คาถาพิเศษ [Part 2]
ในที่สุดพวกผมก็มาถึงเชียงคานจนได้
หลังจากถึงสนามบินจังหวัดเลย พวกเราก็ได้ต่อรถตู้ตรงไปยังอำเภอเชียงคาน สถานที่พักของเราสามวันสองคืน คนเลือกที่จะมาที่นี่ไม่ใช่ใคร เป็นไอ้อิฐนั่นเอง เพราะคราวที่แล้วมันบ่นบอกเบื่อเที่ยวเขา เที่ยวดอยจะแย่อยู่แล้ว ผมก็พอเข้าใจนะ มันเป็นคนเชียงใหม่ อยู่แถวนั้นก็อยากจะมาเที่ยวที่อื่นบ้าง
ครั้งนี้พวกผมเลยให้มันเป็นคนตัดสินใจเลือกว่าอยากไปที่ไหน และผลสรุปก็คือพวกเรามาเที่ยวเชียงคานกันสามวันสองคืน ตัวผมเองเคยมาที่นี่เมื่อสองสามปีก่อนกับครอบครัว แต่มาช่วงหน้าหนาวคนเลยเยอะเอามาก ๆ ผิดกับตอนนี้ที่เป็นหน้าฝน ซึ่งแน่นอนว่าจำนวนคนหายไปมากโขเลยทีเดียว
เชียงคานเป็นเมืองเล็ก ๆ ที่มีสเน่ห์อยู่ในตัว มันเงียบสงบ น่ามาพักผ่อนเอามาก ๆ รถตู้ขับพาพวกเราจากสนามบินมาส่งถึงที่พักใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง ตลอดทางที่ผ่านมา อาคาร บ้านเรือนแถวนี้ส่วนใหญ่ถูกสร้างด้วยไม้ ทำให้บรรยากาศรอบ ๆ ดูชิว ๆ สโลว์ไลฟ์ไปอีกแบบ ที่พักที่ไอ้อิฐจองไว้อยู่ติดริมโขงที่เห็นวิวรอบ ๆ ได้ดีทีเดียว แถมได้ในราคาที่เป็นมิตรเพราะเป็นช่วงโลว์ซีซันอีกต่างหาก แต่มีอย่างหนึ่งที่พวกเราแอบหวังไว้คือฝนจะไม่ตกลงมาระหว่างที่เรามาเที่ยวละกัน เพราะไม่งั้นคงจะไม่ได้ออกไปไหนแน่ ๆ
หลังจากจัดการเก็บของและได้ห้องกันเรียบร้อย พวกเราก็ออกไปหาอะไรกินด้านนอก เวลานี้เป็นเวลาเกือบบ่ายโมง ทุกคนดูหิวโซกันเป็นพิเศษเพราะเลยเวลาข้าวเที่ยงมานานแล้ว ว่าแล้วใยไหมก็เปิดแอพหาร้านเจ้าอร่อยแถวนี้เพื่อตามไปชิมกัน การเดินทางไปไหนแถว ๆ นี้ก็สามารถเดินหรือปั่นจักรยานไปได้รอบ ๆ
พอได้ร้านตามที่ต้องการพวกผมก็ได้จักรยานจากที่พักไปคนละคัน แล้วให้สาว ๆ ซ้อนไป ส่วนผีแมทธิวก็ชีวิตติดวาปช่วงนี้ ลอยไปลอยมาสบายเลย
โชคดีที่อากาศวันนี้ไม่ได้ร้อนมากเท่าไรนัก พวกผมเลยปั่นจักรยานเล่นไปชิว ๆ มองอาคารบ้านเรือนระหว่างทาง พร้อมกับมีไอ้อิฐถ่ายรูปเล่นให้เป็นระยะ ผมรู้สึกโอเคมากเลยที่มาในช่วงนี้ คนไม่เยอะจนเบียดกันเหมือนมาคราวที่แล้ว แต่ก็ต้องยอมเสียอะไรบางอย่างไป เช่นพวกร้านค้าไม่ได้เปิดเยอะเหมือนกัน สงสัยคงจะเป็นช่วงเย็น ๆ ที่มีถนนคนเดิน น่าจะมีร้านอะไรแถวนี้เปิดเยอะกว่าเดิม
“ชา ทำไมปั่นช้าจังเนี่ย คนอื่นเขาไปนู่นแล้วดูดิ” เสียงคนที่ซ้อนท้ายผมดังขึ้นมา ผมมองไปข้างหน้าก็เห็นไอ้คีย์กับไอ้อิฐปั่นนำหน้าอยู่ไม่ได้ไกลมากเท่าไรเหมือนไหมพูด สงสัยผมจะมองข้างทางเพลินไปหน่อยเลยปั่นช้า
“แหม ... ไหมก็ดูตัวพี่ฟอง กับกี้ดิ ตัวเล็กขนาดนั้น คนปั่นก็เลยปั่นได้ไวไง” ผมพูดไปขำ ๆ แซวไหมเล่น
ว่าแล้วปากผมก็หาเรื่องอีกจนได้ ไม่รู้เป็นอะไร ตั้งแต่ตอนเป็นเพื่อนจนกระทั่งถึงตอนนี้ก็ยังชอบกวนไหมอยู่เรื่อย
“นี่ว่าฉันอ้วนงั้นเหรอ ไอ้บ้าชา !” พูดแว้ดจบก็ตามมาด้วยมือที่ทุบมายังหลังผมเบา ๆ ก่อนจะเลื่อนมาจี้เอวผมแทน
“โอ๊ย ! ฮ่าฮ่า อย่าจี้เอว อย่าตี เดี๋ยวล้ม” ผมร้องออกมาหลังจากโดนคนที่นั่งข้างหลังแกล้ง ตอนนี้ปั่นเซไปเซมาจนเกือบไปอยู่กลางถนนอยู่แล้ว ดีที่ตอนนี้ไม่ค่อยมีคนเลย ถนนโล่งมาก
“ว้าย !”
ไหมร้องออกมาก่อนเอามือทั้งสองข้างมากอดเอวผมไว้แน่น เหมือนเจ้าตัวจะเสียหลักเมื่อกี้ ผมหัวเราะขำ ดี … กอดแน่น ๆ แบบนั้นล่ะ
“นี่ต้องกอดเอวไว้แบบนี้ดิ ถึงจะปั่นเร็วขึ้น ปั่นเซงไอ้คีย์ กับไอ้อิฐเลยถ้าไหมกอดต่อ” ผมพูดล้อ
ไม่มีเสียงตอบกลับมา แต่รู้สึกได้ถึงใครบางคนเอาหน้าพิงแผ่นหลังผมไว้อยู่ ถ้าเดาไม่ผิดป่านนี้ต้องหน้าแดงอยู่แน่ ๆ แต่มือของไหมก็ยังไม่ปล่อยจากเอวผมเลย
อยากกอดเค้าก็ไม่บอก ...
“มันโม้ อย่าไปเชื่อไหม” เสียงทุ้มห้าวดังขึ้นข้างหูทำให้ผมหันไปมอง เป็นไอ้ผีแมทธิวที่ยืนยิ้มทะเล้นอยู่นั่นเอง
“แมท มาตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย” ใยไหมร้องขึ้นมา หันไปมองไอ้แมท
“ก็มาทันตอนเห็นไหมเขินกอดไอ้ชาไม่ยอมปล่อยนั่นแหละ” ไอ้แมทตอบกลับมาพร้อมหัวเราะเบา ๆ
“โห นี่ถึงกับลอยมาเป็น กขค. กูเลยเหรอไอ้แมท”
“ไปข้างหน้าเลย ไหมเขินจนไม่ยอมคุยกับกูแล้วเนี่ย”
“เขินบ้าไร !”
ผมปั่นจักรยานตามซอยมาเรื่อย ๆ ผ่านร้านค้า สวนสาธารณะริมโขง สี่แยกไฟแดง ก่อนจะถึงร้านที่ส้มตำที่เราวางแผนจะไปกินกัน ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีก็มาถึง ที่ร้านคนไม่เยอะมากเท่าไรเพราะมันก็เป็นเวลาบ่ายแก่ ๆ แล้วด้วย ว่าแล้วพวกเราก็จัดเต็มสั่งอาหารมาเยอะแยะคนละอย่างสองอย่าง จนพอสั่งเสร็จก็ไม่แน่ใจว่าจะกินหมดหรือเปล่า
10 นาทีผ่านไป อาหารทุกอย่างที่สั่งไว้ก็มาวางอยู่ตรงหน้า ทั้งส้มตำ คอหมูย่าง ต้มแซบ ไก่ย่าง น้ำตกหมู อื่อฮือ เห็นแล้วน้ำลายไหลเลย ผมหยิบช้อนส้อมในมือเตรียมพร้อมตัก
“เดี๋ยว ๆ กูขอถ่ายรูปก่อน ใจเย็นไอ้ชา จะเอาไปรีวิวลงบล็อก” ไอ้อิฐพูดขึ้นมารีบเบรกผม ไอ้อิฐมีงานอดิเรกอีกอย่างหนึ่งคือนอกจากถ่ายรูปแล้ว มันก็ชอบเขียนรีวิวสถานที่ท่องเที่ยวลงบล็อก ลง ig ของมันด้วยครับ คนติดตามเยอะพอ ๆ กับเพจเรื่องผีสี่ห้าบรรทัดของผมเลย
“โอเค ๆ” ผมตอบมันไป
ไอ้อิฐจัดมุมจานอาหารดี ๆ ก่อนยกกล้องขึ้นมาถ่ายสี่ห้าภาพจนพอใจแล้วหันมาบอกผม
“เอาเลย ๆ”
ว่าแล้วผมก็รีบจ้วงเข้าปาก อื้มฮือ อร่อยสมคำร่ำรือ คอหมูย่างจิ้มแจ่วเนื้อนุ่มกำลังพอดี ติดมันหน่อย ๆ ย่างกรอบ ๆ ฟินครับ แต่เผ็ดไปหน่อยสำหรับคนที่ไม่ค่อยกินเผ็ดอย่างผม แต่คนอื่นก็บอกเผ็ดกำลังพอดี
“แมทมึงอยากกินปะวะ” ผมพูดเหลือบตาไปเห็นผีแมทธิวที่กำลังนั่งมองพวกเราทานกันอยู่อย่างเอร็ดอร่อย นี่ก็หิวจนลืมเพื่อนกันเลย
“มึงก็ถามตลก กูจะกินได้ไงวะ” ไอ้แมทตอบกลับมา
“เดี๋ยวกูจัดการให้ โทษทีว่ะ กูก็หิวจนลืมมึงเลย” ไอ้คีย์พูด พูดกับไอ้แมทจบมันก็หันไปเรียกแม่ค้าเพื่อขอจานเพิ่ม
“ป้าครับ ผมขอจานกับช้อนส้อมเพิ่มอีกที่ครับ”
หลังจากป้าเอาจานช้อนส้อมมาเพิ่มให้อีกที่ ไอ้คีย์ก็เอามือมันไปแตะ ๆ ที่จานอาหารทุกจาน พอทำแบบนั้นเสร็จผมก็เห็นว่าอาหารแต่ละจานมันมีภาพโปร่งแสงซ้อนทับขึ้นมา
“ทีนี้มึงก็กินได้ละ”
“เฮ้ย ! เจ๋งว่ะไอ้คีย์”
จากที่กลัวว่าจะทานไม่หมด ไม่ถึง 15 นาทีอาหารทุกอย่างก็ลงไปอยู่ในท้องของทุกคนเรียบร้อย หมดเกลี้ยงไม่เหลือสักจาน ทานเสร็จพวกเราก็นั่งแช่อีกสักพักรอให้อาหารย่อยก่อนปั่นจักรยานออกมาถ่ายรูปกับบริเวณรอบ ๆ ที่สวนสาธารณะริมโขง มองข้ามฝั่งไปก็เจอประเทศลาว ได้รูปจนพอใจก็แวะไหว้พระที่วัดศรีคุณเมืองซึ่งอยู่แถว ๆ กับสวนสาธารณะริมโขงให้เป็นศิริมงคล
ถ้าสงสัยว่าแมทธิวเข้าวัดได้ไหม เข้าได้ครับ ผมเชื่อว่าคนเราถ้าคิดดีจิตใจดี ก็ไม่มีอะไรต้องกังวล บางทีเรื่องความเชื่อของคนเรามันก็ไม่ได้ถูกต้องหรือผิดร้อยเปอร์เซ็นต์
มันขึ้นอยู่กับว่าเราจะเลือกเชื่อแบบไหนต่างหาก
เวลาผ่านไปไวจนเหมือนโกหก รู้ตัวอีกทีก็เกือบจะห้าโมงเย็นแล้ว พวกเราปั่นจักรยานถ่ายรูปเล่นจนเพลินตลอดเส้นทางปั่นจักรยาน แวะนั่งเล่นร้านกาแฟบ้างอะไรบ้าง ตอนนี้ก็เริ่มมีร้านค้าแถวนี้เริ่มเปิดขายของแล้ว แต่พวกเราคิดว่าจะนั่งเล่นแถวริมโขงอีกสักพักดูพระอาทิตย์ตกก่อนค่อยไปเดินถนนคนเดินแล้วหาอะไรกินเป็นอาหารเย็นกัน สรุปคือวันนี้ทั้งวันพวกเราเดิน ปั่นจักรยานเที่ยวรอบเชียงคานน่าจะครบทุกจุดแล้วครับ พรุ่งนี้คิดว่าจะออกไปด้านนอกเพื่อหาสถานที่ท่องเที่ยวอื่นกัน พวกผมไม่ลืมที่จะติดต่อรถไว้เพื่อมารับเราตอนหกโมงเช้าพรุ่งนี้ด้วย และก็ได้ตั้งจิตอธิษฐานว่าอย่าได้มีฝนตกเลยในวันพรุ่งนี้
“ไอ้แมท ! เป็นผีแล้วยังทำตัวเป็นพระเอกเอ็มวีอีก ไปได้แล้วมึง” ผมร้องเรียกไอ้แมทที่นั่งเหม่อมองพระอาทิตย์ตกดินอยู่ที่ริมโขง ตอนนี้พวกเราทุกคนกำลังจะเดินกลับไปที่พักเพื่อไปหาอะไรทานเป็นมื้อเย็นแล้วครับ
บรรยากาศตอนเย็นของถนนคนเดินเชียงคานสวยกว่าที่เห็นในรูปมาก แสงไฟสีส้มที่สะท้อนกับบ้านเรือนที่เป็นไม้แถวนั้นทำให้มองเห็นแล้วสบายตา ดูผ่อนคลายมาก ๆ ร้านค้าที่นี่มีของกินให้เลือกเยอะจนเลือกไม่ถูก มีทั้งที่ผมไม่เคยกินและเคยกิน รวมถึงของฝาก พวกเสื้อผ้าอะไรแบบนี้ด้วย พวกเราเลือกที่จะเอาจักรยานไปเก็บที่ที่พักก่อนเดินสำรวจเพราะตอนนี้เริ่มมีคนเยอะขึ้นแล้วถ้าปั่นจักรยานไปคงไม่สะดวก
รู้ตัวอีกทีก็ของกินเต็มมือ ทั้งปาท่องโก๋ยัดใส้ กุ้งแม่น้ำย่างเสียบไม้ ข้าวจี่ และอีกหลายอย่าง ให้ไอ้อิฐได้ถ่ายรูปไว้ทำรีวิวเต็มไปหมด ไอ้แมทก็ดูมีความสุขอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน ดูมันผ่อนคลายเหมือนไม่มีอะไรต้องกังวลอีก แต่ถ้าคนข้างนอกมองมาที่พวกเราคงจะแปลกหน้าดู ที่บางครั้งพวกเราก็หันไปคุยกับอากาศ แต่พวกเราก็ไม่ได้สนใจสายตาคนรอบข้างเท่าไรนักหรอกครับ
สุดท้ายพวกเราก็มาจบที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งที่เป็นร้านอาหารพื้นเมืองของเชียงคาน สั่งมากินอีกคนละหลายอย่างราวกับว่าท้องเป็นกระเป๋าวิเศษของโดเรม่อน ดีที่มาหลายคนค่าอาหารก็เลยเฉลี่ยกันจ่าย ได้หลายเมนูที่ไม่เคยกินมาลองชิม กลางคืนของที่นี่นอกจากถนนคนเดินเชียงคานพวกเราก็ไม่ได้ออกไปไหนแล้วครับ กะว่าจะเก็บแรงตื่นแต่เช้าพรุ่งนี้เพื่อจะขึ้นไปภูทอก และสถานที่ท่องเที่ยวอื่น ๆ ต่อ
แล้วฝนก็เทลงมาเกือบทั้งคืนเลยหลังจากพวกเรากลับที่พักได้ไม่นาน ผมและเพื่อน ๆ นี่ได้แต่ภาวนาขอให้มันหยุดตกในวันพรุ่งนี้ได้ทัน
เช้าวันต่อมาพวกเราตื่นขึ้นมาตอนหกโมงเช้า เหมือนสิ่งที่ภาวนาไว้มันจะได้ผล ฝนหยุดแล้วครับ มันทำให้อากาศรอบ ๆ เย็นสดชื่น รถสกายแลปที่เรานัดเอาไว้ก็มาจอดรอที่หน้าที่พักเลย คุณลุงคนขับก็พร้อมที่จะพาเราไปส่งที่ภูทอก เดินทางประมาณเกือบ 20 นาทีครับ แต่การที่จะขึ้นไปภูทอกต้องต่อรถขึ้นไปอีกประมาณ 10 นาที พอขึ้นมาถึงข้างบนเราก็ได้วิวสวย ๆ ที่ทำให้มองเห็นวิวรอบ ๆ แน่นอนว่าหมอกหนาเลยครับ อาจเป็นเพราะฝนที่ตกลงมาก่อนหน้าด้วย เดินเล่นถ่ายรูปกันไปจนเกือบเจ็ดโมงเช้า พวกเราก็ว่าจะไปต่อที่วัดพระพุทธบาทภูควายเงิน
วัดพระพุทธบาทภูควายเงินเป็นวัดที่เก่าแก่ของจังหวัดเลยและเป็นโบราณสถานที่มีจุดชมวิวสวยงามมากครับ บนนั้นมีที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาทยาวบนหินลับมีด แถมที่นั่นเลี้ยงกระต่ายไว้เยอะมากจริง ๆ พวกเราเลยได้มีโอกาสไปให้อาหารกระต่ายที่นั่นด้วย
“เฮ้ยไอ้แมท ดูนี่ กระต่ายหน้าเหมือนมึงเลย” ผมร้องขำพลางหัวเราะขณะที่เอาผักบุ้งยื่นให้กระต่ายกิน
“เหมือนยังไงของมึง ไหน ๆ” ไอ้แมทลอยมาหาผมมองหน้ากระต่ายตัวหนึ่งที่กำลังกัดผักบุ้งในมือผมอยู่
“ฮ่าฮ่า”
“กูว่าเหมือนมึงต่างหาก นิสัยยิ่งเหมือนเลย” ไอ้แมทพูดกลับมา
“หืม ยังไงวะ” ผมถามมัน
“มึงไม่รู้หรอกระต่ายเป็นสัตว์ที่หื่นที่สุดในโลก”
“จริงเหรอไหม เค้าไม่เห็นรู้” ผมหันไปถามไหมพร้อมกับหัวเราะ กระต่ายเป็นสัตว์ที่หื่นที่สุดในโลกเหรอเนี่ย เห็นมันออกจะน่ารัก
“ไหมรู้ปะ ตอนที่เข้าไปในฝันมันเพื่อจะหลอกถามเรื่องหนังสือ ในฝันมันจินตนาการเธอยังไง”
“เดี๋ยว ๆ อะไร ฝันอะไร”
“นี่ไหมไม่รู้เหรอ”
“ไอ้แมท เล่นกูแล้วไง หยุดเล่าเลยมึง” ผมร้องพลางดึงไหมไปให้อาหารกระต่ายที่อื่น ตามมาด้วยเสียงหัวเราะไล่หลังของไอ้แมท
“ฮ่าฮ่า”
หลังจากชมวิว ถ่ายรูปเล่นและให้อาหารกระต่ายจนเสร็จ พวกเราก็ไปต่อกันที่ แก่งคุดคู้ครับ ที่นี่เราจะเห็นวิวของลำนำโขงที่กว้างขวางสุดลูกหูลูกตา ซึ่งทอดตัวยาวขนานไปสองฝั่งประเทศไทยและลาว แถมช่วงที่เราไปหมอกลงด้วยครับ มันเลยให้วิวที่ดูสวยไปอีกแบบ
เสร็จแล้วก็มาทานอาหารกลางวันกันที่ร้านอาหารริมแก่ง ก่อนจะแวะซื้อของฝากที่ร้านขายของฝากแถวนั้น เป็นอันจบภารกิจครึ่งวันของเราที่นี่ครับ ช่วงบ่ายก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษพวกเรากลับไปที่ที่พักก่อนเดินไปหาร้านกาแฟนั่งชิว ๆ อัพรูปลงไอจีกัน เหมือนจะไปไม่กี่ที่ แต่เดินกันเยอะจริง ๆ หมดแรงเลยทีเดียวแค่ครึ่งวัน ถือว่าสามวันสองคืนกำลังพอดีสำหรับการมาเที่ยวที่นี่ ไม่มากจนเกินไปและไม่น้อยจนเกินไป
ช่วงเย็นของที่นี่ก็กลับมาคึกคักเหมือนเดิม ดูเหมือนว่าจะมีของขายเยอะกว่าเดิมด้วยในช่วงวันเสาร์อาทิตย์ เพราะมีนักท่องเที่ยวเยอะเป็นพิเศษ
เช้าวันต่อมาพวกเราก็ตื่นเช้าอีกครั้งเพราะอยากที่จะลองตักบาตรข้าวเหนียวก่อนกลับในช่วงสาย ๆ ของวัน ไม่ต้องไปหาของใส่บาตรที่ไหนเลยครับ เพราะตอนเช้าก็มีพ่อค้าแม่ค้ามาขายถึงด้านหน้าของที่พัก ตักบาตรเสร็จพวกเราก็แวะไปเก็บตกร้านอาหารที่เหลือรอบ ๆ ก่อนกลับเป็นมื้อเช้า ไข่กระทะ ข้าวเปียก และร้านขนมรอบ ๆ ที่มาครั้งนี้แทบจะเป็นทริปตัวแตกไปแล้ว อาหารอร่อยเยอะจริง ๆ
“ไวจังวะ แป๊บ ๆ สามวันซะแล้ว” ไอ้แมทพูดขึ้นมา ตอนนี้พวกเราเดินเล่นกันอยู่ที่ริมโขง ขณะรอรถตู้จากสนามบินมารับที่ที่พัก
“กูก็ว่างั้นแหละ ถ่ายรูปรวมสักรูปก่อนกลับปะ รอบนี้กูเอาขาตั้งกล้องมาด้วย” ไอ้อิฐพูด พูดจบมันก็เดินไปจัดการเซตอุปกรณ์
“ขอบคุณพวกมึงมากนะ ที่ทำให้กูมีความทรงจำดี ๆ เกี่ยวกับพวกมึงเพิ่มขึ้นอีกเรื่อง”
“เชี้ยแมท อย่าดึงดราม่า น้ำตากูจะไหล ฮ่าฮ่า” ผมพูดล้อมันพลางหัวเราะ ทั้ง ๆ ที่อยากจะร้องไห้
“ไป ๆ กูเซตทุกอย่างแล้ว” ไอ้อิฐพูดพลางร้องเรียกพวกเราให้ไปยืนรวมกัน
“ไอ้แมท มึงก็มาด้วยดิ”
“จะให้กูไปยืนทำไมวะ ถ่ายไปก็ไม่ติดกู ไม่ได้มีกูอยู่ในรูปสักหน่อย” ไอ้แมทพูด
“ถึงมันจะไม่มีมึงอยู่ในรูป แต่มันมีมึงอยู่ในความทรงจำของพวกกูไงเพื่อน” ไอ้อิฐตอบกลับไป
หล่อเลย มึงเป็นพระเอกไปเลยไอ้อิฐ กูยอมแล้ว ...
ไม่อยากให้จากกันเลย ... แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
พวกเราฉีกยิ้มให้กล้อง พร้อมกับความรู้สึกดี ๆ ที่มันไม่มีวันจะหายไปไหน
สามวันสองคืน มันอาจจะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ แต่ผมคิดว่ามันจะเป็นความทรงจำที่ยาวนานสำหรับทุกคน โดยเฉพาะกับไอ้แมท สำหรับการมาเที่ยวครั้งแรกและครั้งสุดท้ายของมันกับพวกเรา
ถ้ามันเป็นการจากลา ... ผมก็คิดว่ามันเป็นการจากลาที่มีความสุขที่สุด