่างฟื้นตัวช้าเสียจริง พิลึก’

เหนือภพคิดอยู่ในใจ โดยไม่ทันคิดว่าความจริงแล้วตัวเขาเองต่างหากที่ฟื้นตัวเร็วเกินไป ซึ่งมันผิดปกติมนุษย์ทั่วไป เหนือภพกะพริบตาสองครั้งก่อนจะหันมาตอบสมุทร

“ได้ งั้นพรุ่งนี้เจอกัน”

เหนือภพกล่าวลา พลางมองจนสมุทรเดินลับสายตาไป จากนั้นเขาก็มองมาทางวัฏจักร

“ศิษย์พี่รอง ท่านก็กลับเถอะข้าไม่เป็นไร ส่วนเรื่องคนที่ใส่ความข้า ข้าก็ขอฝากพี่ด้วย”

วัฏจักรพยักหน้าก่อนจะหายไปด้วยอาคมย่นระยะทางทิ้งไว้เพียงเหนือภพคนเดียวตรงถนนทางเดิน

เหนือภพเงยหน้ามองฟากฟ้าในค่ำคืนนี้ ก่อนจะเลื่อนสายตาไปบนทางเดินอีกฝั่งของอาคารประมูล พลางจับจ้องไปที่กลุ่มสาวงามของหอหมื่นบุปผาที่กำลังพากันลงไปยังชั้นล่างเพื่อกลับที่พักของพวกนาง

พราวจันทร์กำลังพูดคุยหยอกล้อกับพี่น้องในหออยู่ดี ๆ ก็สัมผัสได้ถึงสายตาปริศนาที่จ้องมาที่เธอเขม็ง ความรู้สึกของคนคนนั้นต้องแรงกล้ามากจนเธอสามารถรับรู้ได้ เธอจึงหันกลับไปมอง ทว่าปฏิกิริยาของเธอช้าไปก้าวหนึ่ง สิ่งที่เห็นในครรลองสายตาจึงมีทางเดินฝั่งตรงข้ามที่เต็มไปด้วยผู้คนทั่วไป

“พี่คะ มีอะไรหรือเปล่าคะ”

“เปล่า กลับกันเถอะ พรุ่งพวกเราต้องทำหน้าที่สำคัญ”

“ค่ะ แต่พี่สัญญากับข้าแล้วน้า ว่าไม่ให้ข้าไป”

“แน่นอนสิ”

จากนั้นพราวจันทร์ก็พากลุ่มสาวงามทั้งหมดกลับที่พัก

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด