ตอนที่แล้วบทที่ 60 งูน้อยตาเขียว
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 62 ทำไมเขาจึงยอมถูกเธอใช้งานเล่า?

บทที่ 61 หรือเป็นแค่การตอบแทน?


“ผมจะช่วยเธอเอง  ส่วนพวกนายให้ระวังไว้สักหน่อยก็พอ  งูชนิดนี้ไม่โจมตีพวกนายหรอก”  พูดจบเย่โม่ก็แบกฉือหว่านชิงขึ้นมาแล้วพุ่งเข้าเต็นท์ด้วยความรวดเร็ว

ถึงจะพูดแบบนั้นแต่เย่โม่รู้ดีว่ามันไม่ใช่งู  มันคือ ‘จือหลาง’ (ด้วงเปลือย) รูปลักษณ์ภายนอกไม่ต่างจากงูธรรมดาทั่วไปนัก  เพียงแต่มันมีแขนขา 4 ข้าง  ดวงตาของมันจะเป็นสีเขียวเรืองรองในความมืด...คล้ายกับหมาป่า  มันไม่เพียงรวดเร็วจนคนธรรมดามองตามไม่ทัน  อีกทั้งผิวหนังของมันยังแข็งเหนือกว่าปกติทั่วไป  การโจมตีธรรมดาๆ ไม่สามารถสร้างบาดแผลให้กับมันได้  ที่สำคัญที่สุดก็คือพิษอันแปลกประหลาดของมัน  ซึ่งไม่ใช่อะไรที่พิษงูธรรมดาจะเทียบได้

ยิ่ง ‘ด้วงเปลือย’ ที่โตเต็มไวแล้วจะงอกปีกออกมา  นั่นก็แสดงว่าตัวที่พวกเขาเพิ่งเจอนั้นยังเด็กอยู่  แต่ไม่คิดเลยว่าสถานที่ซึ่งขาดแคลนพลังวิญญาณอย่างโลกจะมีด้วงเปลือยอยู่ด้วย

สิ่งนี้ทำให้เย่โม่รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก  สาเหตุก็เพราะปกติแล้วด้วงเปลือยจะไม่ทำร้ายคนทั่วๆไป  เพราะมันจะสนใจก็แต่ต้นไม้หรือสิ่งของที่มีพลังวิญญาณอยู่ข้างในก็เท่านั้น  มันชอบกลืนกินพลังวิญญาณพวกนี้  ดูท่าแล้วสาเหตุคงไม่ได้มาจากสถานะผู้ฝึกปราณของเขา  แต่คงเป็นเพราะ ‘เถาวัลย์หัวใจม่วง’ ที่เขาครอบครองอยู่เป็นแน่  มันจึงลงมือกับเขาแบบนั้น

เย่โม่รีบเลิกเสื้อของฉือหว่านชิงขึ้น  เขาไม่มีเวลาไปใส่ใจเรื่องหยุมหยิมอย่างอื่นในตอนนี้  แผ่นหลังของฉือหว่านชิงถูกกัดจนเป็นรูขนาดเล็ก 2 รู  ไอพิษสีดำก่อตัวขึ้นเป็นเส้นลากขึ้นมาด้านบนจนเห็นได้อย่างชัดเจน   เย่โม่ใช้พลังปราณขับเลือดที่เป็นพิษออกมา  จากนั้นจึงหยิบสมุนไพรขึ้นมาแล้วใช้ปราณช่วยเธอดูดซึมเข้าร่างกาย

พิษในร่างของฉือหว่านชิงได้ถูกควบคุมเอาไว้แล้ว  แต่เย่โม่รู้ดี...ว่าสถานการณ์นี้จะอยู่ได้ชั่วคราวเท่านั้น  ถ้าไม่ขจัดพิษออกจนหมดล่ะก็  ฉือหว่านชิงคงไม่อาจมีชีวิตรอดเกิน 1 ชั่วโมง

แต่เขาจะใช้อะไรรักษาเธอได้กัน?  เย่โม่พลิกร่างของฉือหว่านชิง  เพื่อให้เธอนั่งพิงอยู่ในอ้อมแขนของเขา  ในใจก็คิดวิธีรักษาด้วยความกระวนกระวาย

ตอนนี้ฉือหว่านชิงอยู่ในอาการโคม่า  ถึงแม้สีเทาบนใบหน้าจะไม่เข้มไปมากกว่านี้แล้วแต่ก็ยังสามารถเห็นได้ชัดเจนอยู่

ด้วงเปลือยชอบกินต้นไม้วิญญาณ  ที่มันกัดคนไม่ใช่แค่เพื่อทำให้ติดพิษเท่านั้น  พลังปราณในร่างกายของคนที่ถูกกัดก็จะหายไปส่วนหนึ่งด้วย  ซึ่งก็เปรียบได้กับพลังชีวิตนั่นเอง  คนเราถ้าไม่มีพลังชีวิตเหลืออยู่แล้ว...ต่อให้เย่โม่ขจัดพิษออกจนหมด  คนที่ถูกกัดก็จะตายในไม่ช้าอยู่ดี

ตอนนี้ฉือหว่านชิงกำลังเข้าข่ายพลังชีวิตค่อยๆ หายไป  ต่อให้ขจัดพิษจากร่างของเธอออกจนหมดก็ไม่มีทางรอด  หากอยู่ในโลกจอมยุทธ์ล่ะก็..แค่ใช้ยาวิญญาณทั่วๆ ไปก็รักษาได้แล้ว  แต่กับที่โลกใบนี้อย่าว่าแต่ยาวิญญาณเลย  แม้แต่หญ้าวิญญาณยังหาได้ยากเย็น

ไม่เกี่ยวว่าเธอจะช่วยเขาได้หรือไม่ก็ตาม...ถึงยังไงการที่ฉือหว่านชิงถูกกัดก็มีสาเหตุมาจากเขา   หากเย่โม่ช่วยเธอไว้ไม่ได้ล่ะก็  เขาจะต้องรู้สึกเสียใจแน่นอน  อีกอย่างเขายังรู้สึกดีต่อฉือหว่านชิงด้วย

หากมีหญ้าวิญญาณก็ดีสิ  หากมีมันล่ะก็...เขาคงจะสามารถใช้มันฟื้นฟูพลังชีวิตของฉือหว่านชิงได้ไม่ยาก  น่าเสียดาย... ‘หญ้าหัวใจสีเงิน’ ของเขาก็ใช้ไปแล้ว  ส่วนต้นที่เขาเพิ่งปลูกก็ยังไม่โตด้วยซ้ำ  หืม...ไม่ใช่ว่าตอนนี้เขามี ‘เถาวัลย์หัวใจม่วง’ หรือไง?  หากใช้มันล่ะก็...ต้องสามารถช่วยชีวิตฉือหว่านชิงได้แน่นอน

เมื่อคิดว่าของหายากอย่าง ‘เถาวัลย์หัวใจม่วง’ จะต้องถูกฉือหว่านชิงกินแล้ว...เย่โม่ก็รู้สึกลังเลใจขึ้นมา   หาก ‘หญ้าหัวใจสีเงิน’ ไม่โตล่ะก็...รากเถาวัลย์ชิ้นนี้มีประโยชน์กับเขามาก  แต่เมื่อคิดถึงสิ่งที่ฉือหว่านชิงทำให้เขาแล้ว...เย่โม่ก็หยิบ ‘เถาวัลย์หัวใจม่วง’ ขึ้นมา

ต่อให้ฉือหว่านชิงไม่ได้ทำเพื่อเขา  แล้วตัวเขาจะปล่อยให้เธอตายโดยไม่ช่วยเหลือไหม?  จัวอ้ายกั๋วให้เขามาโดยไม่คิดเงินแม้แต่น้อย  แล้วทำไมเขาจะให้คนอื่นไม่ได้เล่า?  หรือเขาคิดว่าตัวเองนั้นสูงส่งเหนือคนอื่น?  เมื่อคิดได้ถึงตรงนี้เย่โม่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกละอายใจขึ้นมา

เย่โม่หยิบ ‘เถาวัลย์หัวใจม่วง’ ขึ้นมา  ขณะที่กำลังคิดถึงวิธีการทำให้มันกลายเป็นน้ำเพื่อป้อนฉือหว่านชิงนั้น  เขาก็คิดขึ้นมาได้ว่าเขาเพิ่งกิน ‘หญ้าหัวใจสีเงิน’ มาไม่เกิน 1 เดือนนี้เอง  ภายในเลือดของเขายังแฝงไว้ด้วยฤทธิ์ยาของ ‘หญ้าหัวใจสีเงิน’ อยู่  หรือต่อให้เขาไม่มีมันอยู่ในเลือดจริงๆ...ถึงยังเขาก็เป็นผู้ฝึกปราณคนหนึ่ง   เลือดของเขาแฝงไว้ด้วยพลังปราณ  พลังในการรักษานั้นไม่แน่ว่าอาจจะเหนือกว่า ‘เถาวัลย์หัวใจม่วง’ เสียด้วยซ้ำ

ถึงยังไงฉือหว่านชิงก็ไม่อาจดูดซึม ‘เถาวัลย์หัวใจม่วง’ ตรงๆ ได้อยู่แล้ว  หากจะต้องช่วยเธอดูดซึมนั่นก็ดูยุ่งยากเกินไป  คิดถึงตรงนี้เย่โม่ก็ไม่ลังเลอีกต่อไป  เขากรีดข้อมือของตัวเอง...เลือดสดๆ ไหลลงไปทางปากของฉือหว่านชิงที่รออยู่ด้านล่าง  เวลาเดียวกันนั้นก็ใช้พลังปราณช่วยเธอดูดซึมยาในเลือดของเขาอีกแรง

สีเทาบนหน้าของฉือหว่านชิงจางหายไปอย่างรวดเร็วจนเห็นได้ด้วยตาเปล่า  ลายเส้นสีดำที่เกิดจากพิษเองก็ถอยกลับไปเป็นสีผิวปกติเหมือนเดิมเช่นกัน  เลือดสีดำได้ไหลออกมาจากปากแผลบนหลังของฉือหว่านชิง จากนั้นจึงค่อยๆ กลายเป็นสีแดง

เย่โม่ถอนหายใจ  สำเร็จจริงๆ ด้วย  ดูท่าแล้วฤทธิ์ยาจาก ‘หญ้าหัวใจสีเงิน’ ภายในเลือดของเขาจะยังไม่จางหายไปจนหมดอย่างที่คิดเอาไว้เลย

ฉือหว่านชิงรู้สึกถึงรถชาติอันแปลกประหลาด  เธอลืมตาขึ้นก็ได้เห็นว่ารสชาตินี้มาจากเลือดที่ไหลออกมาจากข้อมือของเย่โม่นั่นเอง

นั่นทำให้ฉือหว่านชิงหวาดผวาจนกรีดร้องออกมา  เธอรีบผลักข้อมือของเย่โม่ออก  เย่โม่ที่เห็นฉือหว่านชิงฟื้นแล้ว...อีกทั้งพิษของด้วงเปลือยก็ถูกขจัดออกจนหมด  เขาจึงหยุดเลือดจากข้อมือของตน

“พี่ใหญ่เย่!  พี่ให้ฉันดื่ม...เออ...”  ฉือหว่านชิงอยู่ในอาการตื่นตระหนกจนไม่กล้าพูดสิ่งที่เห็นออกมา

เย่โม่ยิ้มบางๆ ไม่ต้องกังวลไป  “ผมไปบริจาคเลือดที่โรงพยาบาลมาก็หลายครั้ง  ที่ผมให้เธอดื่มครั้งนี้ก็ถือว่าสมควรแล้ว  บางทีสักวันหนึ่งผมอาจจะต้องการเลือดก็ได้  ถึงวันนั้นเธอค่อยให้คืนก็แล้วกัน”

เย่โม่ตอบกลับอย่างง่ายดาย  หากจะบอกว่าเลือดของเขามีฤทธิ์ยาของ ‘หญ้าหัวใจสีเงิน’ อยู่ก็ดูจะยุ่งยากซับซ้อนเกินไปหน่อย  รวมถึงมันจะเกี่ยวเนื่องกับเรื่องพลังวิญญาณและพลังชีวิตอีก  ซึ่งเขาคิดว่าเธอคงจะไม่เข้าใจแน่

ถึงแม้จะยังตั้งสติไม่ได้แต่ฉือหว่านชิงก็รู้ว่าตัวเองถูกงูกัด...เธอคงไม่ได้เสียเลือดหรอกมั้ง?  รวมถึงถ้าจะให้เลือดจริง...เขาก็ไม่ได้ทำกันแบบนี้ไหม?

ทว่าเวลานี้ฉือหว่านชิงกลับไม่ได้คิดถึงเรื่องพวกนี้เลย  ในใจเธอมีเพียงความรู้สึกตื้นตันต่อการกระทำของเย่โม่เท่านั้น  แต่เธอเองก็ลืมไปว่าได้แผลมาเพราะช่วยเขาเช่นกัน

“ขอบคุณ  พี่ใหญ่เย่  ฉัน...”  ฉือหว่านชิงหยับตัวเล็กน้อยจึงได้รู้ว่าตอนนี้เธออยู่ในอ้อมแขนของเย่โม่ หน้าของเธอเปลี่ยนเป็นแดงก่ำร้อนฉ่าทันที

เย่โม่ก็เพิ่งจะรู้สึกตัวเช่นกัน  เขาจึงรีบปล่อยฉือหว่านชิงทันที  “เธอไม่เป็นอะไรแล้ว...พักผ่อนเถอะ   สัตว์ตัวนั้นมีพิษร้ายแรง  เดี๋ยวผมจะออกไปตามหามันเสียหน่อย”

ที่เย่โม่คิดจะตามหาด้วงเปลือยนั้นมีสาเหตุอยู่  ในเมื่อที่นี่ปรากฏด้วงเปลือยออกมาแล้ว  นั่นก็หมายความว่าแถวนี้มีสมุนไพรวิญญาณอยู่  รวมถึงการจะหาด้วงเปลือยสักตัวในโลกที่ขาดแคลนพลังวิญญาณนั้นถือว่ายากลำบาก  ปกติมันจะอาศัยอยู่ในจุดที่พลังวิญญาณหนาแน่นเท่านั้น

เมื่อเห็นว่าสีหน้าของฉือหว่านชิงฟื้นกลับมาเป็นปกติแล้ว  เย่โม่ก็พูดขึ้น  “ครั้งหน้าอย่าทำเรื่องอันตรายแบบนี้อีก  รู้ไหมว่าผมเกือบช่วยเธอไม่ได้แล้ว  จริงๆ เลย...”

ที่เย่โม่ต้องการจะสื่อก็คือ  เดิมทีแล้วเรื่องพวกนี้มันไม่จำเป็นเลย  หากฉือหว่านชิงไม่พุ่งเข้ามาตอนนั้นเขาก็ไม่มีทางถูกมันกัดได้แน่นอน  แต่เรื่องนี้พูดไปแล้วก็อาจจะทำร้ายจิตใจเธอได้  ถึงยังไงฉือหว่านชิงก็พยายามจะช่วยเขา  ถึงเธอจะไม่รู้ว่าเขาหลบได้ก็ตาม

“ไม่!  หากมีครั้งนี้อีกฉันก็จะทำ  ถ้าพี่ติดพิษก็จบกัน  แต่ถ้าเป็นฉันล่ะก็...บางทีพี่อาจจะช่วยชีวิตฉันได้”  ถึงแม้เสียงของฉือหว่านชิงจะแผ่วเบาแต่ก็แฝงไว้ด้วยความหนักแน่น

เย่โม่ตกตะลึงไปชั่วครู่  เขารู้สึกตื้นตันขึ้นมาเล็กน้อย  “ยัยโง่  ถ้าเธอติดพิษจริงก็ไม่แน่ว่าผมจะช่วยได้เสียหน่อย  เรื่องวันนี้ถือว่าอันตรายมาก  ครั้งหน้าก็จำไว้  ถ้าผมช่วยไม่ได้แล้วเธอจะทำยังไงกัน?”

ฉือหว่านชิงส่ายหัว  “พี่ใหญ่เย่  ฉันไม่เข้าใจ...พี่ช่วยชีวิตฉันไว้  ฉันแค่ไม่อยากเห็นพี่ถูกงูกัด  ต่อให้พี่ช่วยฉันไม่ได้ฉันก็ยังยินดีที่ได้ช่วยพี่  ต่อให้มีครั้งหน้าอีก  ฉันก็จะทำ...”

ราวกับว่ากำลังกลัวเย่โม่ต่อว่าอยู่  เสียงของเธอจึงค่อยๆ เบาลง

เย่โม่ถอนหายใจ  หญิงสาวตัวเล็กแค่นี้  ทำคนอื่นปวดหัวจริงๆ  เขากระทั่งสงสัยว่าการที่ตัวเองมาส่งฉือหว่านชิงนี่เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้วหรือไม่  ดูเหมือนฉือหว่านชิงจะไม่ใช่แค่อยากตอบแทนบุญคุณเขาง่ายๆ แค่นั้นเสียแล้ว

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด