บทที่ 69 : การดวลระหว่างลูกผู้ชายที่แท้จริง
กองทัพคนกว่า 2,000 คนยกทัพออกมาด้วยความเย่อหยิ่ง วิลเลียมชักนำพวกเขาให้ก้าวไปข้างหน้า ทุกครั้งที่พวกเขาก้าวเท้าจะเต็มไปด้วยจิตวิญญาณในการต่อสู้พร้อมกับเสียงคำรามแห่งความโกรธเกรี้ยว
เมื่อขบวนหยุดลง
ราวกับกองทัพทั้งหมดได้ระเบิดออก พลังการต่อสู้ที่เปี่ยมไปด้วยความน่าเกรงขามถูกปลดปล่อยไปทั่วบริเวณ ทุ่งหญ้าภายระยะ 500 เมตรล้วนกลายเป็นไอในทันที ไม่เหลือร่องรอยแม้แต่น้อย
ฉากนี้ทำให้ผู้คนในเผ่าโถวเหยินหวาดกลัว พวกเขาต่างกลืนน้ำลายไปตามๆกัน บางคนถึงกับเริ่มแทะเล็มหญ้าไปเงียบๆ รอวันที่ที่กองทัพแห่งรุ่งอรุณจะปฏิบัติกับพวกเขาเหมือนกับวัวธรรมดา
พวกเขาเป็นเพียงแค่เผ่าเล็กๆ ทหารส่วนใหญ่อายุยังน้อย กองทหารปกติไม่ได้รับการฝึกอบรมที่พิเศษ ไม่มีใครรู้ว่ามีโถวเหยินกี่คนที่สามารถถืออาวุธได้
อย่างไรก็ตาม
เสียงคำรามของวัวดังออกมาจากท้ายขบวนเผ่าโถวเหยิน
ทั้งเผ่าตกอยู่ในความเงียบ
พวกเขาประหลาดใจ ก่อนจะเปิดทางและมองผู้นำด้วยความเคารพ
เขาเป็นโถวเหยินที่ตัวใหญ่และสูง แข็งแกร่งและมีกล้ามเนื้อ มีแขนและกำปั้นที่แข็งดั่งหิน เขาค่อยๆเดินออกมาด้วยก้าวย่างที่หนักอึ้ง ทำให้ผู้คนรู้สึกราวกับหัวใจของพวกเขากำลังสั่นเทา
วิลเลียมเลิกคิ้ว ชื่นชมโถวเหยินผู้นั้นเล็กน้อย พยักหน้าก่อนจะกล่าวว่า “อย่างที่คาดไว้เลย ชาวโถวเหยินผู้สามารถแบกม้าทั้งตัวได้ด้วยมือเดียว เมื่อยืนด้วยความสูงเกือบ 2.3 เมตรนั่นทำให้เรารู้สึกถูกกดขี่ไปเลย แต่เมื่อมองไปยังกล้ามเนื้อที่แสนพิเศษของเจ้าแล้ว เราก็เบาใจ เจ้าจะต้องทำงานในเหมืองแร่ได้ดีเป็นแน่!”
“ศักยภาพทางสายเลือดของเขาคือระดับอีปิค น่าเสียดายที่ดูเหมือนว่าจะควบคุมเขาไม่ได้ แต่เราแค่ต้องกำจัดเขาไปซะ!”
“ท่านลอร์ดแห่งเมืองรุ่งอรุณ ท่านนำทัพมาที่แห่งนี้แล้วยังแทรกซึมเข้ามายังอาณาเขตของข้า ท่านคิดว่าเผ่าโถวเหยินจะถูกรังแกได้ง่ายมากนักหรือ?” ผู้นำเผ่าโถวเหยินคำรามเสียงต่ำ ดูเหมือนว่าเขาจะไม่หวาดกลัวแม้แต่น้อย แม้ยามเผชิญหน้ากับกองทัพเหล็กที่นำโดยวิลเลียม
วิลเลียมเลิกคิ้ว เขายังไม่อยากโจมตี หลายครั้งที่เขาส่งคนไปเกลี้ยกล่อมพวกเขา แต่เผ่าโถวเหยินกลับไม่ยอมจำนน น่าเสียดายซะจริง คนกลุ่มนี้โง่พอที่จะปฏิเสธข้อเสนอที่มอบให้ วิลเลียมจึงไม่มีทางเลือกได้แต่นำกองทัพเข้าปราบปรามพวกเขา
“หึ เราจะไม่โจมตีผู้บริสุทธิ์ หากเจ้าไม่อยากให้คนของเจ้าต้องได้รับอันตราย เราสามารถมาประลองกันได้ หากเจ้าตาย คนของเจ้าก็มากับเรา แต่หากเราตาย กองทัพของเราก็จะถอนทัพออกไป”
เมื่อผู้นำโถวเหยินได้ยินดังนั้น เขาก็พ่นลมหายใจออกมาอย่างหนัก ดวงตาของเขาแดงก่ำขณะที่เดินมาตรงหน้าวิลเลียม เขาก้มศีษะก่อนจะหัวเราะอย่างเยือกเย็น “ข้ามีนามว่าฟิว (Fiu) โรสเซอร์ ตอนเจ้าตายก็อย่าลืมชื่อข้าไปเสียล่ะ จำไปจนถึงในนรก!”
“...” ใบหน้าของวิลเลียมเต็มไปด้วยความสับสน ฟิว(Few) โรสเซอร์ กุหลาบน้อยงั้นเหรอ?
“ฮึ่ม! หยุดเหลวไหลได้แล้ว”
“อย่าหาว่าเราโหดร้ายเกินไปแล้วกัน” วิลเลียมหรี่ตา ชักดาบออกอย่างดุเดือด พลังการต่อสู้สีน้ำเงินหมุนรอบตัวเขาอย่างต่อเนื่อง ก่อนจะระเบิดออกคล้ายกับเสียงฟ้าผ่า
แต่ก่อนที่เขาจะพุ่งเข้าไปต่อสู้นั้น
ฟิว โรสเซอร์ก็ยื่นมือออกมาเพื่อส่งสัญญาณให้หยุด ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด
วิลเลียมหยุดอยู่ตรงครึ่งทาง เขาเลิกคิ้วขึ้น ไม่เข้าใจการกระทำของฟิว โรสเซอร์
ไม่ได้มีเพียงเขาเท่านั้น แต่ผู้สังเกตการณ์อยู่รอบๆก็สับสนเช่นเดียวกัน
ฟิว โรสเซอร์หัวเราะเสียงเย็น เขาขว้างขวานเพลิงในมือทิ้งไป ก่อนจะหัวเราะ “ผู้ชายต้องต่อสู้อย่างผู้ชาย”
“โอ้? ไม่ใช้อาวุธงั้นเหรอ?” วิลเลียมพยักหน้า เขาเล่นเกมมาสิบปี แต่เขาไม่รู้ว่ามีประเพณีแบบนี้ในหมู่โถวเหยินมาก่อน แต่ไม่เป็นไร เขาโอเคที่จะทำตามความปรารถนาก่อนที่คนผู้นั้นจะตาย ตราบใดที่เขาสามารถนำโถวเหยินที่เหลือไปได้อย่างมั่นคง
ดังนั้น เขาจึงโยนดาบลงไปบนพื้น
แต่ในตอนที่เขาจะเข้าชาร์ตอีกครั้ง
มือของฟิว โรสเซอร์ก็ยกขึ้นมายับยั้งไว้อีกครั้ง วิลเลียมหยุด
เสียงตะโกนดังขึ้นมาจากทุกหนทุกแห่ง ทหารของเผ่าโถวเหยินเริ่มคำราม “โจมตีเขาเลย โจมตีเขา!”
อย่างไรก็ตาม!
ฟิว โรสเซอร์คือใครกัน?
“ข้าไม่ได้เป็นเพียงผู้นำของเผ่าโถวเหยินเท่านั้น แต่ยังเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในเผ่าอีกด้วย”
“ทำไมข้าต้องส่งคนไปตายเพื่อเจ้าด้วย? มีกี่เผ่าแล้วที่ต้องถูกเจ้าทำลายลง? ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา ลอร์ดของเมืองแห่งรุ่งอรุณได้ทำสงครามทุกด้าน และได้กำจัดกองกำลังจำนวนมากออกไป คนที่ท้าทายเขาด้วยตนเองจะต้องพบกับจุดจบ” ฟิว โรสเซอร์หัวเราะพอใจกับตนเอง
จากนั้นเขาก็ก้มศีรษะด้วยสีหน้าที่เย็นชา เขามองวิลเลียมด้วยความรังเกียจ “การต่อสู้ระหว่างลูกผู้ชายที่แท้จริงไม่ใช่การต่อสู้ตัวต่อตัว แต่มันคือ...”
“คืออะไร?”
“งัดข้อ!”
“...” ลอร์ดแห่งเมืองรุ่งอรุณ ผู้นำกลุ่มทหารรับจ้างรุ่งอรุณ เจ้าชายแห่งเอลฟ์ตระกูลแบล็คลีฟ วิลเลียม แบล็คลีฟพูดไม่ออก
ความเงียบคลืบคลานเข้ามาท่ามกลางผู้สังเกตการณ์สนามรบทั้งสองฝ่าย
ผู้คนในเผ่าโถวเหยินก็ตะลึงไปเช่นกัน งัดข้องั้นเหรอ! นี่เป็นสิ่งที่โถวเหยินหนุ่มสาวเล่นกันในบ้าน มันกลายเป็นการต่อสู้ไปเมื่อไหร่กัน?
โถวเหยินที่แท้จริงควรพกขวานและเล็งหัวศัตรูไม่ใช่หรอ?
วิลเลียมสูดหายใจเข้าลึกๆ เขามองไปยังคนผู้นั้น ฟิว โรสเซอร์ ก็ไม่ใช่ชื่อที่แย่อะไรนี่
“ถ้าอย่างนั้นก็มาสิ”
“อ้ะ….อ้ะ...โอ้ย… ข้าแพ้แล้ว” ตอนที่แขนของฟิว โรสเซอร์ถูกดันลง มันก็คล้ายราวกับลูกระเบิด ร่างกายของเขาระเบิดออก บินไปไกลกว่าสิบเมตร ไม่มีใครรู้ว่ามีกี่คนที่เขากระเด็นไปชนและทำให้คนเหล่านั้นบินไปตามๆกัน
เขากระอักเลือดออกมา ร่างกายของเขาสั่นเทาขณะที่ค่อยๆพยุงตัวเองลุกขึ้นราวกับเขาได้ใช้พละกำลังของเขาทั้งหมดไปแล้ว
ไม่ได้สนใจคนที่มาพยุงแขนเขาไว้ เขาพึ่งพาพละกำลังของตนเองและค่อยๆลุกขึ้นอย่างช้าๆ…
ในขณะเดียวกัน
เขาก็กระอักเลือดออกมาอีกครั้ง ร่างกายของเขาสั่นไหว แต่เขากลับยกนิ้วขึ้นชี้ไปยังวิลเลียม “ลอร์ดแห่งเมืองรุ่งอรุณ ความแข็งแกร่งของท่านช่างน่าประทับใจ ข้ายอมรับความพ่ายแพ้”
“หากท่านต้องการที่จะฆ่าข้า ข้าฟิว โรสเซอร์อยู่ที่นี่แล้ว หากคิ้วของข้าขมวดสักเส้นก่อนตาย ก็เขียนชื่อข้ากลับหัวได้เลย”
“แต่ถ้าท่านกล้าทำร้ายคนของข้าล่ะก็ แม้มีแต่ร่างกายที่ไร้ประโยชน์ ข้าก็จะสู้กับท่านจนตัวตาย”
ตาของวิลเลียมเบิกกว้าง เขาสับสนจนถึงขีดสุด
เขายังไม่ได้ออกแรงเลยด้วยซ้ำ โรสเซอร์คนนี้ก็กระเด็นไปด้วยตัวของเขาเอง?
นอกจากนี้ สารรูปของเขาก็ราวกับได้รับบาดเจ็บสาหัสและไม่สามารถรักษาให้หายได้ ช่างเป็นนักแสดงที่ดีอะไรเช่นนี้!
เขาเป็นลูกชายนักแสดงชื่อดังรึเปล่าน่ะ?
เป็นผู้ได้รับรางวัลอคาเดมี่ใช่มั้ย?
แต่ถึงแม้ว่าจะไม่รับรู้ถึงเรื่องที่น่าช็อค ผู้คนในเผ่าโถวเหยินก็ดูประทับใจจนน้ำตาแทบไหล เมื่อพวกเขามองไปยังท่านผู้นำ ย่อมมองด้วยความชื่นชม ไม่ว่ากลุ่มทหารรับจ้างรุ่งอรุณจะทำสิ่งใด ฟิว โรสเซอร์ก็ชนะใจพวกเขาไปแล้ว
วิลเลียมสูดลมหายใจเข้าลึกๆสองครั้ง ก่อนจะเดินเข้าไปยังฟิว โรสเซอร์ช้าๆ เขาไม่สนใจโถวเหยินพวกที่เหลือและยกมือขึ้น
ตกอยู่ในความเงียบงันกว่าสามวิและจากนั้น…
ฟิว โรสเซอร์สั่นไปทั้งร่าง เขาคุกเข่าลงบนพื้น ก่อนจะกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง
วิลเลียมยิ้มเยาะ เลือดของผู้นำโถวเหยินเหลือเพียง 10% ช่างยากเย็นเหลือเกิน
เขาวางมือลงบนไหล่ของฟิว โรสเซอร์ ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงเบาๆ “เรา… ขอชื่นชม… นิสัย… ที่กล้าหาญ… ปราศจากความกลัว… ความมุ่งมั่นที่จะปกป้องคนของเจ้า เราจะยอมรับความภักดีของเผ่าเจ้า!”
ฟิว โรสเซอร์แอบดีใจ ขณะที่เขาแอคติ้งอยู่ เขาก็กลัวการถูกเปิดโปงมากที่สุด แต่ไม่เพียงไม่ถูกเปิดโปงเท่านั้น สถานการณ์ยังกลับกลายเป็นดีอีกด้วย แน่นอนว่าเขาต้องคว้าโอกาสนี้เอาไว้และรับความภักดีเอาไว้อย่างรวดเร็ว “ลอร์ดแห่งเมืองรุ่งอรุณ ขอบคุณที่ท่านเมตตาข้า ข้าจะนำคนของข้าและจะจงรักภักดีต่อลอร์ดแห่งเมืองรุ่งอรุณตลอดไป!”
“ลอร์ดแห่งเมืองรุ่งอรุณ ขอบคุณที่เมตตา” เผ่าโถวเหยินต่างคุกเข่าลงบนพื้นเหมือนกับคลื่น พวกเขาให้คำมั่นสัญญาและตกอยู่ในอำนาจของเมืองแห่งรุ่งอรุณ
ถูกต้องแล้ว
เรียบง่ายเช่นนี้นี่แหละ
ที่สำคัญที่สุดคือ วิลเลียมได้เผชิญหน้ากับคนขี้ขลาดตาขาวเข้า แล้วยังเป็นคนขี้ขลาดที่ไม่เหมือนใครอีกด้วย คนขี้ขลาดเช่นนี้ที่อธิบายชื่อของเขาไว้ได้อย่างสมบูรณ์…
ส่วนคนของเขาน่ะเหรอ?
ผู้คนในเผ่าทั้งหมดให้คำมั่นว่าจะจงรักภักดีต่อเขา แต่สิ่งนี้ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะรวมเข้ากับเมืองแห่งรุ่งอรุณ
สองอย่างนี้แตกต่างกันเป็นอย่างมาก
การให้คำมั่นสัญญากับคนๆหนึ่งหมายความว่าถ้าวิลเลียมสิ้นชีวิตพวกเขาอาจจะจากไปและกลับสู่ธรรมชาติ พวกเขาสามารถใช้เวลาทั้งวันทั้งคืนในการกินหญ้าต่อไปได้ ...
นอกจากนี้ ฟิว โรสเซอร์ยังใช้ ‘ความพ่ายแพ้ที่เด็ดขาด’ เพื่อพิสูจน์ความแข็งแกร่งของวิลเลียม เมื่อชนเผ่านี้อยู่ภายใต้อำนาจของท่านลอร์ด เขาไม่เพียงมีทางลงเท่านั้น แต่ยังได้รับความภักดีจากคนในเผ่าอีกด้วย
สำหรับฟิว โรสเซอร์แล้ว นี่เป็นกำไรอย่างมหาศาล