บทที่ 57 รักษา
เย่โม่เห็นแผลรอยกระสุนตรงขาของฉือหว่านชิงแล้ว “วางเธอลงเถอะ…ขอผมดูหน่อย” ถึงเย่โม่จะพูดแบบนั้นแต่หลูหลินกลับแบกฉือหว่านชิงเดินไปวางหลบๆ ตรงป่า จากนั้นจึงพูดขึ้น “ในระหว่างที่พวกเรากำลังจัดการกับศพและสินสงครามพวกนี้ ต้องขอรบกวนคุณชายเย่ช่วยรักษาเธอด้วย” พูดจบหลูหลินก็หันหลังเดินไปจัดการงานโดยไม่ได้รอคำตอบจากเย่โม่แต่อย่างใด
เย่โม่พยักหน้า หัวหน้าหลูหลินคนนี้เป็นพวกแน่วแน่เด็ดขาด ทำอะไรรวดเร็ว เธอไม่เสียเวลาถามเขาสักนิดว่าจะรักษายังไง รักษาได้หรือไม่ รวมถึงไม่ได้ถามความเห็นของหญิงสาวที่ชื่อฉือหว่านชิงคนนี้ด้วย
หลูหลินเดินจากไปแล้ว ฉือหว่านชิงก้มหน้ามองแผลตรงขาของตัวเอง จากนั้นจึงเงยหน้ามองเย่โม่ สีหน้าของเธอแลดูอึดอัดขัดเขินอยู่บ้าง แผลของเธออยู่ตรงจุดที่ไม่เหมาะจริงๆ ฉือหว่านชิงเชื่อคำพูดของกัวฉี่ ในเมื่อเขาพูดว่าชายตรงหน้ารักษาเธอได้ นั่นก็แปลว่าเย่โม่มีความสามารถถึงขั้นนั้นจริงๆ เธอได้แต่หวังว่าเขาคงจะไม่ให้เธอถอดกางเกงหรอกนะ
เย่โม่มองแผลของฉือหว่านชิงแล้วก็ขมวดคิ้ว ไม่ใช่ว่าเขารักษาไม่ได้...เพียงแต่แผลของเธออยู่ตรงจุดที่น่าลำบากใจอยู่บ้าง ถ้าหากเขาวางมือบนขาแล้วเธอร้องโวยวายเล่า? นั่นจะทำให้เย่โม่รู้สึกรำคาญเป็นอย่างมาก เขาเกลียดการทำคุณได้โทษ อีกอย่างสีหน้าของผู้หญิงคนนี้ดูแล้วเป็นคนเย็นชา ไม่แน่ว่าเธออาจจะทำอย่างที่เย่โม่คิดไว้ก็เป็นได้
เมื่อเห็นเย่โม่มองแผลของเธอแล้วขมวดคิ้วไม่พูดอะไร ฉือหว่านชิงก็เข้าใจความคิดของเย่โม่ทันที ภายในใจของเธอยิ่งรู้สึกดีต่อเย่โม่มากขึ้นไปอีก เธอพูดด้วยเสียงที่เบาจนแม้แต่ตัวเองยังแทบไม่ได้ยิน “เย่...พี่เย่โม่ ช่วยรักษาให้ฉันหน่อย ไม่ต้องกังวลหรอก”
เย่โม่นิ่งงันไปพักหนึ่ง เขากำลังคิดอยู่เลยว่าควรจะพูดกับฉือหว่านชิงยังไงดี คิดไม่ถึงว่าเธอจะเอ่ยปากก่อนเองแบบนี้ ถึงแม้ภายนอกจะดูเย็นชา แต่แท้จริงแล้วภายในกลับไม่ใช่คนเฉยชาไม่แยแสแต่อย่างใด ซึ่งนั่นก็ทำให้เย่โม่รู้สึกดีกับเธอขึ้นเล็กน้อย
สาเหตุที่เย่โม่รู้สึกว่าบาดแผลของฉือหว่านชิงยุ่งยากนั้นก็เพราะว่าเธอพันแผลด้วยชุดทหารไว้เสียแน่น...ไม่เหมือนกับกัวฉี่ที่เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งซึ่งแค่ฝ่ามือเดียวก็เอากระสุนออกได้แล้ว แต่กับกรณีปากแผลของฉือหว่านชิงที่ถูกพันไว้แน่นนั้นยุ่งยากเสียแล้ว
เย่โม่รู้สึกชอบที่ฉือหว่านชิงคนนี้มีความกล้าหาญ เขาจึงยิ้มแล้วบอกว่า “ที่จริงแล้วการรักษาแผลนี้ไม่ถือเป็นเรื่องยากอะไร ผมมีให้ 2 ทางเลือก อย่างแรกคือถอดกางเกงออกซะผมจะช่วยรักษาให้ อย่างที่สองคือเจาะรูบนกางเกง ตรงนี้...”
“ไม่ต้องแล้ว…ฉันจะถอด แต่ฉันไม่ได้เอาตัวสำรองมา...” ฉือหว่านชิงพูดจบก็ถอดกางเกงของตัวเองออกทันที ในเมื่อตกลงกันแล้วก็ไม่จำเป็นต้องพิรี้พิไรกันอีก
เย่โม่ยิ่งรู้สึกดีกับหญิงสาวที่มีนิสัยตรงไปตรงมาคนนี้อีกครั้ง เห็นท่าทางถอดกางเกงอย่างอ่อนแรงของเธอแล้วเย่โม่จึงรีบเอ่ยปาก “มาผมช่วย”
“ขอบคุณ...” ตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉือหว่านชิงได้เห็นเย่โม่ เธอก็รู้สึกว่าเขาไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร หลังจากนั้นเขาก็มีท่าทีลังเลกับตำแหน่งบาดแผลของเธอ รวมถึงสายตาที่ไม่ได้ละจากตำแหน่งแผลด้วยนั้น ทำให้เธอยิ่งรู้สึกเชื่อถือเย่โม่มากยิ่งขึ้น ฉือหว่านชิงจึงปล่อยให้เขาช่วยถอดกางเกงออกให้ ก่อให้เกิดความรู้สึกอันยากจะบรรยายในใจของเธอ
ถึงแม้มือของเย่โม่จะไม่ได้แตะต้องผิวของเธอเลย แต่ฉือหว่านชิงก็ยังรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นจากมือของเขา ในใจรู้สึกผ่อนคลายลง
เย่โม่ไม่ได้ถอดกางเกงของฉือหว่านชิงออกจนสุด เขาเพียงถอดออกจนถึงปากแผลเท่านั้น แต่ฉือหว่านชิงกลับรู้สึกว่าถอดแบบนี้กลับทำให้สถานการณ์ยิ่งดูคลุมเคลืออึดอัดมากขึ้นไปอีก หน้าของเธอเปลี่ยนเป็นแดงก่ำจนไม่กล้ามองมือของเย่โม่อีก เธอหันหน้าไปทางอื่น ในใจคิดวุ่นวายว้าวุ่นจนแม้แต่ตัวเธอเองยังไม่รู้ว่ากำลังคิดเรื่องอะไรอยู่กันแน่
ผิวขาวนวลของฉือหว่านชิงทำให้เย่โม่รู้สึกลานตาอยู่บ้าง กางเกงในของเธอเป็นสีขาวลายดอกไม้ เย่โม่ไม่กล้ามองต่อ เย่โม่ตั้งสมาธิ ในเวลาเดียวกันมือข้างหนึ่งก็ตบไปบนต้นขาของฉือหว่านชิง กระสุนนัดหนึ่งพุ่งออกมาพร้อมกับเลือด จากนั้นเย่โม่จึงหยิบสมุนไพร 2-3 ชนิดออกมาเคี้ยวแล้วทาลงบนปากแผลแล้วแผ่พลังปราณลงไป ฤทธิ์ของยาถูกดูดซึมเข้าปากแผลอย่างรวดเร็ว
เย่โม่หยิบผ้าพันแผลจากในกระเป๋าขึ้นมาพันให้กับฉือหว่านชิงแล้วช่วยเธอดึงกางเกงขึ้น กระบวนการทั้งหมดกินเวลาไปไม่กี่นาทีเท่านั้น ที่เขาช่วยเธอเคี้ยวสมุนไพรให้นั้น สาเหตุก็เพราะกลัวว่าเธอจะทำช้าเท่านั้น หญิงสาวทั้งหลายล้วนชอบรักษาหน้าตา ถอดกางเกงในสถานที่แบบนี้นานๆ คงจะดูไม่เหมาะสมเท่าไหร่
ตอนที่เย่โม่ช่วยดึงกางเกงเธอขึ้นนั้น ฉือหว่านชิงถึงค่อยได้สติขึ้นมา แม้แต่ว่าเย่โม่รักษาเธอยังไงฉือหว่านชิงยังไม่ทันได้มองเสียด้วยซ้ำ
“พี่ใหญ่เย่...รักษาเสร็จแล้วหรือ?” ฉือหว่านชิงที่ใบหน้ายังไม่ทันหายแดงถามขึ้นด้วยความสับสนเล็กน้อย
“อืม…เรียบร้อย คิดว่าพรุ่งนี้เช้าคงจะหายสนิทแล้ว” เย่โม่ยิ้มน้อยๆ เขาใช้พลังปราณเพื่อช่วยเธอในการฟื้นฟูบาดแผล ซึ่งนั่นคงทำให้แผลของเธอหายเร็วกว่าของกัวฉี่
“อา...ไม่ปวดแล้วจริงๆ ด้วย! แถมยังรู้สึกเย็นอีก ขอบคุณพี่เย่โม่มาก พี่เก่งจริงๆ” เป็นครั้งแรกที่ฉือหว่านชิงรู้สึกว่าบนโลกนี้ยังมีเรื่องราวมหัศจรรย์เหนือธรรมชาติแบบนี้อยู่ ความอึดอัดขัดเขินในตอนแรกได้จางหายไปแล้ว จะมีหมอที่ไหนทำแบบเย่โม่ได้บ้างเล่า? แค่ไม่กี่นาทีก็เอากระสุนออกและรักษาแผลได้แล้ว แถมเขายังทำได้สบายๆ อีกด้วย
“ขอบคุณ...พี่เย่” ฉือหว่านชิงเองก็รู้สึกว่าเย่โม่ไม่ใช่คนธรรมดาเหมือนกับที่กัวฉี่ว่าไว้เลย
“พี่ใหญ่เย่ พี่ทำงานอะไรหรือ?” นี่เป็นครั้งแรกที่ฉือหว่านชิงเอ่ยปากถามเรื่องของผู้ชายสักคนหนึ่ง เธอรู้สึกว่าหน้าของตัวเองร้อนฉ่า แต่ภายในใจเธอกลับรู้สึกอยากรู้ขึ้นมา เธอเองก็รู้ว่าการได้พบเจอกับคนเช่นเย่โม่ถือเป็นโชคชะตา ไม่ใช่ว่าคนทั่วไปจะสามารถพบเจอกับคนมีฝีมือเหนือธรรมดาเช่นนี้ได้
เย่โม่อ้าปากเตรียมจะพูดว่า ‘ไปเถอะ’ แต่ชะงักค้างเอาไว้ ที่ฉือหว่านชิงถามเขาตอนนี้ นั้นก็หมายความว่าเธอไม่ได้คิดจะออกไปจากตรงนี้ชั่วคราว เขาเพียงตอบเธออย่างง่ายๆ “ตอนนี้ผมไม่มีงานเป็นหลักเป็นแหล่งอะไร แค่ทำพวกงานชั่วคราวเท่านั้น ถ้าโชคดีก็ทำเงินได้เยอะหน่อย ถ้าโชคไม่ดีล่ะก็...เคยถูกตำรวจไล่ออกมาอยู่เหมือกัน ฮ่าฮ่า...”
ที่เย่โม่พูดก็ไม่ใช่เรื่องโกหกอะไร เขาช่วยรักษาผู้คน ตั้งแผงลอยขายยันต์ หรือแม้แต่ไปช่วยคนทำธุรกิจสกปรก
“อา...” ฉือหว่านชิงไม่อาจเชื่อคำพูดของเย่โม่ เธอไม่เชื่อว่าคนแบบเย่โม่จะไม่มีงานทำ อย่าว่าแต่ทำงานชั่วคราวเลย
“พี่ใหญ่เย่ ขอบคุณพี่ที่ช่วยชีวิต ฉัน...” ฉือหว่านชิงยังพูดไม่ทันจบ ก็ถูกเย่โม่ตัดบทเสียก่อน
“ที่จริงแล้วแผลของเธอนั้น...ต่อให้ผมไม่ช่วยก็คงไม่มีปัญหาอะไรหรอก ห่างไกลจากคำว่าช่วยชีวิตเยอะ” เย่โม่ยิ้มน้อยๆ
ฉือหว่านชิงก็ยิ้มออกมาเช่นกัน เย่โม่มองแล้วนิ่งค้างไป เขาคิดไม่ถึงว่าหญิงสาวที่มีสีหน้าเย็นชาอย่างฉือหว่านชิงจะยิ้มออกมาแล้วดูดีแบบนี้ เมื่อเห็นเย่โม่นิ่งมองเธอแบบนี้ ฉือหว่านชิงก็รู้สึกยินดีอยู่ในใจ เธอรีบพูด “พี่ใหญ่เย่ ฉันไม่ได้หมายความถึงเรื่องนี้ ถ้าไม่ได้พี่ล่ะก็…ทีมของฉันทั้ง 3 คนคงไม่รอดแน่ ไม่แน่ว่าอาจจะถูกทำมิดีมิร้ายไปแล้วก็ได้ ฉันรู้สึกขอบคุณพี่มากจริงๆ”
เย่โม่พยักหน้า เขารู้ว่าที่ฉือหว่านชิงพูดเป็นความจริง เขาคิดอยู่สักพักแล้วพูดขึ้น “ที่จริงแล้วผมรู้สึกว่าผู้หญิงอย่างเธอไม่ควรจะมาอยู่ในกองทัพแบบนี้เลย แน่นอนว่าเป็นแค่ความคิดเห็นส่วนตัวของผมเท่านั้น
คิดไม่ถึงว่าฉือหว่านชิงเองจะพยักหน้า “พี่ใหญ่เย่…ที่พี่พูดมาก็ถูก ที่ผ่านมาฉันรู้สึกอิจฉาชีวิตของทหารมาก ฉันเองก็พยายามอย่างมากจึงได้เข้ามาอยู่ในทีมเล็กๆ อย่าง ‘เลี่ยอิง’ ทีมนี้ มาตอนนี้แล้วกลับรู้สึกว่าตัวเองไม่เหมาะกับชีวิตแบบนี้จริงๆ”
คิดสักพักฉือหว่านชิงก็พูดต่อ “พี่ใหญ่เย่ ฉันอยากให้พี่ช่วยอะไรหน่อย...”