บทที่ 63 จากลา
“หว่านชิง ขยับมาทางซ้ายของผม” เย่โม่เคลื่อนตัวฉือหว่านชิงให้มาอยู่ทางซ้ายของตน เนื่องจากทางขวานั้นมีด้วงเปลือยซ่อนตัวอยู่ มันซ่อนอยู่ใต้หินก้อนหนึ่งพร้อมกับจ้องมองเย่โม่และฉือหว่านชิง ไม่เพียงหยุดนิ่งไม่หลบหนี มันยังรอคอยโอกาสเล่นงานเย่โม่ด้วย
แน่นอนว่าฉือหว่านชิงไม่รู้ความคิดของเย่โม่ แต่เขาให้เธอมาทางด้านซ้ายเธอก็ทำตามทันที เย่โม่รู้ว่ามันเจ้าเล่ห์จึงทำทีเป็นดึงตัวฉือหว่านชิง...เพื่อจะหลอกให้มันคิดว่าไม่มีใครเห็นตอนมันเลื้อยผ่านมาด้านข้าง
ด้วงเปลือยที่เห็นเย่โม่หันหลังให้ มันก็ค่อยๆ เลื้อยเข้ามาเพื่อเตรียมโจมตี เมื่อเย่โม่เข้ามาในระยะเมื่อไหร่ มันก็จะเปิดฉากโจมตีทันที!
“ต้องระวังตัวขนาดนี้เลย?” ฉือหว่านชิงถามเสียงเบา
เย่โม่ไม่ตอบ จังหวะนั้นเองเขาหันหลังพร้อมยื่นมือไปคว้ากลางอากาศ การเคลื่อนไหวของเขารวดเร็วไร้ที่เปรียบ กระทั่งฉือหว่านชิงที่อยู่ข้างๆ ยังไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำ
เกิดเป็นเสียงร้องดัง ชี่! ของด้วงเปลือยที่พุ่งเข้ามาโจมตีด้านหลังของเย่โม่...มันถูกเขาคว้าจับไว้ได้กลางอากาศพอดี ราวกับว่ามันเสนอตัวไปอยู่ในมือของเย่โม่ด้วยตัวมันเอง หากเขาไม่เกร็งพลังปราณไปที่ฝ่ามือล่ะก็...เขาคงไม่อาจจับมันได้อย่างแน่นอน
เมื่อสัมผัสได้ว่าด้วงเปลือยในมือกำลังดิ้นอย่างหนัก เย่โม่จึงรีบพูดขึ้น “หว่านชิง รีบกัดนิ้วตัวเองซะ! เร็วหน่อย! เจ้าตัวนี้แรงมันเยอะมาก!”
ด้วงเปลือยรู้ตัวแล้วว่ามันถูกหลอกจึงส่งเสียงร้องออกมาพร้อมดิ้นไม่หยุด ถ้าหากไม่ได้เป็นคนจับด้วยตัวเองล่ะก็...เย่โม่ต้องไม่เชื่อแน่ว่ามันจะมีแรงมากขนาดนี้ ทั้งที่มันยังอยู่แค่วัยเด็กเท่านั้นเอง
เมื่อฉือหว่านชิงได้เห็นดวงตาสีเขียวของมันก็รู้สึกตกใจจนร่างกายเย็นเฉียบ เธอไม่ได้กลัวว่าตัวเองจะถูกกัดแต่อย่างใด เธอกลัวว่าเย่โม่จะเป็นอันตรายเพียงเท่านั้นเอง แต่พอได้ยินเสียงตะโกนของเย่โม่แล้วฉือหว่านชิงก็ได้สติขึ้นมา ถึงจะยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรแต่เธอก็รีบกัดนิ้วของตัวเองทันที
เย่โม่หยิบมีดขึ้นมาแล้วกรีดตรงกลางหัวของด้วงเปลือย เลือดของมันไหลออกมา เย่โม่นำเลือดจากนิ้วมือของฉือหว่านชิงมา 1 หยด เขาทามันบนมีดแล้วทำมือเป็นมุทรา (ท่าทางแสดงสัญลักษณ์ทางพิธีกรรม) หลากหลายเปลี่ยนแปลงไม่หยุด ราวกับว่าเขากำลังร่ายเวทมนต์ใส่เจ้างูน้อยอย่างไรอย่างนั้น
ฉือหว่านชิงมองการกระทำของเย่โม่ด้วยอาการตกตะลึงและไม่กล้าพูดอะไรออกมา เธอกระทั่งเห็นว่าบนหน้าผากของเย่โม่มีเหงื่อไหลซึมออกมา เธออยากจะช่วยเช็ดเหงือพวกนั้นออกแต่ก็กลัวว่าจะทำให้เย่โม่เสียสมาธิ ในใจรู้สึกสงสัยว่าเย่โม่กำลังทำอะไรอยู่กันแน่? การขยับมือเป็นสัญลักษณ์ท่าทางต่างๆ นั้นดูแล้วแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก กระทั่งให้ความรู้สึกลึกลับเหนือธรรมชาติอยู่บ้าง แต่ถึงยังไงฉือหว่านชิงก็เชื่อใจเย่โม่อยู่ดี
ด้วงเปลือยที่ดิ้นรนอยู่ก็ค่อยๆ สงบนิ่งลง สุดท้ายมันก็หยุดเคลื่อนไหว หลังจากเย่โม่วางมันลง เจ้าด้วงเปลือยก็พุ่งไปที่เท้าของฉือหว่านชิงทันที นี่ยังไม่เท่าไหร่...มันยังใช้หัวแหลมๆ ของมันดุนรองเท้าของฉือหว่านชิง คล้ายกับกำลังแสดงท่าทีสนิทสนม
ฉือหว่านชิงกำลังมองเย่โม่เหงื่อออกด้วยท่าทีกระวนกระวาย เธอคิดไม่ถึงว่าเจ้างูตัวนั้นจะพุ่งเข้ามาหาเธอ ฉือหว่านชิงรู้สึกตกใจจนหลั่งเหงื่อเย็นเยียบ
โชคดีที่เสียงของเย่โม่ดังขึ้นทันเวลา “ตอนนี้มันเชื่องแล้ว แต่เธอไม่มีจิตสัมผัส...ไม่สิ เธอสามารถพูดคุยกับมันได้ปกตินั่นแหละ วางใจเถอะ มันจะไม่โจมตีคนธรรมดาแล้ว ยกเว้นว่าเธอจะสั่งมันน่ะนะ”
เย่โม่รู้ว่าฉือหว่านชิงไม่ใช่ผู้ฝึกปราณ เธอไม่มีจิตสัมผัสแน่นอน ถึงแม้จะเขาจะให้ด้วงเปลือยกับฉือหว่านชิงทำสัญญานายบ่าวกันแล้วก็ตาม แต่เธอก็ทำได้เพียงออกคำสั่งมันด้วยเสียงเท่านั้น แต่เมื่อเวลาผ่านไปเธอก็คงออกคำสั่งมันทางจิตได้เอง
ฉือหว่านชิงที่เห็นว่าเจ้าด้วงเปลือยตัวนี้ไม่ได้มีท่าทีจะโจมตีเธอจริงๆ จึงได้เบาใจลง “อา...พี่ใหญ่เย่ พี่รู้เรื่องแบบนี้ได้ยังไง? เรื่องที่พี่พูดฟังดูแล้วแปลกประหลาดลึกลับอยู่บ้างจริงๆ”
เย่โม่หัวเราะออกมา “ที่จริงแล้วนี่ก็แค่วิชาพื้นบ้านทั่วๆ ไปน่ะ ผมเองก็เรียนมานิดหน่อย แต่วิชานี้ไม่ใช่ว่าทำให้สัตว์ทุกตัวเชื่องได้หรอกนะ ใช้ได้กับสัตว์ชนิดพิเศษเท่านั้น เจ้าด้วงเปลือยตัวนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น”
“ด้วงเปลือย?” ฉือหว่านชิงคิดไม่ถึงว่าเจ้าสิ่งที่คล้ายงูตัวนี้จะมีชื่อที่แปลกประหลาดขนาดนี้
“ฉันจะเรียกมันว่าหมาป่าน้อยก็แล้วกัน มันจะไม่กัดคนอื่นใช่ไหม?” ฉือหว่านชิงรู้สึกสนใจขึ้นมา แต่เธอก็ยังรู้สึกเป็นกังวลกับความดุร้ายของมันอยู่บ้าง...ไม่ใช่ว่าใครก็เป็นเหมือนกับเย่โม่ที่สามารถรักษาพิษจากมันได้
“ไม่กัดหรอก” แน่นอน...เย่โม่รู้ว่าต่อให้ด้วงเปลือยไม่ถูกทำให้เชื่อง มันก็ไม่มีทางกัดคนทั่วไปอย่างแน่นอน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเจ้าตัวนี้ถูกเขาจับทำสัญญานายบ่าวกับฉือหว่านชิงแล้ว เขาคิดสักพักแล้วพูดต่อ “จากนี้ให้มันกินหน่อไม้ก็พอแล้ว สลับกับปล่อยให้มันออกไปหาอะไรกินเองบ้าง คนทั่วไปไม่มีทางจับมันได้แน่นอน”
เย่โม่และฉือหว่านชิงเดินทางกลับไปที่เต็นท์ ส่วน 3 คนที่เหลือรู้สึกว่าการที่เย่โม่ช่วยฉือหว่านชิงจับสัตว์เลี้ยงที่ร้ายกาจแบบนี้...พวกเขารู้สึกว่าเรื่องนี้น่าเหลือเชื่อเป็นอย่างมาก พวกเขาพากันล้อมวงพินิจพิเคราะห์เจ้าด้วงเปลือยครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายหลูหลินจึงช่วยทำกระเป๋าใบเล็กๆ ให้มันเข้าไปอยู่
..........
เดิมทีแล้วเย่โม่คิดไว้ว่าแค่มาส่งพวกเขาออกจากป่าก็ไม่มีอะไรแล้ว แต่เพราะเรื่องของฉือหว่านชิงเย่โม่จึงไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก เขาตามมาส่งฉือหว่านชิงและพวกกัวฉี่ต่อ
ถึงแม้ฉือหว่านชิงจะชอบความรู้สึกที่ได้อยู่บนหลังของเย่โม่ก็จริง แต่ตอนนี้เธอหายดีแล้ว...คงจะไม่ดีนักหากจะปล่อยเย่โม่แบกเธอต่อแบบนี้ ฉือหว่านชิงจึงได้แต่จำใจลงมาเอง
ผ่านมาได้ 2-3 วัน ในทุกๆ วันเย่โม่ได้สอนวิชาและเทคนิคให้ฟางเว่ยเล็กน้อย ภายหลังกัวฉี่และหลูหลินก็มาร่วมเรียนรู้ด้วย สิ่งที่เย่โม่สอนล้วนธรรมดาง่ายต่อการเรียนรู้และใช้งานได้จริง เขายังสอนเทคนิคการหายใจอย่างง่ายๆ ให้ด้วย ถึงแม้จะไม่สามารถใช้ฝึกปราณได้ แต่หากทำไปเป็นเวลานาน...ก็อาจจะสามารถก่อให้เกิดกำลังภายในได้บ้าง
ตกดึก...หลังจากที่พวกกัวฉี่สร้างที่พักผ่อนอย่างง่ายๆ และเรียนรู้จากเย่โม่แล้ว ฟางเว่ยที่เห็นฉือหว่านชิงไม่มาเรียนด้วยก็เอ่ยปากถาม “พี่ฉือ ทำไมไม่มาเรียนด้วยกันล่ะ?”
หลูหลินตบหัวฟางเว่ยไปทีหนึ่ง “หว่านชิงเขาเรียน 2 ต่อ 2 กับเย่โม่ นายจะพูดหาพระแสงอะไรหะ?”
ฉือหว่านชิงที่ให้อาหารด้วงเปลือยอยู่ก็หน้าแดงก่ำ เธอเหลือบมองเย่โม่แวบหนึ่งแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
เย่โม่ยิ้มบางๆ ถึงแม้เขาจะไม่ได้ปฏิเสธคำพูดของหลูหลิน แต่เขาก็ไม่ได้คิดจะสอนฉือหว่านชิงเป็นการส่วนตัวเช่นเดียวกัน ถ้าตรงนี้มีกระดาษและปากกาล่ะก็...ไม่แน่ว่าเขาอาจจะเขียนวิธีหายใจแล้วให้ฉือหว่านชิงอ่านเอาเองไปแล้ว แต่ในเมื่อไม่มีก็แล้วไปเถอะ
ฉือหว่านชิงเสี่ยงชีวิตเข้าช่วยเหลือเขา เย่โม่จึงรู้สึกดีกับเธอมาก อีกอย่างถึงแม้ฉือหว่านชิงจะเป็นทหาร แต่เธอก็ดูจะติดเขาแจอยู่บ้าง แต่มีเพียงเย่โม่ที่รู้ดีว่าเรื่องของฉือหว่านชิงกับเขานั้นเป็นไปไม่ได้ ในใจของเขามีลั่วอิ่งอยู่แล้ว ต่อให้ผู้หญิงคนอื่นจะดีแค่ไหนก็ไม่มีทางฝังรากในจิตใจของเขาได้ เหตุผลเดียวที่เขาจับด้วงเปลือยให้เธอก็เพื่อตอบแทนที่ช่วยเขาก็เท่านั้น
ต้องรู้ก่อนว่าด้วงเปลือยเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับเย่โม่ในตอนนี้มาก ถึงยังไงพลังที่แท้จริงของเขาตอนนี้ก็ยังไม่สูงมาก คนที่เก่งกว่าเขายังมีอยู่อีกเยอะ มีด้วงเปลือยคอยช่วยจะยิ่งปลอดภัย แต่เพื่อตอบแทนน้ำใจของฉือหว่านชิงแล้วก็เลือกที่จะมอบมันให้กับเธอ
เข้าสู่วันที่ 11 พวกเขาก็ได้เจอกับคนที่มารับพวกเขาแล้ว ถึงตรงนี้เย่โม่ก็บอกลาพวกกัวฉี่
“พี่ใหญ่เย่ ถ้ามีเวลาว่าง...จำไว้ว่าพี่ต้องไปช่วยญาติของฉันที่ลั่วชางให้ได้นะ” คนที่ยังตัดใจไม่ได้ที่สุดก็คือฉือหว่านชิง เธอรู้สึกว่าหากเย่โม่จากไป...บางอย่างในใจเธอก็จะจากตามเขาไปด้วย แต่เธอก็ไม่มีเหตุผลที่จะรั้งเขาให้อยู่ต่ออีกแล้ว ได้แต่เพียงหวังว่าเขาจะไปบริษัทที่แม่ของเธอก่อตั้งไว้ให้ หากเย่โม่ไปที่บริษัทจริง...บางทีเธออาจจะหาโอกาสออกจากกองทัพแล้วกลับไปที่นั่นก็เป็นได้
เย่โม่รู้สึกจนใจเมื่อเห็นแววตาเว้าวอนของฉือหว่านชิง เขาไม่อาจหักใจทำให้เธอผิดหวังจึงได้แต่พยักหน้าตอบรับ แต่ในใจนั้นเขารู้ดี จากกันคราวนี้คงยากจะพบกันอีกครั้ง เพราะเขายังต้องเลี้ยงดู หญ้าหัวใจสีเงิน ...อย่างน้อยก็กินเวลา 2-3 ปี
ฉือหว่านชิงมองแผ่นหลังของเย่โม่ที่ค่อยๆ หายลับไปในป่า เธอรู้สึกได้ถึงความเคว้งคว้างอันลึกล้ำ อารมณ์และจิตใจของเธอตอนนี้ย่ำแย่จนถึงที่สุด