บทที่ 60 งูน้อยตาเขียว
กัวฉี่ที่เดินออกมาจากเต็นท์พูดขึ้น “พี่เย่ ถึงแม้เต็นท์อันนี้จะดูธรรมดาซอมซ่อไปบ้างแต่ก็ถือว่าใช้ได้แล้ว คืนนี้ผมกับเสี่ยวฟางจะรับผิดชอบเฝ้าให้เอง พี่เข้าไปพักเถอะ”
เย่โม่พูดยิ้มๆ “ไม่จำเป็นหรอก หน้าที่เฝ้าระวังคืนนี้ปล่อยให้ผมทำเถอะ ตอนกลางคืนผมชอบออกมาอยู่ข้างนอกน่ะ...จริงสิพี่กัว พี่อายุมากกว่าผมเยอะ ต่อไปเรียกผมตรงๆ ว่าเย่โม่ก็ได้” เย่โม่รู้สึกว่ากัวฉี่เป็นคนที่ใช้ได้เลย เขาให้ความสำคัญกับความรู้สึกของเพื่อนร่วมทีม นี่ทำให้เย่โม่รู้สึกอยากเป็นเพื่อนกับเขาขึ้นมา
กัวฉี่ที่เป็นคนตรงไปตรงมาไม่ชอบอ้อมค้อมก็พูดขึ้น “ดี! งั้นผมก็จะไม่เกรงใจแล้ว แต่อย่าเรียกผมว่าพี่กัวเลย คนในทีมมักเรียกผมว่าต้าฉี่ นายก็เรียกผมว่าต้าฉี่เถอะ เป็นเกียรติที่ได้เป็นเพื่อน...ไม่สิ ต้องเป็นพี่น้อง นายคิดว่ายังไง…น้องเย่?”
เย่โม่พยักหน้า “ดี!”
เมื่อคิดถึงว่าเย่โม่กล้าย่างกระต่ายคนเดียวอย่างสบายใจท่ามกลางป่าใหญ่แบบนี้แล้ว กัวฉี่ก็ไม่ได้ทักท้วงอะไรเย่โม่ หลายวันมานี้เขาเหนื่อยมากจริงๆ เขาจึงเข้าไปพักกับฟางเว่ยอย่างไม่อิดออด
ภายในเต็นท์ หลูหลินมองฉือหว่านชิงที่ราวกับมีเรื่องในใจอยู่ “หว่านชิง เธอรู้สึกว่าเย่โม่เป็นคนยังไง?”
“อา...” ฉือหว่านชิงที่กำลังคิดอะไรอยู่ในใจถูกหลูหลินถามอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวจึงเสียงรับออกไปคำหนึ่ง ไม่นานเธอก็ตั้งสติได้ เงียบไปครู่หนึ่งจึงค่อยพูดขึ้น “ฉันรู้สึกว่าพี่ใหญ่เย่เป็นคนดีทั้งยังเก่งมากด้วย อีกอย่าง...อีกอย่าง...”
ฉือหว่านชิงพูดค้างอยู่ครึ่งวันก็ยังไม่สามารถอธิบายความรู้สึกนั้นออกมาได้
“หว่านชิง…เธอเข้าร่วมกองทัพมาก็ 3 ปีแล้ว ฉันรู้สาเหตุที่เธอมาเป็นทหารดี แต่เมื่อหญิงสาวทุกคนโตขึ้นก็จำเป็นต้องหาสถานที่ที่เป็นของตัวเอง ตั้งแต่เข้าร่วมกองทัพมาเธอยังไม่เคยแสดงท่าทีดีๆ ต่อทหารหนุ่มคนไหนเลยสักครั้ง เมื่อ 3 ปีก่อนเพื่อหนีการจับคู่ของพ่อรวมถึงเรื่องของแม่เธอจึงทำให้มาอยู่ตรงนี้ ตอนนี้ก็ผ่านมา 3 ปีแล้ว...หรือเธอวางแผนว่าจะอยู่อย่างนี้ทั้งชีวิต? บางครั้งถ้าความสุขมาหยุดอยู่ตรงหน้าแล้ว...เราก็ไม่ควรจะปฏิเสธมันนะ” พูดถึงตรงนี้หลูหลินก็ถอนหายใจออกมา
ผ่านไปนานหลูหลินจึงค่อยพูดต่อ “ปีนั้นตอนที่ฉันเพิ่งเรียนจบ ปวช. ก็กำลังอยู่ในช่วงวัยรุ่นเลย ตอนที่ฉันเพิ่งเข้าทำงานได้ใหม่ๆ ในหน่วยงานศิลปะ ฉันก็ได้พบกับเขา…เขาเป็นชายหนุ่มรูปหล่อคนหนึ่ง ไม่ใช่แค่ฉันเท่านั้น...แต่หญิงสาวคนอื่นๆ ในที่ทำงานต่างก็แอบชอบพอเขากันทั้งนั้น”
“แต่เขากลับทำดีต่อฉันมาก เขาชวนฉันไปออกเดทอยู่หลายครั้ง ครึ่งปีให้หลังเขาก็ขอฉันแต่งงาน ตอนนั้นฉันเพิ่งจะอายุได้ 19 ปี อีกฝ่ายอายุได้ 27 ปีแล้ว ฉันรู้สึกทำตัวไม่ถูกอยู่บ้าง…ถึงแม้จะชอบเขาแต่ก็บอกไปว่าฉันยังเด็กอยู่เลย เลยขอให้เขารอ ผ่านไปอีกครึ่งปี...ตอนวันเกิดอายุ 20 ปีเขาก็มาขอฉันแต่งงานอีกครั้ง แต่ฉันอยากรออีกสักหน่อย เพราะรู้สึกว่าตัวเองยังเด็กอยู่มากจริงๆ จึงไม่กล้าจะสร้างครอบครัว”
“แต่หลังจากวันนั้นฉันก็ไม่ได้เจอกับเขาอีกเลย...เขาจากไปแล้ว ฉันรอเขาอีก 1 ปีแต่ก็ไม่มีข่าวคราวของเขาเลย ตอนนั้นฉันจึงคิดว่า...ขอแค่เขาปรากฏตัวให้เห็นฉันก็เต็มใจจะแต่งงานกับเขาทันที แต่เขาก็ไม่โผล่มา ฉันไม่มีแก่ใจจะทำงานที่นั่นต่อแล้วจึงได้มาเข้าร่วมกับกองทัพแบบนี้”
“หว่านชิง บางครั้งโอกาสก็มีแค่ครั้งเดียวเท่านั้น พลาดแล้วก็ไม่มีอีกเลย เชื่อฉันเถอะ ฉันพบเจอกับคนในกองทัพมามากมายหลายรูปแบบ กับเย่โม่คนนี้...ฉันดูแล้วว่าเขาไม่ใช่พวกเจ้าเล่ห์หลอกลวง แววตาของเขาไม่หลุกหลิกล่อกแล่ก เพียงแค่ยากจนไปหน่อยก็เท่านั้น”
“แต่จากฐานะครอบครัวของเธอแล้วยังต้องสนใจเรื่องเงินทองของเขาอีกหรือไง? อีกอย่างยังมีคำพูดที่ว่า ‘อย่าได้ดูถูกคนหนุ่มจนๆ เชียว’ ฉันว่าถ้าเธอชอบคนจากครอบครัวรวยๆ จริง...ปีนั้นเธอก็คงไม่ปฏิเสธครอบครัวของเธอแล้วหนีออกมาแบบนี้หรอก” พูดจบหลูหลินก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ ไม่แน่ใจว่ากำลังคิดถึงเรื่องตอนที่ตัวเองยังสาวช่วงนั้นหรือไม่
“พี่หลิน…ที่จริงแล้วฉันไม่ได้คิดกับเย่โม่อย่างที่พี่ว่าเลย ก็แค่...อา ฉันไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงดี ไม่พูดกับพี่แล้ว ฉันไปหาพี่ใหญ่เย่ดีกว่า” พูดเสร็จฉือหว่านชิงก็ลุกขึ้นเดินออกจากเต็นท์ไป
“หืม...หว่านชิง ขาของเธอเดินได้แล้วหรือ” หลูหลินชี้ไปทางขาของฉือหว่านชิงอย่างประหลาดใจ
“แน่นอน! จริงๆ แล้วตอนที่พี่ใหญ่เย่แบกฉันไปสักพักก็รู้สึกว่าเดินได้แล้ว เพียงแค่เดินนานๆ แล้วจะปวดนิดหน่อยก็เท่านั้น...” ฉือหว่านชิงพูดถึงตรงนี้ก็เหมือนกับจะคิดอะไรขึ้นมาได้ เธอไม่กล้าพูดอะไรต่อแล้วรีบวิ่งออกไปทันที อยู่ๆ เธอก็รู้สึกร้อนๆ ที่หน้าขึ้นมาเหมือนกับว่าเธอเพิ่งถูกหลูหลินจับไต๋ได้อย่างไรอย่างนั้น
หลูหลินนั่งมองฉือหว่านชิงที่วิ่งออกไปด้วยอาการตกตะลึง ฉือหว่านชิงคล้ายกับเธอสมัยนั้นเลย แต่เย่โม่นั้นกลับไม่คล้ายชายที่ตามจีบเธอตอนนั้นแม้แต่น้อย
เวลานี้เย่โม่กำลังนั่งทำสมาธิอยู่บนก้อนหินไม่ไกลจากที่พักนัก แท้จริงแล้วเขากำลังใช้จิตสัมผัสเพื่อวิเคราะห์แผนที่ที่เขาพบเจอมา ลวดลายบนแผนที่อันนั้นถูกเย่โม่คิดทบทวนไม่รู้ตั้งกี่รอบแล้ว เมื่อรวมกับสิ่งที่ฉือหว่านชิงช่วยเขาแปล...เย่โม่ก็พบว่ามันคือทะเลทรายทากลามากันจริงๆ
ถึงแม้เย่โม่จะไม่เคยไปที่ทะเลทรายทากลามากัน แต่แผนที่ประเทศจีนนั้นเขาเคยเห็นรายละเอียดมาก่อน เขารู้ที่ตั้งของมันอย่างชัดเจน แต่กับ ‘ทะเลสาปคู่’ นั้น...เย่โม่ยังไม่รู้เรื่องของมันแม้แต่น้อย แล้วยังมี ‘ประตูศักดิ์สิทธิ์’ อีก มันเป็นสถานที่แบบไหนกัน?
ส่วน ‘เถาวัลย์หัวใจม่วง’ นั้นเย่โม่รู้จักดี มันคือต้นไม้วิญญาณชนิดหนึ่งที่ใช้ทำยาสำหรับคนที่ยังอยู่ในด่านรวบรวมปราณ ถึงแม้เงื่อนไขในการเติบโตของต้นไม้ชนิดนี้จะไม่ยากลำบาก แต่ก็ไม่มีทางเติบโตในสถานที่อย่างทะเลทรายแน่นอน เพราะต้นไม้วิญญาณชนิดนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดในการเจริญเติบโตของมันก็คือ...น้ำ
ทะเลทรายทากลามากันคือทะเลทรายที่ใหญ่ที่สุดของจีน แต่ความชื้นโดยเฉลี่ยต่อปีนั้นไม่เคยเกิน 100 มิลลิลิตร กระทั่งว่ามีอยู่ปีหนึ่งที่ความชื้นในอากาศมีเพียงไม่กี่มิลลิลิตรเท่านั้นเอง แล้วอย่างนี้จะทำให้ต้นไม้วิญญาณเติบโตได้อย่างไร?
ถึงแม้เย่โม่จะกำลังคิดเรื่องอื่นอยู่ แต่พอฉือหว่านชิงออกมาจากเต็นท์เขาก็รับรู้ได้ในทันที เย่โม่ยิ้มบางๆ คิดในใจว่าสาวน้อยคืนนี้ถึงจะมีท่าทีเย็นชา แต่ก็เหมือนจะชอบตามติดเขาแจอยู่บ้าง
ขณะที่ฉือหว่านชิงกำลังคิดอยู่ว่าจะทักทายเย่โม่ยังไงดีนั้นเอง เธอก็เห็นเย่โม่หันมายิ้มให้เธอ ในใจของฉือหว่านชิงรู้สึกผ่อนคลายลง เธอรีบเดินเข้าไปหาเขาทันที
ตอนที่ฉือหว่านชิงกำลังเดินไปด้านหลังของเย่โม่นั้นเอง หน้าของเธอพลันเปลี่ยนสีทันที มีงูน้อยสีเทาดวงตาสีเขียวสว่างตัวหนึ่งกำลังพุ่งฉกไปยังด้านหลังของเย่โม่!
แย่แล้ว! ฉือหว่านชิงได้ยินมาว่างูที่มีหัวรูปสามเหลี่ยมนั้นล้วนเป็นงูมีพิษ แต่งูตัวนี้ไม่เพียงมีสามเหลี่ยมเท่านั้น เหลี่ยมตรงหัวของมันยังแหลมอีกด้วย โดยไม่ทันได้คิดอะไรต่อ...ฉือหว่านชิงรีบพุ่งไปด้านหลังของเย่โม่ทันที!
งูตาเขียวหัวสามเหลี่ยมที่พุ่งโจมตีหวังฆ่าทางด้านหลังนั้น...เย่โม่รับรู้ถึงมันดี ต่อให้ฉือหว่านชิงไม่พุ่งเข้ามาเขาก็มีหนทางหลบเลี่ยงงูตัวนี้แน่นอน แต่เวลานี้ถ้าหากเขาอยากจะลากฉือหว่านชิงออกไปให้พ้นทางด้วยกันล่ะก็...ตอนนี้ก็คงเป็นไปไม่ได้เสียแล้ว
ราวกับว่างูตัวนั้นไปถึงเป้าหมายพร้อมกันกับฉือหว่านชิง ฉือหว่านชิงอยู่ด้านหลังของเย่โม่...ส่วนงูตาเขียวก็ห่างออกไปเพียงไม่กี่เมตรเท่านั้น ถึงแม้จะถึงเป้าหมายในเวลาเดียวกันแต่ก็เห็นได้ชัดว่างูตัวนี้เร็วมาก มันพุ่งเข้าไปกัดหลังของฉือหว่านชิงแทนอย่างแม่นยำ เย่โม่ตกตะลึงแต่ก็ไม่ได้ร้อนใจนัก เขาไม่เชื่อว่ากับแค่พิษงูเขาจะรักษาไม่ได้
เย่โม่หันกายกลับมากอดฉือหว่านชิงไว้ในอ้อมแขน เขามองเห็นงูตาเขียวที่นิ่งมองเขาอยู่ไม่ไกล มันต้องการจะโจมตีมาที่เขาเป็นครั้งที่ 2 ดูท่าว่างูตัวนี้จะอยากกัดเขาให้ได้ ความโกรธของเย่โม่พลุ่งพล่านขึ้นมา แค่ยกมือขึ้นตะปู 3 ตัวก็ถูกซัดออกไป
ฉึก! ฉึก! ตะปูที่ซัดออกไปกลับไม่มีตัวไหนพุ่งทะลุหัวของงูตาเขียวเลย 2 ตัวพุ่งไถลผ่านผิวของมันไป มีเพียงตะปูตัวเดียวที่เรียกเลือดของมันได้ ราวกับมันจะรู้แล้วว่ามนุษย์ตรงหน้าอันตราย มันจึงเลื้อยหนีหายลับไปอย่างไร้ร่องรอย
แย่แล้ว! นี่มันไม่ใช่งู เย่โม่ได้สติกลับมาทันที มองฉือหว่านชิงในอ้อมแขนที่ตอนนี้สีหน้าได้กลายเป็นสีเทาแล้ว
เป็นพิษที่ร้ายแรงมาก! เย่โม่ได้แต่ร้องในใจว่าแย่แล้ว
เวลานี้เองที่หลูหลินและพวกกัวฉี่เดินออกมา พวกเขามองสถานการณ์แล้วก็รู้ทันทีว่าฉือหว่านชิงถูกงูกัด ทั้งยังเป็นงูที่มีพิษร้ายแรงเสียด้วย