บทที่ 61 หรือเป็นแค่การตอบแทน?
“ผมจะช่วยเธอเอง ส่วนพวกนายให้ระวังไว้สักหน่อยก็พอ งูชนิดนี้ไม่โจมตีพวกนายหรอก” พูดจบเย่โม่ก็แบกฉือหว่านชิงขึ้นมาแล้วพุ่งเข้าเต็นท์ด้วยความรวดเร็ว
ถึงจะพูดแบบนั้นแต่เย่โม่รู้ดีว่ามันไม่ใช่งู มันคือ ‘จือหลาง’ (ด้วงเปลือย) รูปลักษณ์ภายนอกไม่ต่างจากงูธรรมดาทั่วไปนัก เพียงแต่มันมีแขนขา 4 ข้าง ดวงตาของมันจะเป็นสีเขียวเรืองรองในความมืด...คล้ายกับหมาป่า มันไม่เพียงรวดเร็วจนคนธรรมดามองตามไม่ทัน อีกทั้งผิวหนังของมันยังแข็งเหนือกว่าปกติทั่วไป การโจมตีธรรมดาๆ ไม่สามารถสร้างบาดแผลให้กับมันได้ ที่สำคัญที่สุดก็คือพิษอันแปลกประหลาดของมัน ซึ่งไม่ใช่อะไรที่พิษงูธรรมดาจะเทียบได้
ยิ่ง ‘ด้วงเปลือย’ ที่โตเต็มไวแล้วจะงอกปีกออกมา นั่นก็แสดงว่าตัวที่พวกเขาเพิ่งเจอนั้นยังเด็กอยู่ แต่ไม่คิดเลยว่าสถานที่ซึ่งขาดแคลนพลังวิญญาณอย่างโลกจะมีด้วงเปลือยอยู่ด้วย
สิ่งนี้ทำให้เย่โม่รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก สาเหตุก็เพราะปกติแล้วด้วงเปลือยจะไม่ทำร้ายคนทั่วๆไป เพราะมันจะสนใจก็แต่ต้นไม้หรือสิ่งของที่มีพลังวิญญาณอยู่ข้างในก็เท่านั้น มันชอบกลืนกินพลังวิญญาณพวกนี้ ดูท่าแล้วสาเหตุคงไม่ได้มาจากสถานะผู้ฝึกปราณของเขา แต่คงเป็นเพราะ ‘เถาวัลย์หัวใจม่วง’ ที่เขาครอบครองอยู่เป็นแน่ มันจึงลงมือกับเขาแบบนั้น
เย่โม่รีบเลิกเสื้อของฉือหว่านชิงขึ้น เขาไม่มีเวลาไปใส่ใจเรื่องหยุมหยิมอย่างอื่นในตอนนี้ แผ่นหลังของฉือหว่านชิงถูกกัดจนเป็นรูขนาดเล็ก 2 รู ไอพิษสีดำก่อตัวขึ้นเป็นเส้นลากขึ้นมาด้านบนจนเห็นได้อย่างชัดเจน เย่โม่ใช้พลังปราณขับเลือดที่เป็นพิษออกมา จากนั้นจึงหยิบสมุนไพรขึ้นมาแล้วใช้ปราณช่วยเธอดูดซึมเข้าร่างกาย
พิษในร่างของฉือหว่านชิงได้ถูกควบคุมเอาไว้แล้ว แต่เย่โม่รู้ดี...ว่าสถานการณ์นี้จะอยู่ได้ชั่วคราวเท่านั้น ถ้าไม่ขจัดพิษออกจนหมดล่ะก็ ฉือหว่านชิงคงไม่อาจมีชีวิตรอดเกิน 1 ชั่วโมง
แต่เขาจะใช้อะไรรักษาเธอได้กัน? เย่โม่พลิกร่างของฉือหว่านชิง เพื่อให้เธอนั่งพิงอยู่ในอ้อมแขนของเขา ในใจก็คิดวิธีรักษาด้วยความกระวนกระวาย
ตอนนี้ฉือหว่านชิงอยู่ในอาการโคม่า ถึงแม้สีเทาบนใบหน้าจะไม่เข้มไปมากกว่านี้แล้วแต่ก็ยังสามารถเห็นได้ชัดเจนอยู่
ด้วงเปลือยชอบกินต้นไม้วิญญาณ ที่มันกัดคนไม่ใช่แค่เพื่อทำให้ติดพิษเท่านั้น พลังปราณในร่างกายของคนที่ถูกกัดก็จะหายไปส่วนหนึ่งด้วย ซึ่งก็เปรียบได้กับพลังชีวิตนั่นเอง คนเราถ้าไม่มีพลังชีวิตเหลืออยู่แล้ว...ต่อให้เย่โม่ขจัดพิษออกจนหมด คนที่ถูกกัดก็จะตายในไม่ช้าอยู่ดี
ตอนนี้ฉือหว่านชิงกำลังเข้าข่ายพลังชีวิตค่อยๆ หายไป ต่อให้ขจัดพิษจากร่างของเธอออกจนหมดก็ไม่มีทางรอด หากอยู่ในโลกจอมยุทธ์ล่ะก็..แค่ใช้ยาวิญญาณทั่วๆ ไปก็รักษาได้แล้ว แต่กับที่โลกใบนี้อย่าว่าแต่ยาวิญญาณเลย แม้แต่หญ้าวิญญาณยังหาได้ยากเย็น
ไม่เกี่ยวว่าเธอจะช่วยเขาได้หรือไม่ก็ตาม...ถึงยังไงการที่ฉือหว่านชิงถูกกัดก็มีสาเหตุมาจากเขา หากเย่โม่ช่วยเธอไว้ไม่ได้ล่ะก็ เขาจะต้องรู้สึกเสียใจแน่นอน อีกอย่างเขายังรู้สึกดีต่อฉือหว่านชิงด้วย
หากมีหญ้าวิญญาณก็ดีสิ หากมีมันล่ะก็...เขาคงจะสามารถใช้มันฟื้นฟูพลังชีวิตของฉือหว่านชิงได้ไม่ยาก น่าเสียดาย... ‘หญ้าหัวใจสีเงิน’ ของเขาก็ใช้ไปแล้ว ส่วนต้นที่เขาเพิ่งปลูกก็ยังไม่โตด้วยซ้ำ หืม...ไม่ใช่ว่าตอนนี้เขามี ‘เถาวัลย์หัวใจม่วง’ หรือไง? หากใช้มันล่ะก็...ต้องสามารถช่วยชีวิตฉือหว่านชิงได้แน่นอน
เมื่อคิดว่าของหายากอย่าง ‘เถาวัลย์หัวใจม่วง’ จะต้องถูกฉือหว่านชิงกินแล้ว...เย่โม่ก็รู้สึกลังเลใจขึ้นมา หาก ‘หญ้าหัวใจสีเงิน’ ไม่โตล่ะก็...รากเถาวัลย์ชิ้นนี้มีประโยชน์กับเขามาก แต่เมื่อคิดถึงสิ่งที่ฉือหว่านชิงทำให้เขาแล้ว...เย่โม่ก็หยิบ ‘เถาวัลย์หัวใจม่วง’ ขึ้นมา
ต่อให้ฉือหว่านชิงไม่ได้ทำเพื่อเขา แล้วตัวเขาจะปล่อยให้เธอตายโดยไม่ช่วยเหลือไหม? จัวอ้ายกั๋วให้เขามาโดยไม่คิดเงินแม้แต่น้อย แล้วทำไมเขาจะให้คนอื่นไม่ได้เล่า? หรือเขาคิดว่าตัวเองนั้นสูงส่งเหนือคนอื่น? เมื่อคิดได้ถึงตรงนี้เย่โม่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกละอายใจขึ้นมา
เย่โม่หยิบ ‘เถาวัลย์หัวใจม่วง’ ขึ้นมา ขณะที่กำลังคิดถึงวิธีการทำให้มันกลายเป็นน้ำเพื่อป้อนฉือหว่านชิงนั้น เขาก็คิดขึ้นมาได้ว่าเขาเพิ่งกิน ‘หญ้าหัวใจสีเงิน’ มาไม่เกิน 1 เดือนนี้เอง ภายในเลือดของเขายังแฝงไว้ด้วยฤทธิ์ยาของ ‘หญ้าหัวใจสีเงิน’ อยู่ หรือต่อให้เขาไม่มีมันอยู่ในเลือดจริงๆ...ถึงยังเขาก็เป็นผู้ฝึกปราณคนหนึ่ง เลือดของเขาแฝงไว้ด้วยพลังปราณ พลังในการรักษานั้นไม่แน่ว่าอาจจะเหนือกว่า ‘เถาวัลย์หัวใจม่วง’ เสียด้วยซ้ำ
ถึงยังไงฉือหว่านชิงก็ไม่อาจดูดซึม ‘เถาวัลย์หัวใจม่วง’ ตรงๆ ได้อยู่แล้ว หากจะต้องช่วยเธอดูดซึมนั่นก็ดูยุ่งยากเกินไป คิดถึงตรงนี้เย่โม่ก็ไม่ลังเลอีกต่อไป เขากรีดข้อมือของตัวเอง...เลือดสดๆ ไหลลงไปทางปากของฉือหว่านชิงที่รออยู่ด้านล่าง เวลาเดียวกันนั้นก็ใช้พลังปราณช่วยเธอดูดซึมยาในเลือดของเขาอีกแรง
สีเทาบนหน้าของฉือหว่านชิงจางหายไปอย่างรวดเร็วจนเห็นได้ด้วยตาเปล่า ลายเส้นสีดำที่เกิดจากพิษเองก็ถอยกลับไปเป็นสีผิวปกติเหมือนเดิมเช่นกัน เลือดสีดำได้ไหลออกมาจากปากแผลบนหลังของฉือหว่านชิง จากนั้นจึงค่อยๆ กลายเป็นสีแดง
เย่โม่ถอนหายใจ สำเร็จจริงๆ ด้วย ดูท่าแล้วฤทธิ์ยาจาก ‘หญ้าหัวใจสีเงิน’ ภายในเลือดของเขาจะยังไม่จางหายไปจนหมดอย่างที่คิดเอาไว้เลย
ฉือหว่านชิงรู้สึกถึงรถชาติอันแปลกประหลาด เธอลืมตาขึ้นก็ได้เห็นว่ารสชาตินี้มาจากเลือดที่ไหลออกมาจากข้อมือของเย่โม่นั่นเอง
นั่นทำให้ฉือหว่านชิงหวาดผวาจนกรีดร้องออกมา เธอรีบผลักข้อมือของเย่โม่ออก เย่โม่ที่เห็นฉือหว่านชิงฟื้นแล้ว...อีกทั้งพิษของด้วงเปลือยก็ถูกขจัดออกจนหมด เขาจึงหยุดเลือดจากข้อมือของตน
“พี่ใหญ่เย่! พี่ให้ฉันดื่ม...เออ...” ฉือหว่านชิงอยู่ในอาการตื่นตระหนกจนไม่กล้าพูดสิ่งที่เห็นออกมา
เย่โม่ยิ้มบางๆ ไม่ต้องกังวลไป “ผมไปบริจาคเลือดที่โรงพยาบาลมาก็หลายครั้ง ที่ผมให้เธอดื่มครั้งนี้ก็ถือว่าสมควรแล้ว บางทีสักวันหนึ่งผมอาจจะต้องการเลือดก็ได้ ถึงวันนั้นเธอค่อยให้คืนก็แล้วกัน”
เย่โม่ตอบกลับอย่างง่ายดาย หากจะบอกว่าเลือดของเขามีฤทธิ์ยาของ ‘หญ้าหัวใจสีเงิน’ อยู่ก็ดูจะยุ่งยากซับซ้อนเกินไปหน่อย รวมถึงมันจะเกี่ยวเนื่องกับเรื่องพลังวิญญาณและพลังชีวิตอีก ซึ่งเขาคิดว่าเธอคงจะไม่เข้าใจแน่
ถึงแม้จะยังตั้งสติไม่ได้แต่ฉือหว่านชิงก็รู้ว่าตัวเองถูกงูกัด...เธอคงไม่ได้เสียเลือดหรอกมั้ง? รวมถึงถ้าจะให้เลือดจริง...เขาก็ไม่ได้ทำกันแบบนี้ไหม?
ทว่าเวลานี้ฉือหว่านชิงกลับไม่ได้คิดถึงเรื่องพวกนี้เลย ในใจเธอมีเพียงความรู้สึกตื้นตันต่อการกระทำของเย่โม่เท่านั้น แต่เธอเองก็ลืมไปว่าได้แผลมาเพราะช่วยเขาเช่นกัน
“ขอบคุณ พี่ใหญ่เย่ ฉัน...” ฉือหว่านชิงหยับตัวเล็กน้อยจึงได้รู้ว่าตอนนี้เธออยู่ในอ้อมแขนของเย่โม่ หน้าของเธอเปลี่ยนเป็นแดงก่ำร้อนฉ่าทันที
เย่โม่ก็เพิ่งจะรู้สึกตัวเช่นกัน เขาจึงรีบปล่อยฉือหว่านชิงทันที “เธอไม่เป็นอะไรแล้ว...พักผ่อนเถอะ สัตว์ตัวนั้นมีพิษร้ายแรง เดี๋ยวผมจะออกไปตามหามันเสียหน่อย”
ที่เย่โม่คิดจะตามหาด้วงเปลือยนั้นมีสาเหตุอยู่ ในเมื่อที่นี่ปรากฏด้วงเปลือยออกมาแล้ว นั่นก็หมายความว่าแถวนี้มีสมุนไพรวิญญาณอยู่ รวมถึงการจะหาด้วงเปลือยสักตัวในโลกที่ขาดแคลนพลังวิญญาณนั้นถือว่ายากลำบาก ปกติมันจะอาศัยอยู่ในจุดที่พลังวิญญาณหนาแน่นเท่านั้น
เมื่อเห็นว่าสีหน้าของฉือหว่านชิงฟื้นกลับมาเป็นปกติแล้ว เย่โม่ก็พูดขึ้น “ครั้งหน้าอย่าทำเรื่องอันตรายแบบนี้อีก รู้ไหมว่าผมเกือบช่วยเธอไม่ได้แล้ว จริงๆ เลย...”
ที่เย่โม่ต้องการจะสื่อก็คือ เดิมทีแล้วเรื่องพวกนี้มันไม่จำเป็นเลย หากฉือหว่านชิงไม่พุ่งเข้ามาตอนนั้นเขาก็ไม่มีทางถูกมันกัดได้แน่นอน แต่เรื่องนี้พูดไปแล้วก็อาจจะทำร้ายจิตใจเธอได้ ถึงยังไงฉือหว่านชิงก็พยายามจะช่วยเขา ถึงเธอจะไม่รู้ว่าเขาหลบได้ก็ตาม
“ไม่! หากมีครั้งนี้อีกฉันก็จะทำ ถ้าพี่ติดพิษก็จบกัน แต่ถ้าเป็นฉันล่ะก็...บางทีพี่อาจจะช่วยชีวิตฉันได้” ถึงแม้เสียงของฉือหว่านชิงจะแผ่วเบาแต่ก็แฝงไว้ด้วยความหนักแน่น
เย่โม่ตกตะลึงไปชั่วครู่ เขารู้สึกตื้นตันขึ้นมาเล็กน้อย “ยัยโง่ ถ้าเธอติดพิษจริงก็ไม่แน่ว่าผมจะช่วยได้เสียหน่อย เรื่องวันนี้ถือว่าอันตรายมาก ครั้งหน้าก็จำไว้ ถ้าผมช่วยไม่ได้แล้วเธอจะทำยังไงกัน?”
ฉือหว่านชิงส่ายหัว “พี่ใหญ่เย่ ฉันไม่เข้าใจ...พี่ช่วยชีวิตฉันไว้ ฉันแค่ไม่อยากเห็นพี่ถูกงูกัด ต่อให้พี่ช่วยฉันไม่ได้ฉันก็ยังยินดีที่ได้ช่วยพี่ ต่อให้มีครั้งหน้าอีก ฉันก็จะทำ...”
ราวกับว่ากำลังกลัวเย่โม่ต่อว่าอยู่ เสียงของเธอจึงค่อยๆ เบาลง
เย่โม่ถอนหายใจ หญิงสาวตัวเล็กแค่นี้ ทำคนอื่นปวดหัวจริงๆ เขากระทั่งสงสัยว่าการที่ตัวเองมาส่งฉือหว่านชิงนี่เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้วหรือไม่ ดูเหมือนฉือหว่านชิงจะไม่ใช่แค่อยากตอบแทนบุญคุณเขาง่ายๆ แค่นั้นเสียแล้ว