บทที่ 59 ตัวอักษรทิเบต
“ถูกแล้ว...ที่นี่แหละ” ฉือหว่านชิงเองก็รู้สึกยินดีเช่นกัน ราวกับว่าเธอได้ช่วยเย่โม่ทำเรื่องมหัศจรรย์สำเร็จสักเรื่องหนึ่ง
เย่โม่วางฉือหว่านชิงลงแล้วเดินไปตรงช่องว่างระหว่างต้นสนหมื่นปีทั้ง 2 ต้น เขาพบกับหลุมที่ถูกกลบเอาไว้จริงๆ เย่โม่หาไม้แท่งหนึ่งมาขุดหลุมนั้นอย่างระมัดระวัง ข้างในมีซากกระดูกที่ถูกล้อมรอบด้วยก้อนหินจำนวนหนึ่ง รวมถึงยังมีถุงพลาสติกถุงหนึ่งที่ถูกปิดไว้อย่างแน่นหนาด้วย แต่ถุงพลาสติกถุงนี้ก็มีหลายจุดที่เริ่มเปื่อยยุ่ยแล้วเช่นกัน
เย่โม่ค่อยๆ หยิบถุงพลาสติกนั้นขึ้นมา เขามองสำรวจซากกระดูกอย่างละเอียด ตรงบริเวณนั้นไม่มีของอย่างอื่นอีก ถุงพลาสติกนี้พระทิเบตของจะเก็บซ่อนไว้กับตัวอย่างดีก่อนจะเสียชีวิตลง หลังจากศพได้กลายเป็นกองกระดูกแล้วถุงนี้จึงร่วงตกลงมา นี่คงเป็นสาเหตุที่ฟางหนานไม่เจอถุงใบนี้นั่นเอง
เย่โม่ค่อยๆ เปิดถุงออก ข้างในมีแผนที่หนังแกะอยู่แผ่นหนึ่งซึ่งเริ่มจะเน่าเปื่อยแล้วเช่นกัน เพียงแต่แผนที่หนังแกะชิ้นนี้เหมือนจะถูกสร้างขึ้นจากกรรมวิธีพิเศษ ถึงแม้จะเน่าเปื่อยแล้วแต่ก็ยังสามารถมองเห็นสิ่งที่ถูกเขียนไว้ได้อย่างชัดเจน เย่โม่มองพิเคราะห์แผนที่อย่างละเอียด สถานที่ซึ่งถูกวาดไว้คล้ายกับทะเลทรายแห่งหนึ่ง รวมถึงยังมีอักษรอยู่ชุดหนึ่งถูกเขียนเอาไว้ เพียงแต่มันเป็นตัวอักษรที่เขาไม่รู้จัก
ขณะที่เย่โม่กำลังมองภาพทะเลทรายและตัวอักษรอันแปลกประหลาดอย่างหงุดหงิดอยู่นั้นเอง กลิ่นหอมอ่อนๆ ก็ลอยเข้าจมูกของเขา เส้นผม 2-3 เส้นที่ระต้นคอทำให้เย่โม่รู้สึกจักจี้อยู่บ้าง เขารู้ทันทีว่าเป็นฉือหว่านชิงที่อยู่ด้านหลังเขา เธอกำลังมองแผนที่นั้นอยู่
เย่โม่เปิดทางให้เธอแล้วพูดขึ้นด้วยอาการลำบากใจ “ตัวอักษรพวกตัวผมไม่รู้จักเลย รวมถึงแผนที่นี้ก็ไม่สามารถถูกเคลื่อนย้ายได้อีก ไม่อย่างนั้นมันคงยุ่ยเป็นชิ้นๆ แน่”
เพราะเย่โม่เอี้ยวตัวเปิดทางให้ ฉือหว่นชิงจึงเพิ่งรู้สึกตัวว่าเมื่อครู่เธออยู่ในท่าที่ดูแล้วแนบชิดสนิทสนมกับเย่โม่อย่างมาก ขณะที่กำลังรู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่นั้นก็ได้ยินคำของเย่โม่ เธอจึงรีบพูดขึ้น “พี่ใหญ่เย่ ฉันรู้จักตัวอักษรพวกนี้ มันคือตัวอักษรทิเบต เมื่อก่อนคุณปู่ของฉันอาศัยอยู่ในทิเบตเป็นเวลานาน ตัวอักษรเหล่านี้ท่านก็เป็นคนสอนฉันเอง”
“หว่านชิง...เธอรู้จักจริงๆ หรือ? รีบบอกผมเร็ว!” เย่โม่ที่ตอนแรกคิดจะจดตัวอักษรพวกนี้เอาไว้ แต่ในเมื่อฉือหว่านชิงบอกว่าเธอรู้จัก นั่นทำให้เขารู้สึกดีใจขึ้นมา
“ตัวอักษรที่เขียนไว้ไม่สมบูรณ์ แต่ก็พอจะอ่านได้บ้าง ‘ทะเลสาปคู่’ ‘ทากลามากัน’ ยังมี ‘หลัวปู้’ ‘ประตูศักดิ์สิทธิ์’...มีเท่านี้แหละ ฉันคิดว่า ‘ทากลามากัน’ คงจะหมายถึงทะเลทรายที่ใหญ่ที่สุดของประเทศเราอย่าง ‘ทะเลทรายทากลามากัน’ หรืออีกชือหนึ่งว่า ‘ทะเลแห่งความตาย’ ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของลุ่มแม่น้ำธาริม สิ่งที่เขียนไว้บนแผนที่คงจะหมายถึงตรงนี้ ส่วนเส้นทางข้างบนนั้นที่จริงแล้วคงหมายถึงลุ่มแม้น้ำธาริม” ฉือหว่านชิงแปลความหมายของตัวอักษรออกมา เพียงแต่ตัวอักษรบนแผนที่ไม่สมบูรณ์ ทำให้แปลออกมาได้ไม่ครบความอยู่บ้าง เธอจึงเพิ่มความเข้าใจส่วนตัวลงไป
เมื่อเย่โม่ฟังจบเขาก็พึมพำกับตัวเอง “ที่แท้ก็ตรงนั้นเอง ดูท่าแล้วแผนที่คงจะนำไปสถานที่นั้นจริงๆ เข้าใจล่ะ ขอบคุณมาก…หว่านชิง”
ฉือหว่านชิงยิ้มออกมา “ฉันดีใจมากที่ได้ช่วยพี่เย่ ไม่ต้องขอบคุณหรอก...เรื่องครู่ฉันยังไม่ได้มีโอกาสขอบคุณพี่เลย”
“หืม...ก็จริง” เย่โม่หัวเราะออกมา เขาเอาแผนที่และถุงพลาสติกเก็บกลับเข้าไปในหลุมศพอีกครั้ง รวมถึงซากกระดูกเหล่านั้นด้วย
ตอนที่เย่โม่แบกฉือหว่านชิงขึ้นหลังอีกครั้งนั้น...พวกของกัวฉี่ทั้ง 3 คนก็จัดการเก็บกวาดซากการต่อสู้เรียบร้อยแล้ว พวกเขากำลังรอทั้ง 2 คนอยู่
ฉือหว่านชิงรู้สึกได้ทันทีว่าสายตาของเพื่อนร่วมทีมที่มองมาดูจะต่างจากเดิมอยู่มาก เธอคิดจะอธิบายแต่ก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงดีเหมือนกัน
เย่โม่วางฉือหว่านชิงลงแล้วพูดขึ้น “ผมต้องไปแล้ว พวกเราแยกกันตรงนี้ก็แล้วกัน”
“เอ๊ะ...พี่ใหญ่เย่จะไปแล้วหรือ?” เมื่อได้ยินว่าเย่โม่จะจากไปฉือหว่านชิงก็รู้สึกใจหายขึ้นมา
หลูหลินหันมามองฉือหว่านชิง เธอรีบพูดขึ้น “เย่โม่ ถ้านายไปแล้วฉันคงต้องแบกฉือหว่านชิงขึ้นหลัง แต่ถ้าฉันแบกไม่ไหว...ก็คงต้องให้ฟางเว่ยหรือกัวฉี่แบกแล้ว”
“แล้วมันเกี่ยวกับผมตรงไหน...” เย่โม่พูดได้ครึ่งเดียวก็รู้สึกถึงสายตาอ้อนวอนของฉือหว่านชิง เย่โม่จึงรู้สึกว่าเธอก็ช่วยเขาไว้มาก ไม่อย่างนั้นเขาคงจะต้องจำตัวอักษรเหล่านั้น...ทั้งยังไม่รู้ว่าจะต้องไปหาคนช่วยแปลได้จากที่ไหนอีก
ในเมื่อตอนนี้เขาไม่มีธุระอื่นอีก ไปส่งเธอเสียหน่อยก็น่าจะดี พอคิดถึงตรงนี้เย่โม่ก็พูดขึ้น “เอาเถอะ! ในเมื่อเป็นแบบนี้ผมจะไปส่งก็แล้วกัน ขึ้นหลังมาสิ...หว่านชิง”
“อาจารย์...เรียกเธออย่างสนิทสนมจริงนะครับ” ฟางเว่ยพูดอย่างมีเลศนัย
เย่โม่โบกมือ “หยุด ผมยังไม่ได้พูดสักคำว่ารับนายเป็นศิษย์”
ฉือหว่านชิงที่ได้ยินว่าเย่โม่จะไปส่งก็ดีใจ เธอขานรับแล้วรีบทิ้งตัวบนหลังของเย่โม่ทันทีโดยไม่มีท่าทีเอียงอายเกรงใจแม้แต่น้อย
“เห้อ...หว่านชิง อย่างน้อยก็สงวนท่าทีสักหน่อยเถอะ ดูตัวเองสิ...ไม่ทันไรก็เป็นแบบนี้แล้ว ฉันจะพูดกับเธอยังไงดีเนี่ย?” หลูหลินมองฉือหว่านชิงแล้วถอนหายใจ
เย่โม่รีบพูดขึ้น “หัวหน้าหลูหลินอย่าพูดแบบนั้นสิ ผมกับหว่านชิงเราไม่ไดมีอะไรกัน ผมเพิ่งรู้จักเธอเหมือนๆ กับที่รู้จักพวกคุณนั่นแหละ”
ใบหน้าของฉือหว่านชิงแดงขึ้นด้วยความอายและไม่กล้าพูดอะไร ได้แต่ถามตัวเองว่าเมื่อกี้ทำอะไรลงไปเนี่ย!? แต่เธอก็รู้ตัวดีว่าเย่โม่เป็นผู้ชายคนแรกนอกจากพ่อของเธอที่ทำให้รู้สึกดีได้แบบนี้ เธออยู่ในกองทัพมา 3 ปีแล้ว...ยังจะมีอัจฉริยะแบบไหนกันที่เธอไม่เคยเจอ? แต่ไม่มีใครสักคนที่ทำให้เธอรู้สึกประทับใจได้เลย แต่วันนี้ตอนที่ได้เห็นเย่โม่ครั้งแรก...ใจของเธอก็สลักภาพเขาลงไปเสียแล้ว
ถึงแม้ฉือหว่านชิงจะมีนิสัยเย็นชา แต่ด้วยอิทธิพลจากครอบครัวก็ส่งผลให้เธอกลายเป็นคนเปิดเผย เธอปกปิดความรู้สึกของตัวเองไม่เก่ง หรือพูดได้ว่าเธอไม่คิดจะทำมันตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ รู้สึกดีก็คือรู้สึกดี ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ ถ้าไม่ใช่เพราะนิสัยแบบนี้เธอก็คงจะไม่มีปากมีเสียงทะเลาะกับครอบครัว จนสุดท้ายจึงแยกตัวมาอยู่กองทัพแบบนี้หรอก
เพราะอย่างนั้นการที่เย่โม่รั้งอยู่ด้วยกันแบบนี้เธอจึงรู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก บางทีถ้าหลูหลินไม่เอ่ยปากรั้งเขาไว้...เธออาจจะเป็นฝ่ายอ้อนวอนเขาแทนก็เป็นได้ ตอนที่เรียนมหาวิทยาลัยยายของเธอเคยบอกเอาไว้ ‘อย่าได้ปล่อยให้โอกาสหลุดมือ เพื่อจะมานั่งเสียใจภายหลัง’
แววตาของเย่โม่ใสกระจ่าง ไร้ร่องรอยซ่อนเร้นแผนการในแบบที่เธอไม่ชอบ ที่สำคัญที่สุดคือเขาช่วยชีวิตเธอไว้ รวมถึงว่าเขายังเป็นคนเก่งมีฝีมืออีกด้วย
ในความคิดของฉือหว่านชิง เย่โม่นั้นคล้ายกับไข่มุกที่ซ่อนเร้นอยู่ท่ามกลางพงหญ้า ในเมื่อเธอพบเขาแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลใดให้ต้องรั้งรออีกแล้ว ถึงแม้ตอนนี้เขาจะดูซอมซ่ออยู่มาก แต่สักวันหนึ่ง...เขาจะต้องทะยานสู่ท้องฟ้าเป็นแน่!
แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่ใช่สาเหตุหลักที่ทำให้ฉือหว่านชิงรู้สึกดีต่อเย่โม่ สาเหตุหลักก็คือบนตัวเย่โม่มีสิ่งที่เธอปราถนาอยู่...ความสงบ อิสระและความเป็นธรรมชาติที่ยากจะบรรยายออกมาได้
ด้วยรู้นิสัยของฉือหว่านชิงดี หลูหลินจึงไม่ได้พูดอะไร กัวฉี่และฟางเว่ยเองก็ไม่ได้ล้อเลียนเช่นเดียวกัน ส่วนตัวแล้วกัวฉี่เคารพเย่โม่มาก ในสายตาของเขา...เย่โม่ถือได้ว่าเป็นยอดฝีมือของจริงที่เก็บงำความสามารถเอาไว้
ป่าบริเวณเขตชายแดนของจีนและเวียดนามนั้นมีขนาดกว้างขวาง นอกจากหัวหน้าหลูหลินที่สะพายกระเป๋าน้ำหนักเบาของเย่โม่แล้ว กัวฉี่และฟางเว่ยต่างก็แบกปืนนับ 10 กระบอกรวมถึงเถ้ากระดูกของเพื่อนร่วมทีมที่เสียชีวิตด้วย…ทำให้รู้สึกกินแรงอยู่บ้าง เดินมาไม่กี่ชั่วโมงฟ้าก็มืดเสียแล้ว พวกเขาจึงตัดสินใจตั้งแค้มป์พักสักคืนหนึ่งแล้วค่อยเดินทางต่อ
เพราะพวกของหลูหลินถูกซุ่มโจมตี ขณะที่หนีเอาชีวิตรอดจึงทำให้ของต่างๆ หล่นหายไปเสียเยอะ ตอนนี้จึงมีเพียงเต็นท์ในกระเป๋าของเย่โม่เท่านั้น เขาหยิบเต็นท์ให้หลูหลินและฉือหว่านชิงเข้าไปพัก ส่วนเย่โม่กับอีก 2 คนก็ได้แต่นอนอยู่ข้างนอก
กัวฉี่และฟางเว่ยนั้นถือว่ามีประสบการณ์เอาชีวิตรอดนอกสถานที่มาไม่น้อย เพียงไม่นานก็จัดการเก็บกวาดสถานที่รวมถึงสร้างเต็นท์ไม้ออกมาอีกด้วย