บทที่ 58 หาเจอแล้ว!
เย่โม่หัวเราะ “พูดมาเถอะ ถ้าไม่ลำบากอะไรผมก็เต็มใจจะช่วย” เขารู้สึกว่าฉือหว่านชิงเป็นหญิงสาวที่ไม่เลวเลย ถ้าช่วยเธอได้…ต่อให้เสียเวลาไปสักหน่อยเขาก็ไม่รู้สึกอะไร
“ฉันมีญาติคนหนึ่งทำบริษัทอยู่ที่เจียงหนาน เมืองลั่วชาง ตอนนี้ที่บริษัทมีคนไม่พอ ไม่รู้ว่าพี่พอจะว่างไปช่วยงานบริษัทของเธอไหม…ที่จริงแล้วก็ง่ายมากเลย แค่ลาดตระเวนตรวจตราแถวๆ โรงงานเท่านั้น” ฉือหว่านชิงพูดอย่างตื่นเต้น เธอรู้สึกว่าจำนวนครั้งที่เธอยิ้มภายในเวลา 1 ปียังน้อยกว่าที่เธอยิ้มภายไม่กี่นาทีนี้เสียอีก
เย่โม่เข้าใจทันทีว่าสาวน้อยคนนี้ต้องการจะช่วยเขาหางาน แต่ก็กลัวว่าจะทำให้เขารู้สึกเสียหน้าจึงได้พูดว่าให้เขาไปช่วยงานแบบนี้ ไม่อย่างนั้นบนโลกนี้ก็คงไม่มีข้อเสนอดีๆ แบบนี้หรอก ไม่ต้องทำงานลำบากอะไรก็ได้เงิน...นี่มันจะง่ายก็ไปหน่อยแล้ว
ผู้หญิงคนนี้เป็นละเอียดอ่อน เพียงแต่เธอยังไม่เข้าใจและกลัวว่าจะทำลายความภาคภูมิใจในตัวเองของเขาก็เท่านั้น คิดดังนั้นเย่โม่จึงยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “ขอบคุณนะ…ฉือหว่านชิง ถ้าผมอยากหางานเมื่อไหร่จะต้องไปหาญาติของเธอแน่นอน อันที่จริงแล้ว...ผมทำอะไรไม่เป็นสักอย่างเดียวนะ”
เย่โม่รู้สึกว่าไม่เหมาะหากจะปฏิเสธความหวังดีของฉือหว่านชิงตรงๆ ต่อให้เขาอยากจะไปทำงานที่บริษัทของญาติเธอจริง...เขาก็คงไปตอนนี้ไม่ได้ เขายังต้องเลี้ยงดู ‘หญ้าหัวใจสีเงิน’ ถ้าหากมันยังไม่โตเขาก็ยังไปไหนไม่ได้
“ไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลย...” พูดได้ครึ่งเดียวฉือหว่านชิงก็รู้สึกเหมือนกับว่าคำพูดของเธอจะชัดเจนเกินไปแล้ว จากนั้นเธอจึงรีบเสริม แค่เดินตรวจตราโรงงานเท่านั้น
“รอแปปหนึ่ง...พี่ใหญ่เย่ เดี๋ยวฉันให้เบอร์ติดต่อนะ” ฉือหว่านชิงพูดจบก็เตรียมจะบอกเบอร์ให้เย่โม่จดในโทรศัพท์
เย่โม่กลับพูดขึ้น “แต่ผมไม่มีโทรศัพท์”
ฉือหว่านชิงนิ่งไปพักหนึ่ง ปัจจุบันนี้ยังมีคนไม่มีโทรศัพท์ใช้งานอยู่อีกหรือ? แต่ดูจากการแต่งกายของเย่โม่รวมถึงสิ่งที่เขาบอกว่าตอนนี้ไม่มีงานทำแล้ว คาดว่าเขาคงจะไม่มีเงินซื้อโทรศัพท์จริงๆ
เมื่อเห็นท่าทียุ่งยากลำบากใจของฉือหว่านชิงแล้ว เย่โม่ก็ยิ้มบางๆ “ที่จริงเธอบอกเบอร์มารอบเดียวก็พอ…ผมจำได้”
ฉือหว่านชิงมองเย่โม่ เห็นได้ชัดว่าเธอไม่เชื่อคำพูดของเขา ตอนให้ตอนนี้เขาจำได้จริงๆ ผ่านไปอีกสักพักก็คงลืมหมดแล้ว ตอนแรกเธอยังคิดว่าเย่โม่รู้สึกเขินเกินจะปฏิเสธจึงได้พูดแบบนี้ แต่อุปสรรคแค่นี้ทำอะไรเธอไม่ได้หรอก! เธอคิดวิธีขึ้นมาได้แล้ว เธอหยิบหวีที่มีรูปลักษณ์อันประณีตงดงามออกมาจากกระเป๋าอันหนึ่ง จากนั้นจึงนำมีดเล็กๆ มาสลักเบอร์ลงบนหวีอันนั้นแล้วยื่นส่งให้กับเย่โม่ ทำแบบนั้นเสร็จเธอจึงค่อยรู้สึกโล่งใจ
เย่โม่หยิบหวีที่ยังมีกลิ่นหอมจางๆ ติดอยู่ขึ้นมามอง จากนั้นจึงหัวเราะ “เป็นเบอร์โทรที่พิเศษจริงๆ...ขอบคุณนะ ฉือหว่านชิง ถ้าผมต้องการหางานทำเมื่อไหร่ผมจะไปที่นั่นแน่นอน”
ฉือหว่านชิงที่เห็นเย่โม่รับของไปแล้วก็รู้สึกดีใจจนออกนอกหน้า แต่เธอก็รีบทักท้วงขึ้นมา “พี่ใหญ่เย่ ช่วยอย่าเรียกชื่อฉันแบบนั้นได้ไหม? ฟังแล้วแปลกๆ…หลังจากนี้เรียกฉันว่าหว่านชิงดีกว่า หรือจะเรียกแบบพ่อของฉันว่าเสี่ยวชิงก็ได้”
“ก็ได้…หว่านชิง” เย่โม่เรียกอย่างอ่อนใจ เมื่อครู่เขายังได้ยินอยู่เลยว่าเพื่อนร่วมทีมเรียกเธอว่าฉือหว่านชิง
เมื่อได้ยินเย่โม่เรียกว่าหว่านชิง เธอก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก กระทั่งว่าลืมไปแล้วว่าต้องออกไปจากตรงนี้ เธอยังคงถามต่อไป “พี่ใหญ่เย่…ได้ยินกัวฉี่บอกว่าพี่มาตามหาของที่นี่ พี่หาเจอหรือยัง?”
เย่โม่ส่ายหัว “ยังไม่เจอเลย แต่ก็คงจะอยู่แถวๆ นี้แหละ ที่นี่คล้ายกับสถานที่ที่เพื่อนของผมบอกไว้ ที่นั่นต้องมี ‘ต้นสนหมื่นปี’ ทั้ง 2 ต้นและมีหุบเขา หุบเขาที่เพื่อนผมบอกคงจะเป็นตรงนี้ ส่วน ‘ต้นสนหมื่นปี’ นั้นผมยังหาไม่เจอเลย
ต้นสนหมื่นปี? ฉันรู้! ตอนที่พวกเราเข้ามาในหุบเขาเพื่อหาที่ซ่อน ฉันเห็นที่ที่หนึ่งมีต้นสนหมื่นปีอยู่ 2 ต้น ห่างจากตรงนี้ไม่ไกลนัก...พี่ใหญ่เย่ เดี๋ยวฉันพาไปเอง ฉือหว่านชิงรู้สึกดีใจขึ้นมาทันทีที่ตัวเองมีประโยชน์กับเย่โม่ได้แบบนี้
เย่โม่ยังไม่ทันได้พูดอะไร ข้างนอกก็มีเสียงหลูหลินร้องเรียก ฉือหว่นชิงรีบตอบกลับ “พี่หลิน ฉันกับพี่เย่จะไปทำธุระข้างนอก เดี๋ยวสักพักจะกลับมานะ”
เสียงของฉือหว่านชิงทั้งใสและอ่อนหวานน่าฟัง นั่นทำให้หลูหลินตะลึงไปพักหนึ่ง ฉือหว่านชิงเคยมีอารมณ์ความรู้สึกแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? น้ำเสียงเธอเต็มไปด้วยความสุขใจยินดี ไม่ใช่ว่าแต่ไหนแต่ไรมาเธอเป็นคนเย็นชาหรอกหรือ? หรือว่า...หรือว่าพวกเขาจะ...?
หลูหลินส่ายหัวแล้วเดินจากไป ความเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันของฉือหว่านชิงทำให้เธอสับสนอยู่ไม่น้อย
ฉือหว่านชิงผุดลุกขึ้น ตัวของเธอโงนเงนเล็กน้อย เย่โม่รีบเข้าไปประคองทันที “ผมแบกเธอเอง”
เย่โม่ไม่ได้คิดอะไรมากมายกับเรื่องนี้ เขาเพียงแค่อยากหาของให้เร็วก็เท่านั้น เขาอยากจะไปสำรวจดูเสียหน่อยว่าพระธิเบตรูปนั้นจะทิ้งอะไรไว้บ้าง ถ้ามี ‘เถาวัลย์ม่วง’ เหลืออยู่อีกก็คงจะดี เรื่องนี้สำคัญสำหรับเขามาก
“อา...ขอบคุณพี่ใหญ่เย่” ฉือหว่านชิงไม่ได้ปฏิเสธที่จะนอนแผ่บนหลังของเย่โม่แต่อย่างใด ในความคิดของเธอนั้น...ขนาดต้นขาของเธอเขายังเห็นแล้วเลย ให้เย่โม่แบกขึ้นหลังยังนับเป็นอะไรได้อีก?
ฉือหว่านชิงไม่ใช่ผู้หญิงที่ชอบทำทีกระบิดกระบวนเขินอาย ซึ่งเย่โม่รู้สึกชื่นชมเธอตรงจุดนี้มาก ไม่รู้ว่าพวกทหารจะเป็นคนตรงไปตรงมาแบบนี้เหมือนกันหมดหรือเปล่า ถึงแม้ภูเขาทั้ง 2 ลูกที่เบียดหลังเขาอยู่จะให้ความรู้สึกนุ่มสบายเป็นอย่างมาก แต่เย่โม่ก็ไม่ได้คิดอะไรเป็นพิเศษเลยแม้แต่น้อย
“หัวหน้าหลู...เมื่อกี้ใช่พี่ใหญ่เย่แบกฉือหว่านชิงบนหลังหรือเปล่า? ผมไม่ได้มองผิดไปใช่ไหม?” ฟางเว่ยเบิกตาจ้องมองฉือหว่านชิงที่อยู่บนหลังของเย่โม่พลางขยี้ตาอย่างไม่อยากจะเชื่อ ฉือหว่านชิงที่แต่ไหนแต่ไรมาไม่ชอบคุยกับผู้ชายในทีมเลย…กระทั่งเรียกได้ว่าเย็นชาเสียด้วยซ้ำ มาครั้งนี้กลับปล่อยให้ชายหนุ่มที่เจอกันครั้งแรกแบกขึ้นหลังเช่นนี้ นี่มันจะอาจหาญเกินไปแล้ว!
“นายไม่ได้มองผิดหรอก รีบจัดการปืนพวกนี้ให้ดี พวกเขาคงจะมีธุระต้องทำ อีกสักพักก็คงจะกลับมากันแล้ว” หลูหลินพูดออกมาอย่างโกรธๆ
กัวฉี่ที่ยืนมองเย่โม่กับฉือหว่านชิงหายลับไปก็พยักหน้า พี่เย่ถือเป็นยอดคน หว่านชิงถึงแม้ปกติจะเย็นชาต่อคนอื่น เธอก็แค่ยังไม่เคยเจอกับคนที่ใช่ก็เท่านั้น พวกเขาเหมาะสมกันจริงๆ...
“พี่ใหญ่เย่...คิดว่าฉันใจง่ายหรือเปล่า?” ฉือหว่านชิงที่ฟุบบนหลังของเย่โม่ถามขึ้นมาอย่างกะทันหัน
เย่โม่ตะลึงงันไปพักหนึ่ง เขารีบตอบ “ไม่มีทาง ผมชอบนิสัยสบายๆ เป็นธรรมชาติของเธอแบบนี้มาก จะพูดหรือทำอะไรก็ไม่มีเขินอายแม้แต่น้อย”
ฉือหว่านชิงลังเลไปพักหนึ่งก่อนจะพูดขึ้น “พี่ใหญ่เย่…ที่จริงแล้วฉันไม่ชอบพูดกับคนอื่นมากนัก บางทีที่ฉันพูดมารวมกันทั้งเดือนยังไม่เท่าที่พูดกับพี่วันนี้ด้วยซ้ำ ตั้งแต่วันที่พ่อกับแม่ของฉันหย่ากันจนถึงวันที่ได้เข้ากองทัพด้วยเหตุผลของครอบครัวแล้ว บางทีอาจจะเพราะเรื่องที่พ่อกับแม่หย่ากัน...ทำให้ฉันมักจะต่อต้านผู้ชายโดยอัติโนมัติน่ะ”
“แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม...พี่ใหญ่เย่ ตอนอยู่กับพี่ฉันรู้สึกทั้งอิสระและเป็นธรรมชาติแบบนี้ นี่เป็นสิ่งที่ฉันโหยหามาตลอด...ฉันจึงไม่ได้รู้สึกต่อต้านพี่เลยแม้แต่น้อย เดิมทีฉันไม่ได้มีนิสัยแบบนี้เลย ดังนั้น...”
พูดถึงตรงนี้ฉือหว่านชิงก็มองเย่โม่อย่างกังวลใจ เธอกลัวขึ้นมาว่าเย่โม่จะไม่ชอบนิสัยแบบนี้ของเธอ
เย่โม่ยิ้มออกมา…เขาเข้าใจความหมายของฉือหว่านชิงดี เธอรู้สึกถึงอิสระและธรรมชาติได้จากตัวเขา นั่นก็หมายความว่าร่างกายของเธอมี ‘รากปราณ’ อยู่ เย่โม่เริ่มมองเธอในมุมใหม่ทันที ในโลกที่พลังฟ้าดินเบาบาง แถมทรัพยากรการฝึกฝนยังน้อยจนแทบจะเป็นศูนย์ขนาดนี้ การจะปรากฏ ‘รากปราณ’ นั้นถือเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย
“ใช้ชีวิตตามที่อยากเถอะ อย่าไปเปลี่ยนแปลงตัวตนของตัวเองตามคนอื่นเลย ชอบก็คือชอบ ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ...” พูดถึงตรงนี้เย่โม่ก็ชะงักไป พวกเขามาถึงจุดหมายแล้ว
“หืม...ที่นี่เองหรือ มี ‘ต้นสนหมื่นปี’ อยู่ 2 ต้นจริงๆ เสียด้วย
.......