ตอนที่ 80 ไม่เลือกงาน ไม่ยากจน
หลังจากเหนือภพแยกกับบุษย์น้ำเพชรที่หน้าร้านก็เป็นยามพระจันทร์ขึ้นสูงแล้ว เขายืนส่งเธออยู่ที่หน้าร้านด้วยท่าทางสงบเสงี่ยม ตอนนี้ร้านอาหารแห่งนี้ปิดแล้ว มันจึงค่อนข้างมืด ไม่ปลอดภัยหากจะให้หญิงสาวเดินออกมาเพียงลำพัง
“ขอให้เดินทางกลับอย่างปลอดภัย”
“ขอบใจ แล้วท่านไม่กลับพร้อมกับเราหรือ”
บุษย์น้ำเพชรเอ่ยถามอย่างสงสัย แต่เหนือภพกลับยิ้มกว้างขณะกระซิบกระซาบตอบ ราวกับว่านั่นเป็นเรื่องลับมาก
“ข้ามีธุระต้องไปทำน่ะ”
“ถ้าเช่นนั้นก็ลาก่อน ไว้ค่อยเจอกันทีหลัง”
เหนือภพยืนยิ้มส่งเธออยู่อย่างนั้น จนกระทั่งเห็นว่าเธอลับกายไปแล้ว เขาจึงหันซ้ายหันขวาดูลาดเลา เมื่อไม่เห็นมีใครอยู่บริเวณนั้น เขาก็เร้นกายกลับเข้าไปในร้านอาหาร โดยมุ่งหน้าลัดเลาะไปตามผนังที่คาดว่าจะพาเขาไปถึงหลังร้าน
เขาผ่านโถงรับรองแขกที่หรูหรามาแล้วสามโถง จนมาถึงโถงสุดท้ายที่ถูกตกแต่งไว้อย่างธรรมดา คาดว่ามันน่าจะเป็นส่วนด้านหลังแล้ว แต่มันมีทางเดินแยกออกไปเป็นสามทางนี่สิ แล้วเขาควรจะเดินไปทางไหน ในขณะที่เขากำลังละล้าละลังก็บังเอิญมีผู้จัดการร้านเดินผ่านมาพบพอดี
“หยุดนะ ! เจ้าเป็นใคร”
“เอ่อ คือว่า...”
เหนือภพกำลังคิดสรรหาคำพูดดี ๆ มาตอบ แต่ยังไม่ทันพูดอะไรผู้จัดการร้านก็จำเขาได้เสียก่อน
“เอ๊ะ ! ขอโทษขอรับ ท่านมาทำอะไรที่นี่ขอรับ”
เหนือภพเป็นถึงลูกค้าระดับพิเศษที่ได้ทานอาหารร่วมโต๊ะกับองค์หญิงจากอมตะนคร แน่นอนว่าหากเพ่งมองดี ๆ แล้วผู้จัดการก็ย่อมจดจำได้ เหนือภพเห็นว่าเหตุการณ์กลับกลายเป็นเช่นนี้เขาจึงโพล่งออกไปอย่างรวดเร็ว
“ข้าจะมาสมัครงานเป็นผู้ช่วยพ่อครัว”
“เอ่อ นายท่าน ท่านเป็นแขก ท่านจะทำแบบนั้นได้ยังไง”
ผู้จัดการร้านตอบเหนือภพด้วยน้ำเสียงสุภาพ เขามีท่าทางกระอักกระอ่วนใจมาก เรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน หากเป็นคนธรรมดาทั่วไปมาสมัครงาน เขาคงทดสอบงานแล้วค่อยตัดสินรับทีหลัง แต่ชายหนุ่มที่แต่งตัวดีแบบนี้ แค่มองก็รู้ว่าเป็นขุนนางหรือไม่ก็คงเป็นชนชั้นสูง อีกทั้งเขายังเป็นแขกที่องค์หญิงบุษย์น้ำเพชรให้การต้อนรับเป็นการส่วนตัว ไม่ต้องบอกก็พอจะเข้าใจได้ว่าเขามีความสำคัญในระดับที่ไม่ธรรมดา
‘นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน’
ด้วยความที่ผู้จัดการทำงานให้บริการชนชั้นสูงมาเป็นเวลานาน ประสบการณ์กว่าครึ่งค่อนชีวิตทำให้เขารู้ว่าเรื่องนี้ไม่ปกติ แล้วเขาก็เริ่มคาดเดาความเป็นไปได้ต่าง ๆ นานา
‘หรือว่า เขาต้องการมาทำภารกิจอะไรสักอย่าง ต้องใช่แน่ ๆ เขามาขอสมัครงานหลังคุยกับองค์หญิง องค์หญิงคงไหว้วานให้เขาทำอะไร เรื่องนั่นคงต้องสำคัญมากแน่ ๆ’
พอผู้จัดการร้านคิดได้แบบนั้นเขาก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจัง เรื่องนี้มันต้องใหญ่โตระดับแคว้นแน่ หากเขาไม่ยอมร่วมมือด้วยก็มีความเป็นไปได้ที่จะถูกสั่งเก็บ ซึ่งนั่นไม่เป็นผลดีต่อตัวเขาและครอบครัวเลย
“ก็ได้ขอรับนายท่าน หากมีเรื่องอะไรให้ข้าน้อยรับใช้ โปรดเรียกใช้ได้ตลอดเวลาเลยนะขอรับ”
“หา อื้ม”
เหนือภพแปลกใจเล็กน้อย เรื่องนี้ง่ายดายเกินไป เขาไม่นึกว่าบารมีขององค์หญิงจะมากมายขนาดนี้ แค่เพียงมีคนเห็นเขาได้พบปะพูดคุยกับองค์หญิง เพียงเท่านี้พวกเขาก็ยอมก้มหัวให้เขาเสียแล้ว
“ร้านอาหารของเราจะเปิดในเวลา 10 โมงเช้า ถ้ายังไงรบกวนท่านมาอีกทีในวันพรุ่งนี้นะขอรับ”
“อ่อได้ ขอบคุณครับ”
เหนือภพพูดเพียงเท่านั้นแล้วเขาก็กลับไป เหลือผู้จัดการร้านยืนยิ้มกริ่มอยู่คนเดียว เขารู้สึกภูมิใจที่ตัวเองจัดการเรื่องราวได้เป็นอย่างดี ไม่แน่ว่าหลังเรื่องนี้จบลงเขาอาจจะได้รับค่าตอบแทนจำนวนมากก็ได้
วันต่อมาที่อาคารประมูลหลักเนืองแน่นไปด้วยผู้คนหลากหลายชนชั้น พวกเขาสลับหมุนเปลี่ยนกันมาเพื่อเข้าร่วมการประมูลที่ดิน ประมูลสัมปทานพื้นที่ในเขตต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นพื้นดิน น่านฟ้า น่านน้ำ หรือแม้แต่ประมูลเพื่อเป็นเจ้าของหมู่บ้าน
แต่เหนือภพไม่ได้สนใจของพวกนี้ เขาพอใจกับโฉนดที่ดินแปลงเล็ก ๆ ในเมืองหลวงที่ได้รับมาจากสไบเงิน และไม่อยากใช้จ่ายฟุ่มเฟือยอะไรอีก ดังนั้นเขาจึงใช้เวลาว่างมาหาเงินเข้ากระเป๋า ทั้งยังทำตัวให้อิ่มท้องด้วยอาหารเลิศรสภายในภัตตาคารสุดหรูข้างอาคารประมูล แน่นอนว่าเหนือภพย่อมไม่ทำอะไรเอิกเกริกเกินไป ด้วยความที่เขามีประสบการณ์การทำงานในโรงเตี๊ยมที่เมืองโกงกาง มาก่อน เขาจึงปรับตัวเข้ากับที่นี่ได้อย่างรวดเร็ว ทั้งยังทำงานได้คล่องแคล่ว เข้าขากับพนักงานทุกคนได้เป็นอย่างดี
“อืม อันนี้รสชาติเปรี้ยวไปนิด ต้องปรับปรุงนะ ถึงจะเป็นรสชาติดั้งเดิมของแคว้นสุริยันก็เถอะ แต่คนที่นี่ไม่กินเปรี้ยวขนาดนี้”
เหนือภพพึมพำอยู่กับตัวเองราวกับเป็นผู้เชี่ยวชาญ ขณะที่ตักอาหารจานอื่นขึ้นมาชิม เขาทำแบบนี้กับจานอาหารที่เหลือทิ้งขว้างทุกจานโดยที่ไม่มีใครรู้เห็นยกเว้น จนกระทั่งมีสายตาจากคนล้างจานคนหนึ่งมองมา เขากำลังยกจานเปล่าจากอีกห้องมาใส่อ่างน้ำใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลจากเหนือภพ
เหนือภพตกใจรีบกลืนอาหารอย่างรวดเร็ว แต่มันเร็วเกินไปอาหารจึงจุกแน่น ทำให้เขารีบทุบหน้าอกตัวเองเบา ๆ เพื่อทำให้อาหารที่ค้างคาอยู่ไหลตกลงไป
เด็กล้างจานเห็นเหนือภพก็มีสีหน้าประหลาดใจ ดวงตาเบิกกว้าง ก่อนจะพูดออกมาอย่างตะกุกตะกัก
“นะ นะ เหนือภพ มาได้ไง”
“หืม ?”
เหนือภพยกสุราหมักชั้นดีที่เหลืออยู่ข้าง ๆ มาดื่มหลายอึก ขณะที่สูดลมหายใจเข้าปอดอย่างต่อเนื่อง เมื่อเขารู้สึกโล่งแล้วก็มองไปทางเด็กล้างจานด้วยความแปลกใจเช่นกัน
“สมุทร ?”
สมุทรอยู่ในชุดเครื่องแบบพนักงานล้างจาน มีแต่รอยเปียกชื้นและฟองน้ำเปื้อนทั่วตัว ส่วนเหนือภพก็อยู่ในชุดเครื่องแบบผู้ช่วยพ่อครัว ที่ยังมีรอยคราบน้ำ แกง และคราบมันของอาหารเหลือติดริมฝีปากอยู่
ทั้งสองคนต่างไม่รู้จะพูดอะไร ทั้งคู่ต่างมีเหตุผลในหัวสมองเต็มไปหมด ที่จะใช้แก้ตัวกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ก็ต่างรอให้อีกฝ่ายพูดก่อน
“เอ่อ เจ้าทำงานอยู่ที่นานรึยัง”
เหนือภพเริ่มพูดก่อน จากนั้นก็ลอบใช้ชายเสื้อเช็ดปากตัวเอง เขาทำราวกับว่าก่อนหน้าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ก็ไม่นาน”
สมุทรมีท่าทีไม่ต่างกัน ความหิวทำให้คนเราต้องปรับตัว แม้เขาจะเป็นลูกผู้ดีมีเงิน แต่ถึงยามที่ต้องเอาชีวิตรอด เขาก็ต้องทำมาหาเลี้ยงชีพ
เหนือภพกับสมุทรไม่ได้พูดอะไรนอกเหนือจากนี้ เมื่อมีพนักงานคนอื่นเดินผ่านเข้ามา พวกเขาก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตนเอง จนกระทั่งถึงเวลาเลิกงานของพวกเขา สมุทรก็เห็นเหนือภพยืนรออยู่หลังร้าน พร้อมกล่องอาหารที่ถูกหิ้วอยู่ในมือ แน่นอนว่าสมุทรก็หิ้วอาหารเหลือออกมาเช่นเดียวกัน พวกเขาต่างมองหน้ากันก่อนจะหัวเราะออกมา และแล้วความกระอักกระอ่วนใจก่อนหน้า ก็ผ่อนคลายกลายเป็นรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ความทรงจำของมิตรภาพในวันวานย้อนกลับมาทำให้รู้สึกแนบแน่นอีกครั้ง
“เจ้าหนีออกจากบ้านอีกแล้วใช่ไหม ครั้งนี้เกิดอะไรขึ้นล่ะ”
เหนือภพถามขณะที่เดินตีคู่กับสมุทรไปตามถนนสายเล็ก ๆ หลังร้าน
“พวกเขาอยากให้ข้าเป็นผู้นำตระกูล แต่ข้าไม่อยากเป็น ข้าเลยหนีมา”
แววตาของสมุทรดูซับซ้อน ราวกับซ่อนบางอย่างเอาไว้ในใจ มันเป็นสิ่งที่เหนือภพยากจะเข้าใจ เขาได้แต่มองสมุทรขยับผ้าคลุมศีรษะให้ต่ำลงเพื่อปิดใบหน้าให้มิดชิด
ในหัวของเหนือภพมีแต่คำถาม เขาไม่เข้าใจชีวิตของลูกหลานจากตระกูลร่ำรวยนัก ไม่รู้ว่าพวกเขาคิดอะไรกันอยู่ หากเป็นเขาไล่ให้ตายเขาก็ไม่หนี ได้อยู่ดีกินดี ไม่จำเป็นต้องมาเก็บอาหารเหลือ ๆ กิน ไม่ต้องมาทำงานชั้นล่างแบบนี้ เขาอยากจะเกิดมาเป็นทายาทตระกูลใหญ่เสียจริง ๆ
“ชีวิตคนเรานี่ก็ประหลาดจริง ๆ”
จู่ ๆ สมุทรก็พูดขึ้นพร้อมกับหัวเราะออกมาเล็ก ๆ ก่อนจะพูดออกไปอย่างปลงในโชคชะตาว่า
“ข้าคิดว่าการเลือกเป็นเด็กก้นครัว ใช้ชีวิตอย่างขอทานไปวัน ๆ ตระกูลข้าและคนที่รู้จักข้าย่อมตามหาข้าไม่พบแน่ แต่ไม่คิดว่าจะถูกพบเจอจนได้ น่าตลกชะมัด ดันมาเจอกับเจ้าซะได้ นี่มัน...”
“เจ้าไม่ต้องพูดต่อเลย ข้ามีเหตุผลของข้า”
เหนือภพแทรกขึ้นเมื่อเห็นท่าทางที่ตลกขบขันของสมุทร เขาก็พอคาดเดาได้ว่าสมุทรจะพูดเรื่องอะไร
“ข้าทำไปก็เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย อีกอย่างข้าก็ไม่ได้กินชี้ซั้ว ข้าเลือกแบ่งแต่ส่วนที่ยังดีอยู่ ไม่ได้สกปรกอะไร ดีกว่าทิ้งไปเปล่า ๆ เสียดายของ”
สมุทรยิ้ม เหตุผลของเหนือภพไม่ได้ทำให้เขาแปลกใจอะไร มันต่างจากเขาสิ้นเชิง เขาทำไปเพราะต้องการหลบหนีต่างหาก
“เอ๊ะ รู้สึกว่าเจ้าจะถูกตั้งค่าหัวใช่มั๊ย ครั้งนี้เท่าไหร่นะ”
“เหนือภพ ! เราเป็นเพื่อนรักกันไม่ใช่หรอ”
“โอ๋ ๆ ข้าล้อเล่นน่ะ ฮ่า ๆ”
จากนั้นทั้งสองก็พูดคุยหยอกเย้า เล่าเรื่องชีวิตที่ผ่านมาให้กันและกันฟังอย่างสนุกสนาน ขณะพากันเดินผ่านฝูงชนที่หนาแน่น แต่ทันใดนั้นเอง
กึก !
เสียงของมีคมกระทบกับมีดสั้นในมือของเหนือภพดังขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว เหนือภพยกมีดสั้นขึ้นรับได้อย่างไรก็ไม่ทราบ เขาไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย มันคงเป็นปฏิกิริยาอันเป็นผลมาจากเนื้อน่องกระต่ายขี้กลัวที่เขาเคยกิน แม้เขาจะยกมีดกันไว้ได้ แต่ดูเหมือนว่าอาวุธมีคมของฝ่ายตรงข้ามจะยาวกว่าที่คาด ปลายดาบแหลมยาวทิ่มเข้ามาถึงลำคอของเขาอยู่ดี
เหนือภพสัมผัสได้ถึงจิตสังหาร จึงคว้ามือหวังไปจับคนที่แทงคอเขา แต่ว่ายังไม่ทันที่เขาจะคว้าได้อะไร นักฆ่าคนนั้นก็อันตรธานหายไปแล้ว เหลือเพียงผู้คนที่ยังเดินขวักไขว่สวนกันไปมาตามปกติ จนเขาไม่สามารถแยกได้ว่าใครกันแน่คือนักฆ่า
เหนือภพหันมองรอบด้าน ขณะยกมือแตะที่ลำคอตัวเอง แม้ดาบเล่มนั้นจะคมกริบแต่มันก็ทำได้เพียงสร้างรอยขีดข่วนบนผิวของเขาเท่านั้น ต้องขอบคุณแก่นชีวิตเต่าเกราะหนามที่เขากินเข้าไป ไม่งั้นเขาคงกลายเป็นศพไปแล้ว เพราะเขารับรู้ได้จากกลิ่นที่ยังอบอวลอยู่รอบคอของเขา มันคือกลิ่นพิษร้ายแรง
สมุทรไม่ได้รู้เห็นกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแม้แต่น้อย เขายังคงเดินไปตามเส้นทางปกติ จนกระทั่งเขาสังเกตได้ว่าเหนือภพที่เดินตีคู่กับเขามาตลอดหายไป เมื่อหันหลังกลับมามองก็เห็นเพื่อนของตนยืนทำท่าทางระแวดระวังบางอย่าง ด้วยความที่เขามาจากตระกูลนักยิงธนู สายตาของเขาจึงดีกว่าผู้มีพรสวรรค์ทั่ว ๆ ไป เขาสังเกตเห็นรอยเส้นบาง ๆ ข้างลำคอของเหนือภพ
“มีคนพยายามลอบฆ่าเจ้า ?”
เหนือภพพยักหน้าพลางขมวดคิ้วมุ่น ในหัวขบคิดว่าใครกันที่พยายามจะเอาชีวิตเขา ทั้ง ๆ ที่เขาไม่เคยไปก่อปัญหาให้ใคร
ณ ซอกตึกที่เงียบสงบไร้คนสัญจร
ชายในชุดแบบชาวเมืองทั่วไปกระอักเลือดออกมาต่อเนื่อง ในมือของเขากุมดาบยาวที่ผ่านการชุบหลอมแร่ 3 สีมา มันมีความคมมาก ๆ แต่ดาบดังกล่าวกลับทำได้เพียงสร้างรอยขีดข่วนบนตัวเป้าหมายเท่านั้น
“เจ้าเป็นอะไรร้อยหนึ่ง”
นักฆ่าอีกคนสงสัย เขาถูกส่งมาเพื่อคอยเก็บงาน ในกรณีที่นักฆ่าคนแรกเกิดความผิดพลาด และแน่นอนว่าเขาไม่ได้ถามเพราะความเป็นห่วง
แม้ร้อยหนึ่งจะไม่ได้เป็นนักฆ่ามีชื่อ แต่เขาก็มีประสบการณ์ในการลอบสังหารคนมานับร้อย และในจำนวนนั้นก็มีฮันเตอร์แรงค์ D หลายสิบคนที่เคยพลาดท่าให้เขา
ร้อยหนึ่งเองก็บอกไม่ได้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่ทันทีที่เขาลงมือฟันลำคอเป้าหมาย เขาก็สัมผัสได้ถึงคลื่นกระแทกที่ย้อนกลับมา และนั่นเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เขาบาดเจ็บภายใน ร้อยหนึ่งไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน นี่ยังไม่นับปฏิกิริยาต้านรับที่รวดเร็วนั่น สิ่งที่เขาพอจะคาดเดาได้คือ
“เขาสามารถสวนการโจมตีกลับได้ในพริบตา เป้าหมายของพวกเราแข็งแกร่งกว่าที่ข้อมูลระบุ จำเป็นต้องเปลี่ยนแผนใหม่”
พอเก้าสิบเก้าได้ยินเช่นนั้น เขาก็พยักหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ก่อนจะส่งจดหมายอาคมรายงานสถานการณ์ เพียงพริบตานกอาคมก็บินกลับมา บ่งบอกถึงประสิทธิภาพของจดหมายอาคมที่รวดเร็วทันใจ
เก้าสิบอ่านจดหมายที่ได้รับก่อนจะเอ่ยขึ้นกับร้อยหนึ่งว่า
“ที่นี่ไม่ใช่ธุระของพวกเราแล้ว”