Ep.43 - ขาข้างนึงของนาย
โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.43 - ขาข้างนึงของนาย
เฉินหมิงร้องไห้อย่างหนัก แสร้งแสดงพฤติกรรมว่าไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ และด้วยการกระทำนี้เอง คนจากหน่วยลาดตระเวนเลยลบล้างความสงสัยในตัวเฉินหมิงไป พวกเขาคิดแค่ว่าเฉินหมิงเป็นเพียงวัยรุ่นธรรมดาๆเท่านั้น
เมื่อเทียบกับเฉินหมิงแล้ว ฉินเฟิงที่สังหารคนไปนับสิบต่างหาก ที่โคตรจะดูน่าสงสัยยิ่งกว่า!
ทว่าสำหรับเฉินหมิง แม้เจ้าตัวจะสามารถหลอกลวงหน่วยลาดตระเวนได้ แต่ในหัวใจของเขาก็ยังรู้สึกกังวล คล้ายกับว่ามันจะต้องมีบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น
มองไปยังเฉินหมิงที่กำลังพะวงเกี่ยวกับอนาคต โดยหารู้เลยว่า วิกฤตได้มาเยือนถึงตัวแล้ว!
ในซอยเปลี่ยว เฉินหมิงยังคงคิดหาวิธีที่จะจัดการกับปัญหาในอนาคต แผนการมากมายผุดขึ้นมาในจิตใจของเขา บังเกิดความมุ่งมั่นที่จะถีบตัวเองให้ได้ดียิ่งขึ้น
ทว่าในตอนนั้นเอง จู่ๆความมืดมิดก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาอย่างกระทันหัน
มันเป็นความมืดมิดโดยสิ้นเชิง มืดราวกับว่าไร้ซึ่งร่องรอยใดๆของแสงสว่าง กระทั่งประสาทสัมผัสทั้งห้าก็ยังหายไป
แต่ในวินาทีต่อมา เขาก็รู้สึกเจ็บแปล๊บ! ร่างกายที่เคยหนักแน่นกลายเป็นไม่มั่นคง ทิ้งตัวลงกระแทกกับพื้น
“โอ๊ย!” เฉินหมิงอุทานคำหนึ่ง
ไม่รีรอให้ทันตอบสนองต่ออาการเจ็บปวดที่หน้าคะมำ เฉินหมิงก็เห็นถึงภาพที่เขามิอาจยอมรับได้
“อ๊า! ขาฉัน! ใคร! ใครกันที่ทำแบบนี้!!”
เจ้าตัวพบว่าขากางเกงกลายเป็นว่างเปล่า กระทั่งน่องก็ยังถูกตัดขาดหายไปไม่มีหลงเหลือ
…
ในมุมนึงของซอยเปลี่ยว ฉินเฟิงเรียกพลังสมาธิกลับมา และเก็บมีดกษัตริย์ครามกลับเข้าไปในฝัก
สำหรับขาของเฉินหมิง มันได้ถูกเปลี่ยนเป็นขี้เถ้าภายใต้เพลิงโลกันต์ของฉินเฟิงแล้ว
“เฉินหมิง ฉันจะทำให้แกรู้สึกเหมือนตายทั้งเป็น!”
พอได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนของเฉินหมิง ความโกรธเกรี้ยวของฉินเฟิงจึงค่อยๆสงบลง
ในชีวิตก่อนหน้า ช่วงที่ฉินเฟิงถูกจับตัวไปโดยองค์กรร้าย เฉินหมิงอาจจะยังไม่รู้เรื่องราวอะไรเกี่ยวกับมัน แต่หลังจากนั้น อีกฝ่ายก็เลือกจะทรยศฉินเฟิง ซึ่งตรงจุดนี้เองที่เจ้าตัวจำฝังใจ
อย่างไรก็ตาม เขาไม่คาดคิดเลย ว่าเฉินหมิงจะร้ายกาจขนาดนี้ ถึงขั้นลากเพื่อนร่วมชั้นทุกคนเข้ามาเสี่ยงอันตราย โดยไม่สนใจใดๆเลย
สำหรับกลุ่มแมงมุมดำ ฉินเฟิงย่อมรู้ว่าพวกมันไม่ได้มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งอะไรกับองค์กรนี้
เพราะท้ายที่สุดแล้ว ในชีวิตก่อนหน้า ฉินเฟิงได้กลายเป็นตัวตนทรงอำนาจเลเวล A ดังนั้นก็เลยง่ายที่จะตรวจสอบเกี่ยวกับห้องทดลองในสถานที่ชุมชนทางตอนเหนือ แต่ในช่วงแรกๆที่ยังอ่อนแอ เขากลับไม่สามารถค้นพบเบาะแสเกี่ยวกับมันได้เลย
นั่นหมายความว่าองค์กรนี้ลึกลับและทรงอำนาจเป็นอย่างยิ่ง
ส่วนตอนนี้ ฉินเฟิงตั้งใจที่จะเก็บเฉินหมิงเอาไว้ก่อน
ปล่อยให้มันดิ้นรน และรู้สึกสิ้นหวัง!
“แกควรจะได้รู้สึกถึงความเลวร้ายแบบเดียวกันกับหยางเคียน แล้วถ้าในอนาคตยังมีคนอื่นเป็นอะไรไปอีกล่ะก็ … ฮึ่ม!”
ฉินเฟิงแสยะเสียงเย็นชา ก้าวเท้าจากไปโดยตรง
สิ่งที่เขาเพิ่งจะใช้ไป แน่นอนว่าไม่ใช่แค่มีด หากแต่ยังมีรูนมืดรวมอยู่ด้วย!
กระบวนท่านี้แตกต่างจากซ่อนเงา มันจะมุ่งเป้าไปที่คู่ต่อสู้ ปลดปล่อยรูนมืด ชักนำศัตรูจมลงสู่ความมืดมิด
หลายวันที่ผ่านมาในทุ่งล่า ฉินเฟิงได้เปิดเครือข่ายนักสู้ ทำการค้นหาข่าวสารเกี่ยวกับพลังพิเศษของผู้ใช้อบิลิตี้ธาตุมืด แต่เขากลับพบว่ามันมีน้อยนิดยิ่ง เขาเลยหันไปค้นหาข้อมูลของสัตว์ร้ายธาตุมืดแทน
ในโลกใบนี้ ท่ามกลางยุคมืดที่แสงสว่างช่างจืดจาง สิ่งมีชีวิตธาตุมืดมักเป็นตัวชักนำพาภัยพิบัติมาเยือน ดังนั้น หลังจากที่เขาค้นหาข้อมูลพลังพิเศษจำพวกสัตว์ร้าย ผลปรากฏว่ามันมีอยู่มากมาย
และในบรรดาสัตว์ร้ายเหล่านั้น มีอยู่ตัวนึงที่ถูกเรียกว่าสัตว์ร้ายผืนฟ้าทมิฬ เพราะทุกที่ที่มันไป แสงสว่างใดๆไม่อาจเล็ดลอด กระทั่งสิ่งมีชีวิตโดยรอบก็ยังถูกลบล้างประสาทสัมผัสทั้งห้า
พลังพิเศษที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ ในปัจจุบันฉินเฟิงแน่นอนว่ายังไม่สามารถทำได้ แต่หากลดทอดพลังที่เอ่ยไปข้างต้นลงมา ฉินเฟิงยังพอที่จะสามารถทำได้
แม้จะมีรูนมืดมหาศาลนับร้อยนับพันล้านที่ได้รับมาจากศิลานรก ทว่าฉินเฟิงก็ยังไม่สามารถกระตุ้นมันทั้งหมดในคราวเดียวได้ แต่หากเป็นการกระตุ้นมันสัก หนึ่งในสิบหมื่นของที่มี ก็ยังพอทำเนา
ด้วยเหตุนี้เอง พลังพิเศษทำลายประสาทสัมผัสขนาดเท่าผืนผ้า ‘โอบกอดทมิฬ’ จึงได้ถือกำเนิดขึ้น!
“พลังพิเศษนี้มันร้ายแรงเกินไป ถ้าไม่มีอบิลิตี้หรืออุปกรณ์บางอย่างไว้ป้องกันมัน ศัตรูที่ตกเป็นเป้าก็จะราวกับถูกมัดมือมัดเท้า ได้แต่ล้างคอเฝ้ารอคอยถูกสังหาร” ฉินเฟิงพึมพำ แต่เมื่อคิดว่าจะได้แก้แค้นที่ตนถูกทดลอง ในหัวใจของเขาอดไม่ได้ที่จะสั่นระรัว
และห้องทดลองที่ว่า มันซ่อนอยู่ในเขตชานเมืองทางตอนเหนือ!
สถานที่ซึ่งเปรียบดั่งคมดาบปักหยั่งอยู่บนหัวของฉินเฟิง นับตั้งแต่เขากลับมาเกิดใหม่
สถานที่ซึ่งตนได้ให้คำมั่นเอาไว้ว่าจะต้องกวาดล้างมันให้จงได้!
“อันดับแรกต้องดูดกลืนกำลังภายในก่อน!”
ฉินเฟิงกลับมาที่โรงแรมเจิ้งหยวน ขึ้นไปในรถศึกล่องเวหาของตน และขับกลับไปที่โรงแรมที่เช่าอาศัย
จากนั้น เขาก็นั่งขาขวาทับซ้าย เริ่มทำการกระตุ้นพลังสมาธิอีกครั้ง
“ดูดกลืน!”
คราวนี้ ฉินเฟิงสังหารมนุษย์ไปกว่า 12 คน มีจำนวน 5 คนที่เป็นมือปืนซึ่งมิได้อ่อนแอเลย แต่น่าเสียดาย ที่ทั้งหมดถูกเขาประชิดตัวได้ง่ายเกินไป เลยถูกสังหารลงก่อนจะแสดงฝีมือ เมื่อต้องเผชิญกับอาวุธรูนของฉินเฟิง อีกฝ่ายจะต้านทานได้อย่างไร?
และอีก 7 คนที่เหลือ ทั้งหมดเป็นผู้ใช้วรยุทธโบราณ
ในความเป็นจริง การต่อสู้ครั้งนี้ก็นับว่าร้ายแรงไม่เบา เพราะหนึ่งในพวกมัน มีผู้ใช้วรยุทธโบราณที่ทรงพลังถึงเลเวล G8 รวมอยู่ด้วย
ซึ่งนับว่าเป็นกำลังรบที่ทรงพลังเป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ กำลังรบทรงพลังที่ว่า กลับถูกดูดกลืนมาทั้งหมดโดยฉินเฟิง
เวลานี้ ในตันเถียนของเขา มีเส้นไหมกำลังภายในอยู่ทั้งสิ้นมากถึง 47 เส้น พวกมันพลุ่งพล่าน และเปี่ยมไปด้วยพลังทำลายล้างสูง
ทันทีที่เริ่มใช้งานพลังพิเศษดูดกลืน เส้นลมปราณของฉินเฟิงก็ถูกเปิดออกทันที บังเกิดความรู้สึกเจ็บปวดไปทั่วร่างกายของเขา
ฉินเฟิงกัดฟัน แต่ยังคงดูดกลืนพวกมันอย่างแน่วแน่ดังเดิม
ความเจ็บปวดนี้ราวกับน้ำกรด ทุกที่ที่มันวิ่งผ่านรู้สึกเจ็บแล้วและคันยิบชวนให้ยื่นมือไปเกา แต่ไม่นาน กระแสความอบอุ่นก็ค่อยๆกระจายเข้ามาแทนที่
เส้นลมปราณขยายตัวไม่มีทีท่าว่าจะหยุดยั้ง ต่อไปในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นความเร็วในการฝึกฝนวรยุทธโบราณหรือการปลดปล่อยกำลังภายใน มันจะเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก
ในเวลาเดียวกัน พลังงานก็ระเบิดออกมา ไหลไปทั่วตัวของฉินเฟิง
ร่างกายมนุษย์ของเขาเกิดการวิวัฒนาการอีกครั้ง
ก้าวขึ้นสู่เลเวล G7 !
แม้ว่านี่จะเป็นความคืบหน้าในเลเวลย่อย แต่ก็ยังนับว่าเป็นความคืบหน้าที่รวดเร็วยิ่ง
ก็ใช้เวลาแค่ 1 เดือน แต่กลับปลุกพลังไปถึงเลเวล G7 ได้ เรื่องราวแบบนี้มันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย
ต่อมา เส้นไหมกำลังภายในทั้ง 47 เส้น ก็ถูกส่งคืนกลับไปอีกครั้งโดยพลังพิเศษดูดกลืน ก่อรูปขึ้นเป็นเส้นไหมที่ทั้งหนาและแข็ง ทว่าเป็นระเบียบ ไม่พลุ่งพล่าน จำนวน 13 เส้น
“ทำให้ในตอนนี้ ฉันครอบครองเส้นไหมกำลังภายในทั้งหมดรวม 18 เส้น แต่บางทีอาจเป็นเพราะฉันมีพลังพิเศษดูดกลืน ตันเถียนและเส้นลมปราณของฉันเลยได้รับการเปลี่ยนแปลง มันสามารถรองรับทั้ง 18 เส้นต่อไปได้ โดยที่ยังไม่ต้องวิวัฒนาการไปเป็นผู้ใช้วรยุทธโบราณในเลเวล F”
การวิวัฒนาการของผู้ใช้วรยุทธโบราณนั้น จะถูกกำหนดโดยการฝึกฝนกำลังภายใน และดูจากความแข็งแกร่งของร่างกายเป็นตัวตัดสิน
กำลังภายในของฉินเฟิงสามารถดูดซับมาจากคนอื่นๆที่มีร่างกายแข็งแกร่งได้ ไหนจะเรื่องพลังงานที่ดูดกลืนจากสิ่งมีชีวิตที่ตายแล้วอีก ดังนั้นย่อมเป็นธรรมดาที่เขาจะร้ายกาจกว่า หากเทียบกับคนปกติทั่วไป
ปัจจุบันนี้ กำลังภายในของฉินเฟิงมีจำนวนมากเป็นสองเท่าหากเทียบกับผู้ใช้วรยุทธโบราณเลเวล G9
และหากนับพลังพิเศษรวมเข้าไปด้วย ปัจจุบันนี้ ฉินเฟิงมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง ว่าตนเองจะสามารถท้าทาย ผู้ใช้พลังพิเศษเลเวล F ได้
ดังนั้น กล่าวได้ว่าเขาพร้อมที่จะออกล่าสังหารแล้ว
“ฉันไม่เชื่อหรอกว่าห้องทดลองที่ถูกสร้างขึ้นในแถวๆชานเมืองทางตอนเหนือมันจะมีผู้ใช้พลังพิเศษเลเวล E อยู่ นับประสาอะไรที่ฉันยังมีกำลังสนับสนุนอย่าง …”
ฉินเฟิงหันไปมองเสี่ยวไป๋
ในช่วงที่เกิดรอยแยกมิติ ศิลานรกร่วงหล่นลงมา เสี่ยวไป๋ได้สำแดงให้เห็นถึงพลังของตนหลังจากที่มันวิวัฒนาการแล้ว ซึ่งน่าประทับใจเป็นอย่างยิ่ง นี่เองคือเหตุผลหลักว่าทำไมฉินเฟิงถึงตัดสินใจลงมือแก้แค้นในครั้งนี้
ด้วยพลังของเสี่ยวไป๋ พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องที่จะหลบหนี อยากไปเมื่อไหร่ก็ไปได้เลยตามที่ต้องการ!
จนถึงตอนนี้ เขายังไม่เคยเห็นพลังใดๆ ที่สามารถเทียบเคียงได้กับพลังมิติของเสี่ยวไป๋เลย
“ไปกันเถอะ!”
เจตนาฆ่าตื่นตัวในหัวใจ ฉินเฟิงมุ่งมั่นล้างแค้นโดยไร้ซึ่งความลังเล
แม้นี่จะเป็นช่วงเวลากลางดึก และประตูของสถานที่ชุมชนทางตอนเหนือจะปิดลงไปแล้วก็ตาม
แต่ฉินเฟิงไม่ได้ใส่ใจเกี่ยวกับมัน เขาสวมชุดดำ ด้วยอบิลิตี้ธาตุมืดของเขา และความร่วมมือของเสี่ยวไป๋ ทั้งสองจึงสามารถออกจากสถานที่ชุมชนได้อย่างรวดเร็ว
เมื่อพ้นเขตหอคอยรักษาการณ์ ฉินเฟิงก็นำรถศึกล่องเวหาออกจากพื้นที่มิติของเสี่ยวไป๋ ขับออกไปเหลือทิ้งไว้เพียงฝุ่นผง
“เสี่ยวไป๋ เวลาสำหรับการแก้แค้นของพวกเราได้มาถึงแล้ว!”
บนใบหน้าของฉินเฟิงฟุ้งไปด้วยรังสีฆ่าฟัน
ทางเสี่ยวไป๋เอง ดูเหมือนว่ามันจะเข้าใจบางสิ่ง ในคู่ดวงตาสีดำของมัน ปรากฏหยาดสีแดงดั่งถูกแต่งแต้มด้วยหยดเลือดผุดขึ้นมา