2.ซุกซ่อน
2.ซุกซ่อน
เพียงร่างงามระหงเดินเข้ามาในห้องก็เรียกสายตาของทุกคนให้หันไปมอง เคอหลิ่งหลินเดินอย่างสำรวมกิริยาไปนั่งที่โต๊ะซึ่งมีสำรับอาหารพรั่งพร้อม แม่ทัพจ้าวและฮูหยินส่งยิ้มให้อย่างโล่งใจที่เห็นลูกสาวบุญธรรมกลับมาด้วยร่างกายที่ไม่บุบสลาย ส่วนจ้าวจิ่นสือคีบเนื้อห่านย่างเข้าปากไม่รอให้นางมาถึงด้วยซ้ำ
“ขออภัยที่ทำให้ท่านพ่อกับท่านแม่ต้องรอเจ้าคะ” เคอหลิ่งหลินพูดน้ำเสียงเบาฟังดูอ่อนหวาน แต่ทำให้จ้าวจิ่นสือหัวเราะออกมา นางตวัดสายตามองพร้อมเม้มปากแน่นสะกดความไม่พอใจที่น้องชายต่างสายเลือดพยายามยั่วยุนาง
“จิ่นสือ” มารดาปรามด้วยน้ำเสียงแล้วส่ายหน้าไปมา “เอาเถอะ เห็นว่าเจ้าหิว แม่ให้คนเตรียมของบำรุงเจ้าไว้แล้ว”
“ขอบคุณเจ้าคะ”
ท่าทางเรียบร้อยดุจคุณหนูผู้สูงศักดิ์ทำให้จ้าวจิ่นสือถึงกับแหงนหน้าหัวเราะ เคอหลิ่งหลินไม่อาจสะกดอารมณ์ของนางได้อีก นางเผลอยกมือทุบโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืนชี้หน้าผู้ที่ให้คำมั่นสัญญาว่าจะเป็นน้องชายนางไปตลอดชีวิต
“จ้าวจิ่นสือ!”
ยังไม่ทันจะพูดอะไรต่อ มือใหญ่ของนักรบผู้กล้าก็ใช้ตะเกียบคีบขาห่านส่งเข้าปากนาง ด้วยความหิวและความโกรธนางงับลงทันที และกว่าจะรู้ตัวว่าหลงกลเจ้าน้องชายเข้าให้ก็ตอนที่นางลิ้มรสนุ่มละมุ่นของห่านอบน้ำผึ้งในปากของนางเอง เคอหลิ่งหลินจำใจนั่งลงที่เดิมแล้วใช้มือหยิบจับอาหารเป็นปกติ โธ่! นางอุตส่าห์แอบฝึกมารยาทมาอย่างดีแต่ก็ต้องหลงกลน้องชายเผยนิสัยเดิมออกมาได้ ท่านแม่ทัพและฮูหยินหันมามองหน้ากันแล้วลอบถอนหายใจเบาๆ ความใฝ่ฝันของฮูหยินอี้ซิ่วคือบุตรีน่ารักน่าเอ็นดู แม้จะรับเคอหลิ่งหลินมาเป็นบุตรบุญธรรม แต่นิสัยนางซุกซนเหมือนเด็กรวมทั้งกิริยามารยาทก็ไม่ได้อ่อนหวานนัก ดูจะขัดกับใบหน้าที่ละมุนละไมของนางมาก
“เอาเถิด แบบนี้ซิถึงจะดูเป็นครอบครัวเดียวกัน” แม่ทัพจ้าวโบกมือห้ามไม่ให้สองพี่น้องปะทะคารมกันอีก ไม่ถือสานิสัยของเคอหลิ่งหลินเพราะรู้ดีว่านางใช้ชีวิตอยู่ในป่าเขามาตั้งแต่เด็กก่อนที่จะเข้ามาอยู่ในกองทัพเช่นนี้
“ลำบากเจ้าดูแลจิ่นสือจริงๆ” ฮูหยินอี้ซิ่วมองหญิงสาวอย่างเอ็นดู เพราะเคอหลิ่งหลินค่อยติดตามสามีนางในสนามรบจนบัดนี้ก็มาค่อยดูแลบุตรชายคนเดียวของนางอีก ทั้งที่เป็นหญิงก็ไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างที่หญิงสาวทั่วไปพึ่งกระทำ
“ไม่ได้ลำบากอะไรหรอกเจ้าคะ” จ้าวหลิ่งหลินพูดยิ้มๆ อิ่มเอมกับอาหารเลิศรสแล้วก็อารมณ์ดีขึ้นมาก “เป็นข้าที่ควรตอบแทนบุญคุณท่านทั้งสองที่เลี้ยงดูข้าต่างหาก”
“การปราบกองโจรครั้งนี้นับเป็นผลงานยอดเยี่ยมมาก” บิดาเอ่ยขึ้นเพื่อเปลี่ยนเรื่อง “แต่ก็อย่าชะล่าใจ คอยฝึกฝนตนเองอยู่เสมอ”
“ขอรับท่านพ่อ” แม้จะเล่นหัวกับเคอหลิ่งหลิน แต่เมื่อพูดคุยกับบิดาเขาจะพูดด้วยน้ำเสียงสุขุมเสมอ นั้นเพราะเขาต้องการให้บิดายอมรับว่าเขานั้นเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความรับผิดชอบ ไม่ใช่เด็กเล็กในร่างผู้ใหญ่อย่าง เคอหลิ่งหลิน
“ไม่เอาน่าท่านพี่ จิ่นสือก็ทำสุดกำลังแล้ว ท่านควรผ่อนหนักเบาให้ลูกชายบ้าง” มารดามักจะตกที่นั่งอยู่ตรงกลางระหว่างพ่อลูกเสมอ คนหนึ่งแข็งคนหนึ่งอ่อน นางต้องคอยประณีประนอมทั้งสองฝ่าย
“ตอนนี้บ้านเมืองสงบสุขดี เราถึงได้อยู่กับพร้อมหน้าพร้อมตาแบบนี้”
การออกไปปราบโจรป่าครั้งนี้ไม่ได้หนักหนาอะไร เพียงแต่กินเวลาไปกว่าที่จ้าวจิ่นสือคิดไว้มาก จากเดิมที่คิดว่าจะใช้เวลาเพียงแค่สามวันแต่กินเวลาล่วงไปถึงห้าวันถึงกวาดต้อนโจรป่าออกมาได้หมด รวมทั้งหัวหน้าใหญ่นั่นด้วย
“ข้ามีเรื่องอยากท่านพ่อ โปรดเมตตาพวกเขาด้วยเถิด เพราะความยากจนหิวโหยทำให้พวกเขากลายเป็นโจร หาได้มีสันดานเป็นโจรไม่ ข้าเองก็ไม่ต้องการให้มีการหลั่งเลือดรดแผ่นดิน จิ่นสือเองก็ออมมือไม่ทำร้ายพวกเขา”
เคอหลิ่งหลินเอ่ยตามความจริงในใจ นางเอกเองก็เคยเป็นเช่นเดียวกับคนเหล่านั้นจึงเข้าใจพวกเขาเป็นอย่างดียิ่ง
“เรื่องนั้นเจ้าอย่าได้กังวลไป” แม่ทัพจ้าวออกปากรับคำเองจึงทำให้เคอหลิ่นหลิงสบายใจขึ้น “ข้าจะให้จิ่นสือดูแลเรื่องนี้เอง”
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ” ใบหน้าอ่อนหวานคลายความกังวลและแย้มยิ้มราวกับได้ของขวัญเป็นค่าตอบแทนที่นางออกไปช่วยจ้าวจิ่นสือกวาดต้อนโจรป่าในครั้งนี้
“ช่างเถอะๆ อย่าคุยเรื่องงานเลย เอาเป็นว่าตอนนี้บ้านเมืองสงบสุข เจ้าสองพี่น้องก็เตรียมตัวเข้าเมืองหลวงเถิดนะ”
“เข้าเมืองหลวง?” จ้าวจิ่นสือชะงักมือไปเล็กน้อย “ไปทำอะไรหรือท่านแม่”
“ฮ่องเต้มีพระราชสาส์นให้ครอบครัวของเราเข้าวังไปร่วมงานเลี้ยง”
มารดาพูดยิ้มๆ นางไม่ได้เข้าวังไปเจอพี่น้องคนอื่นๆนานแล้ว จึงอดยิ้มอย่างคิดถึงไม่ได้ ฮูหยินอี้ซิ่วเดิมก็คือองค์หญิงอี้ซิ่ว เป็นพระขนิษฐาขององค์ฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน แต่เมื่อมาสมรสกับแม่ทัพจ้าวซื่อก่วงที่แม้เดิมจะเป็นเพียงสามัญชนแต่มากความสามารถในการรบ นางก็ยินดีติดตามสามีมาอยู่ชายแดน ทว่าช่วงที่บ้านเมืองยังไม่สงบ แม่ทัพจ้าวร้องขอให้ฮูหยินและบุตรชายรั้งอยู่เมืองหลวงหลายปี จนแม่ทัพจ้าวกวาดล้างเหล่ากบฏชายแดนได้หมดจึงให้ครอบครัวได้เดินทางมาพำนักพักอยู่อย่างพร้อมหน้าพร้อมตา
“หมายถึงเข้าวังหรือเจ้าคะ” คิ้วเรียวก็ขมวดยุ่งขึ้นมาทันที “ข้าต้องไปด้วยหรือ”
สำหรับเคอหลิ่งหลินแล้ว นางเคยเข้าเมืองหลวงแต่ไม่เคยเข้าวังเลยสักครั้ง เพียงแค่คิดว่าต้องอยู่ในสถานที่อึดอัดที่ต้องคอยระวังกิริยามารยาทแล้วละก็...
“เป็นอะไรไป ผู้กล้าอย่างหลิ่นหลิงไม่กล้าเข้าวังหลวงรึ” จ้าวจิ่นสือดูออกถึงความกังวลของนางแต่ก็อดล้อมิได้ ก็แน่ล่ะ เขาเติบในรั้วในวังก่อนออกมาใช้ชีวิตข้างนอกจึงไม่ได้รู้สึกเป็นกังวลอะไร แต่สำหรับคนที่ไม่คุ้นกับพิธีรีตองต่างๆอย่างเคอหลิ่นหลิงมันคงเป็นเรื่องที่น่ากังวลไม่น้อย
“ให้ข้าเข้าป่ายังจะดีเสียกว่า”
ทั้งบิดามารดาบุญธรรมถึงกับสำลักน้ำชา ฮูหยินอี้ซิ่วถึงกับหัวเราะออกมาเพราะนางช่างทำเหมือนสามีของนางสมัยที่ยังทั้งสองครองรักกันใหม่ๆ นัก
“หลินเอ๋อร์ แม่อยากให้เจ้าไปเจ้าจะไปเป็นเพื่อนแม่ได้หรือไม่”
เคอหลิงหลินแอบถอนหายใจเบาๆ แต่ละเรื่องในวังหลวงที่ลอยเข้าหูนางไม่เห็นมีเรื่องสนุกสักเรื่อง นางจึงไม่เคยมีความคิดอยากย่างกรายเข้าไปใกล้ แต่เมื่อเห็นสายตาของแม่บุญธรรมแล้ว นางก็ได้แต่ก้มหน้าจัดการอาหารบนโต๊ะโดยไม่พูดอะไร
“ปีนี่พวกเจ้าทั้งคู่ก็อายุยี่สิบกันแล้ว พ่อกับแม่ก็เห็นว่ามันควรแก่เวลาที่พวกเจ้าจะแต่งงานกันได้เสียที”
อุ๊ก! แค่กๆ
เป็นเสียงสำลักของพี่น้องต่างสายโลหิต โดยเฉพาะเคอห--ลิ่งหลินถึงกับเนื้อแกะติดคอ ฮูหยินอี้ซิ่วต้องยื่นมือมาทุบหลังให้นาง
“ท่าน...ท่านแม่ ข้าว่าท่านอย่าลำบากคิดเรื่องนี้ให้ข้าเลย” เคอหลิ่งหลินยิ้มเจือนเหมือนคนปวดท้อง
“ใช่...ท่านแม่ข้าเองก็อยากทำงานรับใช้ราชสำนักเช่นกัน” จ้าวจิ่นสือพูดขึ้นบ้าง
“หลิ่นหลิง” ฮูหยินอี้ซิ่วเรียกสติ “เจ้าอายุยี่สิบแล้ว สาวบ้านอื่นออกเรือนตั้งแต่สิบสี่สิบห้า แต่เจ้ายี่สิบแล้วนะ เจ้าจะให้แม่รู้สึกผิดที่เจ้าไม่ได้ออกเรือนเพราะมัวแต่ช่วยงานท่านแม่ทัพหรืออย่างไร”
“สิ่งที่ข้าทำล้วนทำด้วยความเต็มใจยิ่งแล้วท่านแม่” นางทำหน้าหมองก่อนจะเหลือบตามองคนที่โดนชะตากรรมเดียวกันแล้วฉีกยิ้มออกมา “ถ้าจ้าวจิ่นสือยังไม่ได้แต่งงาน ข้าจะแต่งก่อนก็กระไรอยู่นะเจ้าคะ”
“เดี๋ยวๆ เจ้าอย่ามาโบ้ยใส่ข้านะ” จ้าวจิ่นสือหันไปถลึงตาใส่เคอหลิ่งหลิน
“ถ้าจิ่นสือยังไม่ออกเรือนข้าจะออกเรือนก่อนได้อย่างไรกัน” เคอหลิ่งหลินชิงพูดขึ้นมาก่อนแล้วแสร้งทำหน้าเป็นห่วงเป็นใยน้องชายที่อายุอ่อนกว่าเพียงครึ่งปีเท่านั่น
“แต่ว่ากันตามจริงคนเป็นพี่สมควรออกเรือนก่อนน้องมิใช่หรือ” เอาซิ! หากนางอยากเป็นพี่สาวนักเขาก็ยกตำแหน่งให้นางได้แต่งงานก่อนเขา
“จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร ยิ่งเจ้าเห็นข้าเป็นพี่ พี่สาวคนนี้ก็มีหน้าที่ต้องดูแลน้องชายให้เป็นฝั่งเป็นฝาเสียก่อน” นางประสานสายตาอย่างไม่ยอมแพ้
“พอเถอะๆ จะเกี่ยงกันไปไย ถึงอย่างไรพวกเจ้าทั้งสองก็ต้องแต่งงาน” แม่ทัพจ้าวอาศัยความเป็นบิดามากำราบเด็กสองคนที่ไม่รู้จักโตเสียนิ่งสนิท “จะใครแต่งก่อนแต่งหลังก็ต้องแต่งด้วยกันทั้งคู่นั้นแหละ”
“เอาล่ะๆ เรื่องนี้คุยกันวันหลังก็ได้ เจ้าทั้งสองเพิ่งกลับมาเหนื่อยๆ ก็ไปพักผ่อนกันก่อนดีกว่า”
“เจ้าค่ะท่านแม่”
แม่ทัพกับฮูหยินออกจากห้องไปแล้วเคอหลิ่งหลินก็ถอนหายใจยาวก่อนจะลุกขึ้นจากโต๊ะอาหาร แล้วเดินออกมาด้านนอก
“ที่หลังของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” จ้าวจิ่นสือส่งเสียงถามเจือความห่วงใย
“ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก ข้าแค่กลิ้งล้มไปหลายตลบและตกหลังม้าไปครั้งสองครั้งเท่านั้น”
“คราวหน้าคราวหลังเจ้าก็เลิกเอาตัวเองมาบังข้าเสียที ข้าดูแลตัวเองได้” เขารู้ดีว่าที่นางบาดเจ็บเพราะค่อยปกป้องเขาเสมอ
เคอหลิ่งหลินหมุนตัวกลับมาแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์ เป็นรอยยิ้มแบบที่จ้าวจิ่นสือรู้ดีว่านางมักตีหน้าซื่อให้คนอื่นหลงกลอยู่เสมอ นางยื่นมือไปบีบปลายจมูกของเขาราวกับอีกฝ่ายเป็นเด็กน้อย
“หลิ่งหลิน!” จ้าวจิ่นสือปัดมือของนางออก เขาอุตส่าห์เป็นกังวลแต่นางกลับทำเหมือนเขาเป็นน้องชายที่นางต้องดูแลเคอหลิ่งหลิน
“เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่เป็นอะไรง่ายๆ ยังไงต้องมีชีวิตอยู่ดื่มเหล้ามงคลของเจ้าแน่ๆ” เคอหลิ่งหลินหัวเราะคิกคักไม่ได้มีกิริยาอ่อนหวานอย่างหญิงสาวทั่วไป
“เจ้าอย่ามาผลักภาระให้ข้า”
“อย่างไรกัน เจ้ามีหญิงที่หมายปองในใจแล้วหรือไม่”
จะว่าไปก็อย่างที่ท่านแม่พูด อายุขนาดพวกเขาควรแต่งงานออกเรือนกันได้แล้ว แต่ด้วยติดภารกิจชายแดนซึ่งก็เหมือนข้ออ้างเสียมากกว่าทำให้ทั้งคู่ยังไม่ได้แต่งงาน สำหรับเคอหลิ่งหลินไม่มีคำว่า ‘แต่งงาน’ อยู่ในหัวน้อยๆ ของนางเลย หากไม่ได้หมายความว่านางจะไม่มีชายในดวงใจนี่นะ
“แล้วเจ้าเล่าไปถูกตาต้องใจบุรุษบ้านไหนเข้าถึงขนาดฝึกเป่าขลุ่ย เขียนภาพแถมยังอ่านตำราโคลงกลอนต่างๆ อีก”
“จ้าวจิ่นสือ!” นางถลึงตาใส่แถมยกหมัดขึ้นข่มขู่
แต่อีกฝ่ายกลับหัวเราะร่าด้วยความสะใจเพราะเขารู้ความลับของนาง อย่างเคอหลิ่นหลิงนะหรือจะอยู่ดีๆ ลุกขึ้นมาทำตัวเป็นกุลสตรี ท่วงท่าการเดินหรือรับประทานอาหาร ตลอดจนฝึกดนตรีหรือเขียนภาพ ทั้งที่ก่อนหน้านี่ท่านแม่เคยหาอาจารย์มาฝึกสอนแต่นางก็แทบไม่สนใจเลยสักนิด จนท่านแม่อ่อนใจยอมตามใจนางไม่ส่งใครมาอบรมนางอีก
“เอาน่าพี่สาว อยากให้ข้าส่งเกี้ยวขนาดแปดคนหามไปรับเจ้าบ่าวบ้านไหน ข้าก็ยินดีช่วยเหลือให้พี่สาวได้แต่งงานออกเรือน”
“นี่เจ้าอยากเห็นออกจากบ้านเจ้าไปเร็วๆ ละซิ” เคอหลิ่งหลินแสร้งก้มหน้ายกหลังมือขึ้นเช็ดที่ขอบตา
จ้าวจิ่นสือปรายตามองแล้วส่งเสีย เหอะ! ในลำคอ “เจ้าใช้ลูกไม้นี่กับข้าไม่ได้หรอก”
มือที่แสร้งเช็ดน้ำตาชะงักไปแล้วเงยหน้าขึ้นกัดฟันฉีกยิ้มให้ “เรียกข้าว่าพี่สาว แต่จิกกัดข้าได้ทุกคำ”
“ก็ใครอยากให้เจ้าเรียกข้าว่าน้องชายล่ะ” เขากอดอกยืนตัวตรง แน่นอนว่าเวลานี้เขาไม่ใช่เด็กหนุ่มรูปร่างผอมบางคนนั้นอีกแล้วและจะไม่หลงมารยาของนางอีกแน่ๆ
“ข้าไม่คุยกับเจ้าแล้ว” ที่ไม่อยากคุยเพราะถูกจับผิดได้นะซิ เคอหลิ่งหลินหมุนตัวกลับจะเดินกลับห้องแต่ได้ยินเสียงจ้าวจินสือเรียกไว้ก่อน
“กลับห้องไปพักผ่อนเสีย ไม่ใช่ไปแอบเป่าขลุ่ยให้ต้นไม้ในป่าฟังล่ะ”
หญิงสาวกำมือแน่นข่มความโกรธ ก็แน่ล่ะเขาเป็นพยาธิในท้องนางหรือไรกันถึงได้รู้ว่านางจะทำอะไร เคอหลิ่งหลินหันมาแล้วค่อยๆ ฉีกยิ้มหวานอย่างฝืนใจ แล้วเดินตรงกลับห้องพักของตัวเอง
จ้าวจิ่นสือคลี่ยิ้มอ่อนโยนแบบที่จ้าวหลิ่งหลินจะไม่มีวันได้เห็นบนใบหน้าของเขา เขาเป็นห่วงนางเช่นพี่น้องห่วงใยกัน หลายปีมานี่เขาคอยเฝ้ามองดูนางเสมอ แม้คนอื่นจะไม่กล้ามองนางเต็มสองตาเพราะหวาดกลัวชื่อเสียงของ เคอหลิ่นหลิง แต่กระนั้นนางก็เป็นคนที่จิตใจอ่อนโยนและขี้สงสารคนเป็นที่สุด นางยอมเจ็บตัวเองเสียดีกว่าจะต้องลงมือฆ่าใคร หากแต่เมื่อใดที่ต้องพรากลมหายใจของมันผู้นั้นนางก็กลับสงบนิ่งและดูเหี้ยมโหดอย่างที่ใครต่อใครลื่อกันไป ก็เพราะเช่นนี้นางจึงไม่มีใครกล้ามาสู่ขอแต่งงาน ดูว่านางเองก็ไม่ได้เดือดร้อนใจอะไรนัก แต่ในบางครั้งเขารู้สึกว่านางคงมีชายในดวงใจที่ทำให้นางอยากเป็นหญิงสาวในหัวใจของเขา นางถึงได้พยายามทำอะไรที่ไม่เคยทำแม้จะดูขัดเขินนัก
ชายหนุ่มหัวเราะออกมาเบาๆ นางจะปิดเขาได้นานแค่ไหน เขาแค่ไม่อยากสืบเท่านั้นหรอกนะ ใครกันหนอที่ทำให้พี่สาวของเขาหวั่นไหวได้เพียงนี้.