บทที่ 1. แผ่นดินทะเลทราย
บทที่ 1. แผ่นดินทะเลทราย
หญิงสาวกระพริบตาถี่ๆ ก่อนจะลืมตาตื่นอย่างเต็มตา เธอยกมือขึ้นเช็ดรอยชื้นที่ขอบตาก่อนเหลียวมองการเคลื่อนไหวรอบข้างขณะที่ได้ยินเสียงประกาศให้ผู้ดยสารบนเครื่องบินทราบว่าอีกไม่กี่นาทีเครื่องบินจะแตะรันเวย์
ติชิลา จิตรกัญญา หญิงสาววัย 24 ปี ดีกรีปริญญาโทด้านศิลปะจากประเทศอังกฤษกำลังเดินทางไปสู่ประเทศ บัดรีญา ประเทศเล็กๆ ที่เธอแทบไม่เคยได้ยินชื่อตามคำเชิญชวนของวิชญะ ผู้เป็นลุงที่หญิงสาวให้ความเคารพนับถืออย่างยิ่ง แท้จริงแล้ว...การเดินทางครั้งนี้เป็นเพียงการหลบหน้าผู้คน เพราะยังทำใจรับความผิดหวังในความรักไม่ได้
2 เดือนที่ผ่านมา มันไม่สามารถทำให้เธอลืมความทุกข์ใจกับความรักที่พังทลายลงได้ เวลาตลอด 3 ปีครึ่งที่เธอร่ำเรียนอยู่อังกฤษ เธอไม่เคยนอกใจเขาเลยสักวินาทีทั้งที่...เธอต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวไม่มีญาติพี่น้องหรือเพื่อนสนิทอยู่รอบข้าง แต่ในระยะทางที่ห่างไกลทำให้ “ธนภูมิ” ชายคนรักของเธอปันใจให้กับ“ปรายฝน” ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของเธอเองจนกระทั่งปรายฝนตั้งท้องลูกของธนภูมิ
‘เพลง...เธอต้องเข้าใจฉันนะ...พี่ภูมิรักเธอมาก แต่เธอจะให้ลูกของฉันเป็นลูกไม่มีพ่อเหรอ? ถ้าเป็นเธอ...เธอจะทำได้เหรอ’
‘แต่...แต่เพลงคบกับพี่ภูมิมาตั้ง 6 ปี ...ฝนเองก็รู้...เพลง...เพลงคบกับพี่ภูมิตั้งแต่เรียนมหา’ลัย ผู้ใหญ่ของเราก็รับรู้...’
‘ใช่...พี่ภูมิไม่ผิดหรอก...ฝนผิดเองที่รักพี่ภูมิอยู่ข้างเดียว...และอาศัยความอ่อนไหวของพี่ภูมิที่อยู่ไกลเพลง ช่วงชิงพี่ภูมิมาจากเพลง...แต่...ฝนขอแค่ให้พี่ภูมิยอมรับลูกของเราก็เท่านั้น’
ติชิลายกมือขึ้นทาบหน้าอกความรู้สึกเจ็บปวดแล่นเข้ามาจนเจ็บปวดหัวใจไปหมด แค่คิดถึงเรื่องราวเหล่านั้น ร่างกายเธอมันก็แทบจะแบกรับความเจ็บปวดไม่ไหว เธอรู้จักปรายฝนเมื่อครั้งที่เข้าเรียนมหาวิทยาลัยเป็นนักศึกษาปี 1 ด้วยกัน ปรายฝนเป็นคนเรียนดีแต่ยากจน สิ่งนั้นไมได้ทำให้เธอรู้สึกรังเกียจเพื่อนคนนี้เลยแม้แต่น้อย นิสัยจริงใจและตรงไปตรงมาของปรายฝนทำให้เธอเชื่อใจและขอให้คุณพ่อกับคุณแม่ช่วยสนับสนุนทุนการศึกษาให้กับปรายฝน ซึ่งท่านทั้งสองก็ยินดี ปรายฝนแวะมาที่บ้านของเธอบ่อยๆ จนสนิทสนมกับทุกคนในครอบครัวของเธอโดยเฉพาะ “ธนภูมิ” คู่หมั้นที่ผู้ใหญ่หมั้นหมายไว้ให้ก่อนที่เธอกับธนภูมิจะรู้จักกันด้วยซ้ำ ธนภูมิอายุมากกว่าติชิลา 3 ปี แต่เขาเป็นกันเองกับเธอและทำให้เธอยอมรับการหมั้นหมายโดยไม่มีข้อโต้แย้ง ทั้งสามคนมักจะไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอแต่ไม่เคยคิดเลยว่า เรื่องราวแบบนี้จะเกิดขึ้นในชีวิต มันไม่ควรจะเกิดขึ้น เธอเองอยู่ไกลเขาไม่มีคนอื่น ทำไมเขาถึงมีใครอีกคนแทรกเข้ามาแทนที่ระหว่างความเป็นเรา หญิงสาวไม่แน่ใจว่าทีเธอต้องปวดร้าวมากมายขนาดนี้เพราะผู้หญิงคนนั้นคือเพื่อนรักของเธอหรือไม่?
ติชิลาสะบัดศีรษะไล่ความคิดที่วิ่งวนในหัวไปมา เธอเดินเข้ามาในสนามบินแล้วมองหาคนที่จะมารับ เธอเคยเดินทางไปต่างประเทศอยู่หลายครั้งแต่นี่เป็นครั้งแรกที่เธอมาเยือนดินแดนที่ถูกโอบล้อมด้วยทะเลทราย
“หลานเพลง! ทางนี้!!”
“ลุงวิชญะ”
หญิงสาวยิ้มกว้างแล้วเร่งเดินไปหาชายร่างใหญ่อายุราว 55 ปี ที่อ้าแขนรออยู่ก่อนแล้ว ร่างเล็กของหญิงสาวโผเข้าไปกอดด้วยความคิดถึง เธอกลายเป็นลูกแมวน้อยทันทีเมื่อได้อยู่ใกล้ชายผู้เป็นลุงคนนี้
“นั่งมาเครื่องเหนื่อยไหม”
“ไม่เลยค่ะ เพลงตีตั๋วยาวหลับตลอดทาง”
“มาที่นี่ ลุงจะพาเที่ยวไม่ให้มีเวลานอนเลย”
“ลุงจะมีเวลาพาเพลงเที่ยวหรือคะ”
“เพื่อหลานรัก ลุงหาเวลาให้ได้อยู่แล้วละ”
ทั้งสองหัวเราะกันอยู่ครู่ใหญ่ วิชญะกระดิกนิ้วเรียกคนติดตามให้จัดการลากกระเป๋าเดินทางให้หลานสาว แต่เธอยื้อไว้จะถือเอง
“มีอะไรสำคัญหรือ?” วิชญะถามอย่างแปลกใจ
“ก็...ไม่มีอะไรค่ะ...แค่...อุปกรณ์วาดรูป”
ติชิลาพูดอย่างเขินอาย เธอไม่ห่วงเรื่องเสื้อผ้าหรือเครื่องสำอางแต่ที่อุตส่าห์หอบมาคืออุปกรณ์สำหรับวาดรูป ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เธอรู้สึกใจสงบนิ่งลงได้ ไม่ว่าจะเจอเหตุการณ์อะไรก็ตาม
“ไม่ต้องห่วงหรอก คนของลุงจะดูแลอย่างดีประดุจเพชร ‘น้ำตาจันทรา’ เชียวละ” วิชญะหัวเราะในลำคอแล้วส่งกระเป๋าของหลานสาวให้คนสนิทถือไปเก็บที่รถ
ติชิลาเอียงคออย่างสงสัย “น้ำตาจันทราคืออะไรคะ”
“เพชรรูปหยดน้ำสีชมพูที่ประเมินมูลค่าไม่ได้ไงละ” วิชญะมองอย่างงุนงงไม่แพ้กัน “นี่หลานไม่เคยได้ยินเรื่องพวกนี้เลยหรือ?”
ติชิลาส่ายหน้าไปมา “เพลงคงไม่สมกับเป็นหลานคุณวิชญะ ผู้โด่งดังในแวดวงเครื่องประดับระดับโลก”
“...และยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่โรงแรม Diamondในประเทศบัดรีญาด้วย” วิชญะพูดยิ้มๆ
“เพลงนี้ไม่รู้อะไรเลยจริงๆ ด้วย” ติชิลาหัวเราะเสียงใส
“คิดว่าลุงจะให้หลานเพลงไปนอนเต้นท์กลางทะเลทรายหรือไง” วิขญะบีบจมูกหลานสาวเบาๆ
“อ้าว! เพลงก็นึกว่าจะได้ทำแบบนั้นเหมือนกัน” ติชิลาหัวเราะคิกคักแล้วก้าวเข้าไปนั่งในรถลีมูซีนที่จอดรออยู่ก่อนแล้ว
“ถ้าอย่างนั้นลุงจะจัดลงในโปรแกรมทัวร์ของหลานด้วย” วิชญะหัวเราะอารมณ์ดีซึ่งไม่ค่อยมีใครได้เห็นเขาเป็นแบบนี้นัก อาจเป็นเพราะได้อยู่กับหลานรักก็เป็นได้
“ท่าทางว่าจะเป็นการท่องเที่ยวที่แสนวิเศษในชีวิตของหลานเลยนะคะ” ติชิลายิ้มแล้วเอนตัวพิงกับไหล่ของลุง “ขอบคุณคุณลุงมากนะคะ”
“ลุงต่างหากที่ต้องขอบใจหลานเพลง” วิชญะตบหลังมือของหญิงสาว “จะอยู่ที่นี่นานแค่ไหนก็ได้แต่ขอให้อยู่อย่างสบายใจ”
ติชิลาพยักหน้ารับ เธอนึกถึงข้อเสนอเมื่อราวๆ 1เดือนก่อนหลังจากเหตุการณ์ที่ความจริงเปิดเผย ครอบครัวของเธอกับธนภูมิแทบมองหน้ากันไม่ติด ผู้ใหญ่ทางฝั่งชายเสนอให้ธนภูมิรับเป็นพ่อเด็กแต่ไม่ต้องจดทะเบียนสมรสกับปรายฝน และให้ติชิลากับธนภูมิแต่งงานกันตามเดิม แต่เธอจะทำอย่างนั้นได้อย่างไร ถึงยังไงปรายฝนก็เป็นเพื่อนเธอ เป็นผู้หญิงเหมือนกัน เมื่อได้ยินเรื่องราวจากปากของปรายฝนเธอก็ได้แต่รู้สึกว่าตัวเองนั้นแหละ ที่ควรจะเดินออกมาจากเรื่องราวเหล่านั้น เธอต่างหากที่กำลังทำลาย ‘ครอบครัว’ ของเพื่อนรัก
ช่วงนั้นวิชญะ เดินทางมาดูงานที่เมืองไทย วิชญะเป็นลุงแท้ๆ ของเธอแต่ยังไม่มีครอบครัว ไม่ซิ! ไม่ใช่! ติชิลาเคยได้ยินจากปากของแม่ว่าลุงเคยจะแต่งงานกับหญิงสาวคนหนึ่ง แต่เนื่องจากความแตกต่างทางวัฒนธรรมและศาสนาทำให้ทั้งคู่ต้องเลิกลากันทั้งที่รักกัน และนับจากนั้นลุงของเธอก็ไม่ได้แต่งงานอีก อาจจะมีข่าวว่าลุงมีหญิงสาวที่คบหาบ้างแต่ไม่มีใครจะมาร่วมสร้างครอบครัวกับลุง เพราะเหตุนี้ด้วยทำให้วิชญะรักเธอซึ่งเป็นหลานสาวประดุจลูกแท้ๆ วันเกิดแต่ละปีมักจะมีของขวัญชิ้นใหญ่ให้เธอเสมอ ไม่ว่าจะเป็นรถสปอร์ต เครื่องประดับ ฯลฯซึ่งเธอก็แทบไม่เคยใช้เลย เพราะเธอชอบชีวิตเรียบง่ายมากกว่า
ความเศร้าของเธอไม่อาจซุกซ่อนไว้ได้มิดชิด เมื่อวิชญะรับรู้เรื่องราวอันปวดร้าวของหลานสาว จึงเสนอให้เธอมาพักผ่อนกับเขาที่บัด-รีญ่า ซึ่งวิชญะถือหุ้นในโรงแรมนี้อยู่ถึง 40% ติชิลาลังเลเล็กน้อยก่อนตอบตกลง พ่อกับแม่ของเธอเห็นดีเห็นงามกับการเดินทางครั้งนี้ แม้ว่าเธอเพิ่งกลับมาจากอังกฤษได้แค่เดือนเศษๆ เท่านั้น
“จากสนามบินไปโรงแรมใช้เวลาชั่วโมงนิดๆ แต่สองข้างทางก็มีอะไรให้ดูเยอะ” วิชญะชวนคุยแล้วชี้ไปนอกกระจกรถ
ติชิลามองตามปลายนิ้วของผู้เป็นลุง ตึกรามบ้านช่องที่ดูแปลกตาทำให้เธอตื่นเต้น “ตึกเก่าเยอะแยะเลยนะคะ”
“ชีคชารีฟมีดำริให้อนุรักษ์ไว้”
“ชีคชารีฟ?” ติชิลาทวนคำ “ที่นี่มีชีคด้วยเหรอคะ”
“บัดรีญามีชีคเป็นผู้นำประเทศ” วิชญะอธิบาย “บัดรีญามีวัฒนธรรมที่ยาวนานกว่าห้าร้อยปี สถาปัตยกรรมสวยๆ อีกมากที่ผสมผสานศาสนาเข้าไปด้วย หลานเพลงน่าจะชอบ”
“ชีคชารีฟ” หยิงสาวทวนคำ
“ชีคชารีฟ ชาฮ์ มุกเคอร์จี อายุสามสิบหกปีแล้วแต่ยังไม่ทรงอภิเษก หล่อเหลาและร่ำรวย เป็นที่หมายปองของสาวๆ เคยขึ้นหน้าปกนิตยสารและหนังสือพิมพ์หลายฉบับด้วยนะ หลานเพลงไม่เคยเห็นเหรอ”
ติชิลาส่ายหน้าไปมา “ลุงก็น่าจะรู้นี่คะ...หลานไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้”
“โอ้! ลุงลืมเสียสนิทเลย” วิชญะหัวเราะเสียงดัง “หลานของลุงหลงรัก พอลโกแกง แวนโก๊ ปีกัสโซ่ แล้วก็ใครอีกนะ...”
“พอแล้วคะคุณลุง เลิกล้อเพลงแบบนี้ได้แล้ว”
ติชิลายิ้มอายๆ จะว่าไปเธอก็หลงรักกลิ่นสีมากกว่าธนภูมิมากกว่า ให้เธออยู่ห่างธนภูมิ...เธอยังพอทนได้แต่ให้อยู่ห่างอุปกรณ์วาดรูปละก็...เธออาจลงแดงตายก็ได้ เพียงคิดถึงตอนนี้เธอก็หัวเราะคิกคักออกมาเบาๆ
วิชญะได้แต่มองหลานสาวอย่างพอใจ เขาไม่มีลูกไม่มีครอบครัว เขาเลือกใช้ชีวิตเดินทางไปทั่วโลกเพื่อซื้อขายเพชร แต่สิ่งเดียวที่ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นและไม่โดดเดียวคือการได้กลับมาประเทศเกิดและอยู่กับครอบครัวของน้องชายซึ่งมีลูกสาวที่แสนน่ารัก เขาคิดเสมอว่าหากเขาเป็นอะไรไป ทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่เขามีจะยกให้กับติชิลา
ชายวันกลางคนหวังใจเหลือเกินว่าจะไม่มีเรื่องยุ่งวุ่นวายใจใดๆ กับหลานสาวสุดที่รักคนนี้ระหว่างที่เธอพักรักษาแผลใจที่บัดรีญ่า