ตอนที่ 94 หน้าเลือดเจอหน้าเลือดกว่า
ณ ชั้น 5 หน้าห้องรับรองของเจ้าพระยากรมคลังเมืองนิรันดร์กาล
“มาหาใคร !”
ทหารองครักษ์พิทักษ์ประตูทั้งสองนายยกดาบไขว้กันกั้นขวางไว้ แล้วตวาดเสียงลั่นอย่างดุดัน ทว่าเมื่อองครักษ์ทั้งสองสังเกตเห็นวัฏจักรยืนอยู่ในกลุ่มผู้บุกรุก สีหน้าและน้ำเสียงของพวกเขาก็อ่อนลงจนกลายเป็นสุภาพปนหวาดกลัว
“...ขะ ขอรับ วะ วัฏจักร”
น้ำเสียงตะกุกตะกักขององครักษ์บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าชื่อเสียงของวัฏจักร เหมาะสมแล้วในการเบิกทางติดต่อสื่อสาร
“ศิษย์พี่รอง ท่านนี่สุดยอด”
เหนือภพยกนิ้วโป้งให้วัฏจักร ขณะก้าวเดินเข้าไปภายในห้องรับรองขุนนางเมืองนิรันดร์กาล โดยที่องครักษ์ทั้งสองไม่กล้าขัดขวางอีก พวกเขารู้ดีว่าต่อให้พวกเขาขัดขวางอย่างสุดกำลัง สุดท้ายกลุ่มของเหนือภพก็คงเข้าไปข้างในได้อยู่ดี ด้วยวิธีการหลากหลายที่นักฆ่าเบอร์หนึ่งสามารถเลือกใช้ และวิธีที่ว่าพวกเขาทั้งสองย่อมไม่อยากเห็น
“พวกเจ้าเข้ามาได้ยังไง ใครอนุญาตให้เจ้าเข้ามา”
องครักษ์ที่ประจำอยู่ภายในห้องรับรองมีท่าทีขึงขัง ชักอาวุธออกมาเตรียมปะทะ หนึ่งในนั้นรีบประกบคู่แล้วใช้ร่างกายของตนบังเจ้านายเอาไว้ แม้พวกเขาจะเห็นชัดว่าผู้ที่มาคือวัฏจักร ทว่าพวกเขายังคงแน่วแน่ในการปฏิบัติหน้าที่ พวกเขาไม่ใช่องครักษ์ชั้นเลวที่รักตัวกลัวตาย
เหนือภพกวาดตามองเข้าไปในห้องรับรอง สายตาเขาสอดส่ายไปปะทะกับสตรีงดงามสองนาง พวกเธอแต่งกายงดงามคล้ายหญิงงามเมือง ทันทีที่พวกเขาเข้ามาพวกเธอก็แสดงท่าทีหวาดกลัว กรีดร้อง และรีบวิ่งเข้าไปหลบมุมทันที
“พวกเจ้ากล้าดียังไง ถึงกล้าเข้ามาที่นี่ รู้ไหมว่าพวกข้าเป็นใคร”
ขุนนางหลวงกัดฟันกรอด
“หากข้าไม่มาแล้วใครจะมาเล่า”
เหนือภพละสายตาจากสองสาว จากนั้นก็ก้าวเท้าเข้ามาขยับเก้าอี้ที่เคยเป็นของขุนนางหลวงผู้นี้ให้วัฏจักรนั่ง ส่วนตัวเขาเองไม่ได้สนพิธีรีตองอะไร เขากวาดของบนโต๊ะไปกองรวมอยู่ที่เดียวกันฝั่งหนึ่ง ก่อนจะนั่งลงบนโต๊ะส่วนที่ว่างพลางหยิบเอาขอว่างที่วางอยู่บนนั้นมากิน โต๊ะไม้เนื้อหนาเกิดรอยปริร้าวขนาดใหญ่ แต่มันก็ยังคงสภาพไว้ได้ แสดงถึงคุณภาพที่ไม่ธรรมดา
ส่วนสมุทรมองไปยังสองสาวที่พากันเงียบเสียงร้องลงด้วยความรู้สึกประหลาด ก่อนจะพยายามใช้สายตามองไปทิศทางอื่น เขาไม่อยากรู้อยากเห็นอะไรทั้งนั้น แค่วัฏจักรคนเดียวก็ทำให้เขาแทบจะก้าวเดินไม่ออก เขาคาดไม่ถึงว่าหนึ่งในตัวอันตรายที่ขึ้นป้ายจับตายตลอดกาลของราชสำนักอย่างวัฏจักรจะเป็นศิษย์พี่ของเหนือภพ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเหนือภพถึงกล้าก่อเรื่องใหญ่แบบนี้ เชื้อไม่ทิ้งแถวจริง ๆ
“ใต้เท้า มันคือเหนือภพ”
องครักษ์คู่กายขุนนางหลวงพูดโพล่งเมื่อนึกออกว่าเหนือภพเป็นใคร
“ใคร !”
แต่ผู้ที่เป็นนายกลับยังนึกไม่ออก องครักษ์กระซิบข้างหูผู้เป็นนายเพื่อเตือนความจำ และทันทีที่ขุนนางหลวงผู้นี้ได้ฟังก็เปิดตากว้าง อ้าปากค้าง
เหนือภพย่นคิ้วมองท่าทีขุนนางหลวงอ้วนฉุผู้นี้เปลี่ยนไป ใบหน้าของตาอ้วนเริ่มปรากฏเหงื่อซึม ความสงสัยของเหนือภพอยู่ได้ไม่นานเมื่อได้ยินเสียงเย็นเฉียบของวัฏจักรเอื้อนเอ่ยกับเขาอย่างเนิบช้าว่า
“มันบอกว่า เจ้าคือคนที่นายของมันลงนามให้ประหารชีวิต”
เหนือภพจ้องไปยังขุนนางหลวงที่พยายามหลบหน้าหลบตา เดิมทีจุดมุ่งหมายของเขามีเพียงแค่ขายแร่หกสีแล้วก็จากไป แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้จะมีเรื่องที่ทำให้เขาต้องอยู่นานสักหน่อยแล้ว สายตาเหนือภพจับจ้องไปยังขุนนางอ้วนฉุที่ยังคงสาดคำพูดอันเกรี้ยวกราดใส่เขา
“คนที่เสียหายคือข้า พวกเจ้ามันบัดซบ คิดจะมาสังหารข้ารึ ฝันไปเถอะ วันนี้ข้าจะให้พวกเจ้าได้ลิ้มรสความตายจากข้า”
ขุนนางกองคลังใช่ว่าจะเป็นเพียงแค่บัณฑิตที่มีแต่ความรู้ ปราณอาคมสีทองเปล่งประกายออกมาจากร่างของขุนนางหลวง บ่งบอกระดับชั้นแน่ชัดว่าเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าฮันเตอร์แรงค์ D ช่วงกลางเลย แต่ต่อให้ขุนนางหลวงผู้นี้กินดีเสือดีมังกรมาเขาก็เป็นเพียงแค่ลูกแกะที่ห่มหนังเสือต่อหน้าวัฏจักรเท่านั้น
ตุบ !! โครม
ยังไม่มีใครทันเห็นวัฏจักรขยับกายด้วยซ้ำ แต่ร่างของขุนนางหลวงกับองครักษ์ผู้ซื่อสัตย์สองนายก็กระแทกเข้ากับผนังห้องรับรอง เสียงดังโครม !! เสียแล้ว เสียงนั้นดังพอที่จะทำให้ ห้องรับรองของตระกูลอื่นได้ยิน เพียงแต่พวกเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น และก็ไม่สนใจอยากจะรู้ด้วย เพราะการประมูลคิวสร้างอาวุธจากปรมาจารย์ศาสตราดึงความสนใจพวกเขาไปทั้งหมด ทำให้เสียงที่เกิดขึ้นนี้เป็นเพียงอากาศธาตุที่ไม่มีใครสนใจ
สมุทรขมวดคิ้ว ความรู้สึกไม่ถูกต้องบางอย่างเริ่มชัดเจนขึ้นในใจเขา เขามองไปยัง ขุนนางหลวงอ้วนฉุที่ดูมีรัศมีเป็นผู้ดี มีตำแหน่งหน้าที่ใหญ่โต ทว่าเขากลับไม่เหมือนคนที่จะได้รับตำแหน่งขุนนางกรมการคลังที่แสนสำคัญของเมือง
“ดูเหมือนเจ้ากับข้าต้องคุยกันยาวแล้วล่ะ”
เหนือภพก้าวเดินเข้าหาขุนนางหลวง พลางนั่งยอง ๆ ข้างหัวของขุนนาง เขาจ้องขุนนางด้วยสายตาจับผิด
“นักฆ่าที่มาฆ่าข้า เป็นฝีมือเจ้างั้นเหรอ ?”
สายตาของเหนือภพนับวันยิ่งคล้ายวัฏจักรเข้าไปทุกที มันแฝงไปด้วยความเย็นชา ความเลือดเย็นที่พร้อมจะปลิดชีวิตใครก็ได้ ขอเพียงแค่เขาตัดสินใจเท่านั้น
เมื่อขุนนางหลวงได้อยู่ต่อหน้าผู้ที่สามารถเอาชีวิตเขาได้ง่าย ๆ เขาก็ไม่อาจปิดบังความกลัวที่อยู่ในใจ สายตาของเขากวาดมองไปทั่วเพื่อข้อความช่วยเหลือ และแล้วสายตานี้ก็จับจ้องไปหญิงสองนาง พอหญิงสองนางรับรู้ พวกเธอก็พยายามจะก้าวเดินหนีไป แต่พวกเธอเดินได้เพียงก้าวเดียวเท่านั้นก็ถูกดาบของวัฏจักรเขวี้ยงปักเข้ากับกำแพงขวางเส้นทางเดินหนีของพวกเธอเอาไว้
พอขุนนางหลวงเห็นแผนการถูกวัฏจักรเปิดเผยออกไปแบบนั้น ความกลัวที่ข่มอยู่ในใจของขุนนางหลวงจึงเปิดเผยมากขึ้น
“ไม่ ๆ ไม่ใช่ข้า ข้าไม่ได้ทำ ข้าก็แค่ทำตามคำสั่งเบื้องบน”
“ใคร”
เหนือภพรับหน้าที่พูดคุยแต่เพียงผู้เดียว เพราะวัฏจักรไม่ใช่คนชอบพูด ส่วนสมุทรก็มีหน้าที่ต่อรองทางการค้าเท่านั้น เรื่องโหดร้ายแบบนักเลงอาจจะไม่เหมาะกับคุณชายอย่างเขาสักเท่าไหร่
“ข้าไม่รู้ เขาบอกว่าแค่ทำ เขาก็จะให้ทองแก่ข้า เท่านั้น จริง ๆ”
“โอ้ อย่างนั้นเจ้าก็รวยมากสินะ”
“ใช่ ๆ ข้ามีเงิน ไว้ชีวิตข้าแล้วข้าจะมอบเงินให้แก่เจ้า”
เหนือภพยิ้ม ท่าทีของเขาเปลี่ยนไปขณะช่วยประคองร่างขุนนางลุกขึ้นจากพื้น ท่ามกลางสีหน้าของขุนนางหลวงที่ทั้งหวาดกลัวและก็แปลกใจ เขาทำตัวไม่ถูกกับการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันของเหนือภพ ทำให้เกร็งหายใจไม่ทั่วท้อง สายตาล่อกแล่กพยายามเหลือบมองเหนือภพหลายครั้งเพื่อหยั่งดูท่าที
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูดังขึ้นแทรกบรรยากาศประหลาด ทำให้สติของขุนนางหลวงกระเจิง เขาส่งเสียงร้องอย่างตกใจ
“อย่าฆ่าข้า….”
แต่แล้วน้ำเสียงของเขาก็ขาดหายไปกะทันหัน เมื่อเขาเจอสายตาไม่พอใจของวัฏจักรมองมา ก่อนที่วัฏจักรจะตวัดสายตามองสองสาวเพื่อย้ำเตือนอะไรบางอย่าง
เหนือภพรีบเปิดประตูออก เขาพบว่าองครักษ์เฝ้าหน้าประตูเป็นคนเคาะและสาเหตุที่เคาะก็เป็นเพราะพวกเขาอยากบอกว่า ‘มีแมวดำมาหา’ นั่นทำให้เหนือภพยิ้มกว้างเรียกให้แมวดำเข้ามาในห้องโดยไม่ลืมกำชับองครักษ์เฝ้าหน้าประตูทั้งสองว่า ‘อยู่เงียบ ๆ อย่าไปไหน’ คำพูดเพียงเท่านี้ก็ทำให้องครักษ์ทั้งสองไม่กล้าขยับ ไม่รู้ว่าพวกเขายังคงรักชีวิตของตัวเอง หรือยังคงรักในตำแหน่งหน้าที่
“ท่านต้องการอะไรกันแน่ หากข้าช่วยได้ข้าก็จะช่วย”
ช่างสมกับที่ขุนนางหลวงมีตำแหน่งหน้าที่ใหญ่ โต เขารู้สถานการณ์ รู้ว่าควรจะพูดอะไรหรือควรจะทำอะไรในสถานการณ์ไหนเพื่อให้ตัวเองรอด
เหนือภพลูบหัวแมวดำอย่างเอ็นดูก่อนจะค้นแร่หกสีออกมาจากกระเป๋าสัมภาระบนตัวแมวดำ ทันทีที่เหนือภพหยิบเอาแร่หกสีออกมาก็ทำให้สตรีสองนางที่อยู่อย่างเงียบ ๆ มาตลอดตรงมุมห้องเบิกตากว้าง รวมถึงขุนนางหลวงเช่นกัน สายตาความละโมบจากหลาย ๆ คนเผยออกมาให้เห็นมีทั้งเด่นชัดและซ่อนแอบ
“เข้าเรื่องกันดีกว่า ข้ายอมปล่อยวางเรื่องความแค้นได้ แต่เรื่องของเงิน ๆ ทอง ย่อมต้องมาก่อน”
“เงื่อนไขอะไร”
ขุนนางหลวงยังคงรู้ว่าควรจะพูดอะไร หากเขายอมรับเงื่อนไขของเหนือภพ เขาก็จะปลอดภัย
“ง่าย ๆ ไม่ซับซ้อน เจ้าแค่บอกรายชื่อคนที่ใส่ความข้ามาให้หมด แล้วข้าจะพิจารณาอีกทีว่าข้าควรจะขายแร่หกสีสองก้อนนี้ให้เจ้าหรือเปล่า”
“เรื่องนี้….”
ขุนนางหลวงมีท่าทางลังเล เขาไม่ใช่คนซื่อสัตย์อะไรนัก มันง่ายมากที่จะบอกรายชื่อ แต่มันไม่ง่ายเลยที่จะหลีกเลี่ยงผลกระทบที่ตามมา จุดจบของเขาคือความตายสถานเดียว
แน่นอนว่าขุนนางหลวงพยายามจ้องมองไปยังองครักษ์ทั้งสองของตน และหญิงงามทั้งสอง แววตาของเขาแสดงออกชัดเจนว่าไม่ไว้วางใจ หากเขาพูดออกไปเรื่องนี้ต้องถึงหูคนผู้นั้นแน่ ๆ
“เจ้าวางใจ ข้าย่อมไม่ทำให้เจ้าเดือดร้อนแน่”
เหนือภพพยายามปลอบด้วยความอ่อนโยน คล้ายกำลังหลอกล่อเด็กน้อย
“ข้าไม่ใช่คนรักตัวกลัวตาย”
“หรือเจ้าไม่ต้องการแร่หกสี”
“แน่นอนว่าข้าต้องการ แต่ข้าไม่อาจบอกได้”
เหนือภพกำหมัดแน่น เขากำลังจะอ้าปากเอ่ยคำผรุสวาทออกไป แต่โชคดีที่สมุทรก้าวเข้ามาขวางไว้ก่อนสมุทรยกมือห้ามเหนือภพโดยไร้คำพูด จากนั้นเขาก็หันกลับไปคุยกับขุนนางด้วยตัวเอง
“ใต้เท้าหากท่านไม่บอก พวกข้าก็สามารถไปถามจากผู้อื่นได้ ข้าคิดว่าแร่หกสีคงมีค่ามากพอที่จะทำให้ใครสักคนเปิดปาก เมื่อถึงตอนนั้นอย่าหาว่าพวกข้าไม่ไว้หน้าท่าน เพราะบางทีเพื่อทำให้ใครสักคนที่ให้ความร่วมมือกับพวกข้ารอด ข้าอาจจะให้ใต้เท้าเป็นแพะก็ได้ ท่านว่าจริงมั้ย”
ทักษะการข่มขู่อย่างนิ่ม ๆ ของสมุทรทำให้เหนือภพกับวัฏจักรถึงกับยกนิ้วให้ แม้สมุทรจะดูติ๋ม ๆ อัธยาศัยดี แต่เขากลับเหนือความคาดหมายสุด ๆ ทว่าสายตาของสมุทรไม่เพียงมองไปที่ขุนนางหลวง เขายังมองไปทางองครักษ์ทั้งสองและสองสามงามราวกับต้องการย้ำเตือนบางอย่าง
“เพื่อนข้าพูดถูก หากเจ้าไม่บอกข้าก็แค่ไปถามคนอื่น”
เหนือภพย้ำคำพูดของสมุทร ทำให้ประโยคของสมุทรดูหนักแน่นขึ้น จนสุดท้ายคนที่รักตัวกลัวตายอย่างขุนนางหลวงก็ไม่อาจปฏิเสธ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะผลประโยชน์หรือเพราะรักตัวกลัวตายกันแน่
“ได้ ว่าตามนั้นแต่เจ้าต้องขายแร่หกสีให้ข้า สิบล้าน ไม่มากกว่านี้ ไม่งั้นข้าจะไม่บอกรายชื่อ”
สมแล้วที่เป็นพ่อค้าประจำราชสำนัก พวกเขาล้วนเขี้ยวลากดินไม่ว่าจะสถานการณ์ไหน ผลประโยชน์เป็นดังลมหายใจ
“ไม่”
แน่นอนว่าสำหรับเหนือภพแล้วเรื่องผลประโยชน์ก็ไม่ต่างเส้นเลือดหล่อเลี้ยงร่างกาย เขาไม่มีทางอ่อนข้อหรือยอมเสียเปรียบแม้แต่น้อย เมื่อเขารู้สึกว่ายอมไม่ได้ เขาก็ไม่รอให้สมุทรได้ออกหน้าต่อรองอย่างที่ตกลงกันไว้
“ก้อนละสิบห้าล้านขาดตัว เจ้าไม่มีสิทธิ์มาต่อรองกับข้า”
สายตาของขุนนางหลวงกวาดมองไปรอบ ๆ เขาครุ่นคิดอย่างหนักก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า
“ให้คนของข้าออกไปก่อนได้หรือไม่ ข้าไม่อาจปล่อยให้เรื่องนี้แพร่งพรายออกไป”
ขุนนางหลวงยังคงต่อรอง
“ไม่ เจ้าคิดว่าข้าโง่หรือไง เอ๊ะ”
เหนือภพฉุกใจบางอย่าง แต่ทันทีที่คำพูดของเหนือภพหลุดออกจากปากไป ความรู้สึกไม่ถูกต้องของสมุทรก็ยิ่งชัดเจน เมื่อเขาเห็นการเคลื่อนไหวของหนึ่งในสตรีงามตวัดฝ่ามือไปทางเหนือภพอย่างรวดเร็ว
“เหนือภพ ระวัง !”
เล็บยาวแหลมทั้งสิบนิ้วของสตรีงามผมดำเคลือบปราณอาคมสีทองอร่ามตัดผ่านข้างลำคอของเหนือภพหมายปลิดชีวิต