บทที่ 54 ชายผู้มีชีวิตอันผ่อนคลายภายในป่า
แม้ฟางหนานจะบอกสถานที่คร่าวๆ มาให้ แต่ด้วยสาเหตุที่ว่าเรื่องเมื่อตอนนั้นก็ผ่านมาหลายปีแล้ว นั่นทำให้ฟางหนานจำสถานที่ได้ไม่แม่นยำนัก ถึงเขาจะอยากตามมาด้วยแต่เย่โม่ก็รู้ดีว่าการมาครั้งนี้อาจกินเวลาหลายวัน อีกอย่างแก๊ง 13 ผู้พิทักษ์ก็ได้ล่มสลายไปแล้ว ผลประโยชน์ภายในหลิวเฉอต้องมีการแบ่งสรรกันใหม่อีกครั้ง ดังนั้นสิ่งที่ฟางหนานต้องทำยังมีอยู่อีกมาก เย่โม่จึงห้ามไม่ให้ฟางหนานตามมาด้วย อีกอย่าง...เขาเดินทางคนเดียวในป่าอาจจะเร็วกว่าก็ได้
เย่โม่เที่ยวตามหาแถวชายป่ามา 3 วันแล้วแต่ก็ยังไม่พบหลุมฝังศพที่ฟางหนานพูดถึงเลย ทว่าระหว่างทางกลับพบอุปสรรคอันตรายไม่น้อย ทั้งเสือดาว 1 ตัว หมาป่า 2 ตัวและงูอีกกว่า 20 ชนิด
ข้อมูลสำคัญที่ฟางหนานบอกไว้ก็คือ สถานที่นั้นต้องมี ‘ต้นสนหมื่นปี’ อยู่ 2 ต้น ผ่านมาหลายวันแล้วอย่าว่าแต่ 2 ต้นเลย แม้แต่ต้นเดียวเย่โม่ยังไม่เจอเลยด้วยซ้ำ
แต่สิ่งที่เย่โม่ไม่เคยขาดคือความอดทน ถึงตอนนี้เข้ามาในป่าลึกแล้ว วันที่ 4 เขาก็ตัดสินใจจะเข้าไปสำรวจให้ลึกยิ่งขึ้น แต่ก่อนจะเข้าไปเขาต้องหาอะไรรองท้องเสียก่อน
ขณะที่มือหนึ่งกำลังย่างกระต่ายป่าตัวหนึ่ง ภายในหัวเย่โม่ก็กำลังเรียบเรียงความคิดถึงสถานที่ๆ ได้สำรวจไปแล้ว ทว่าตอนนั้นเองก็มีเสียงปืนอันก้องกังวาลดังขึ้น 2-3 นัดขัดจังหวะความคิดของเย่โม่ เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นเป็นชายร่างกำยำวัย 30 กว่าปีคนหนึ่งกำลังเดินโซซัดโซเซเข้ามา ในมือมีมีดปลายปืนอยู่ด้วย
ทั่วทั้งร่างของชายคนนี้เต็มไปด้วยบาดแผล เสื้อผ้าก็ฉีกขาดรุ่งริ่ง แต่จากสายตาของเย่โม่...แผลที่หนักที่สุดคงจะเป็นบริเวณเอวที่มีรอยกระสุนอยู่ ถึงแผลนั้นจะอยู่ด้านข้างแต่เลือดสดๆ ได้ย้อมสีแดงให้กับเสื้อผ้าที่ไม่คล้ายเสื้อผ้าของเขาไปเสียแล้ว
ตอนที่เย่โม่เห็นชายคนนี้ เขาเองก็เห็นเย่โม่แล้วเช่นกัน ชายคนนั้นตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ราวกับไม่ได้คาดคิดว่าในป่าเขาลึกจะมีคนย่างกระต่ายอย่างสบายอกสบายใจอยู่แบบนี้ ถึงเขาจะกำลังหนีเอาชีวิตรอดอยู่แต่ความหิวก็ทำให้ท้องของเขาส่งเสียงร้องออกมาเสียแล้ว
เย่โม่นั่งมองชายที่กำลังหนีเอาชีวิตรอดคนนี้ ตอนนั้นเองที่เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่คุ้นเคยจากร่างกายของชายคนนี้ มันคือรังสีฆ่าฟันที่คล้ายกับที่เขาสัมผัสได้จากตัวของหวังซู่ ชายที่เย่โม่เจอในงานวันเกิดของซูจิ้งเหวินนั่นเอง
‘พวกเขาอยู่ทีมเดียวกัน’ นั่นเป็นสิ่งที่เย่โม่สรุปได้ในทันที เพียงแต่เย่โม่ไม่รู้ว่าชายคนนี้ถูกใครไล่ตามมาจึงได้มีท่าทีหวาดกลัวแบบนี้ ขณะที่เขากำลังคิดเรื่องหวังซู่อยู่นั้น ด้านหลังก็มีเสียงฝีเท้าอันเร่งรีบดังขึ้นมา ไม่นานก็มีชายอีก 3 คนที่ล้วนมีปืนอยู๋ในมาปรากฏอยู่ตรงหน้าเย่โม่
ชายที่บาดเจ็บสาหัสคนนั้นมองไปยังเย่โม่อย่างขอโทษแวบหนึ่งโดยไม่ได้พูดอะไร
ชาย 3 คนเมื่อเห็นว่าเหยื่อที่บาดเจ็บไม่วิ่งหนีต่อแล้ว พวกเขาก็หยุดไล่ล่าทันทีแล้วมองมาทางเย่โม่ซึ่งกำลังย่างกระต่ายด้วยความประหลาดใจ ไม่คิดว่าในป่าเขาลึกแบบนี้ยังจะมีคนมานั่งพักผ่อนย่างกระต่ายแบบนี้อยู่อีก แต่นี่ก็ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะสามารถกระทำได้ ภายในป่าแห่งนี้ถือว่าไม่ปลอดภัย หรือต่อให้อยากจะย่างกระต่ายจริงๆ ก็ควรเลือกที่ที่มันเงียบสงบมากกว่านี้สิ ไม่ใช่มานั่งย่างในที่เปิดโล่งไร้ทางหลบซ่อนแบบนี้
ชายทั้ง 5 คนซึ่งอยู่ ณ ที่แห่งนี้ต่างก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา บรรยากาศเปลี่ยนเป็นชะงักงันในทันที มีเพียงเสียงพลิกย่างกระต่ายและกลิ่นเนื้อเท่านั้นที่พวกเขาสัมผัสได้
ชาย 3 คนนั้นมองมาทางเย่โม่ พวกเขาพยักหน้า ชายหนึ่งในนั้นที่ใบหน้าค่อนข้างดำเอ่ยปากขึ้น “นี่เพื่อน…เรื่องตรงนี้ไม่เกี่ยวข้องกับนาย นายช่วยหลีกทางให้พวกเราหน่อยจะได้ไหม? พวกเราแค่ต้องการตัวชายที่หนีมาคนนี้เท่านั้นเอง”
สำเนียงที่ชายหน้าดำพูดออกจะฟังดูแปร่งๆ อยู่บ้าง เย่โม่จ้องมองชายที่พูดด้วยความประหลาดใจ ขณะที่กำลังคิดจะพูดว่า ‘ที่นี่ไม่ใช่บ้านของนายเสียหน่อย ทำไมฉันต้องหลบด้วย’ ชายอีกคนก็เล็งปากกระบอกปืนมาทางเย่โม่ทันที
ทว่าชายคนนั้นยังไม่ได้ขยับนิ้วลั่นไก ก็มีเสียงแหวกอากาศที่เบาจนไม่อาจได้ยินขัดจังหวะการกระทำของเขา กลางหว่างคิ้วของชายทั้ง 3 ปรากฏจุดสีแดงเล็กๆ ขึ้น จากนั้นเลือดสดๆ ก็พุ่งกระฉูดออกมาจากจุดแดงเหล่านั้น ชายทั้ง 3 คนนั้นเบิกตาจ้องมองเย่โม่อย่างไม่อยากจะเชื่อขณะที่ร่วงลงไปกับพื้น เย่โม่ใช้เวลาไม่ถึง 1 ลมหายใจเท่านั้นในการปลิดชีพพวกเขาทั้งหมด
เย่โม่ไม่ชอบฆ่าคน แต่กับคนที่ข่มขู่คุกคามชีวิตเขาแล้ว…เย่โม่จะไม่ปล่อยให้พวกมันมีชีวิตรอดแน่นอน ตะปูในมือนั้นมีเพื่อขัดขวางคนที่คิดจะยิงเขานั่นเอง
ส่วนชายร่างกำยำที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสคนนั้น เขาเบิกตามองเย่โม่อย่างไม่อยากจะเชื่อ ชาย 3 คนที่ถือปืนไล่ฆ่าเขามากว่าครึ่งวันกลับถูกชายที่นั่งย่างกระต่ายฆ่าตายอย่างง่ายดายแบบนี้
เย่โม่มองชายร่างกำยำที่นิ่งเงียบไปนาน เขายิ้มให้บางๆ “กระต่ายได้ที่แล้ว อยากกินสักหน่อยไหม?”
เย่โม่รู้สึกว่าหวังซู่เป็นคนใช้ได้ไม่เลว มีโอกาสสูงที่ชายตรงหน้าจะเกี่ยวข้องกับหวังซู่ เรียกเขาให้มากินอาหารก็คงจะไม่เป็นอะไร
“อา...เอาสิ ขอบคุณ ผมชื่อกัวฉี่ เมื่อกี้ขอบคุณนายมากที่ช่วยชีวิตเอาไว้” กัวชี่ประสานมือทำท่าเคารพ สีหน้ากลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
เย่โม่โบกมือแล้วยิ้มให้ “ไม่เป็นไร ได้พบกันถือเป็นวาสนาแล้ว ผมชื่อเย่โม่” พูดจบเขาก็แบ่งครึ่งกระต่ายที่ย่างเสร็จแล้ว จากนั้นจึงหยิบสมุนไพร 2-3 อย่างจากในกระเป๋าออกมา เย่โม่ถูพวกมันจนเป็นกากผงโปรยลงบนตัวกระต่าย กัวฉี่มองเหตุการณ์นั้นอย่างสับสนมึนงงอยู่บ้าง ดูไปแล้วเหมือนจะไม่ถูกหลักอนามัยอยู่บ้าง
ถึงจะทำเสร็จแล้วแต่เย่โม่ก็ไม่ได้ยืนกระต่ายครึ่งหนึ่งให้กับกัวฉี่แต่อย่างใด เขากลับพูดขึ้นว่า “นายมาตรงนี้หน่อย ผมจะช่วยดูแผลให้”
เมื่อได้ยินที่เย่โม่พูดและเห็นการกระทำของเขาแล้ว กัวฉี่ก็เข้าใจว่าเย่โม่จะช่วยทำแผลให้เขาด้วยสมุนไพร จึงรีบเดินเข้าไปหาเย่โม่ทันที
รอจนกัวฉี่มาหยุดตรงหน้า จากนั้นเย่โม่จึงกระแทกฝ่ามือไปบนปากแผลกระสุนปืนของกัวฉี่ กระสุนนัดหนึ่งพุ่งออกจากแผลไปไกลราวกับดาวตก แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้กัวฉี่ไม่รู้สึกเจ็บปวดแต่อย่างใด กลับเขารู้สึกเพียงว่ากระสุนตรงเอวได้ถูกกระแทกออกไปแล้ว ทำไมชายคนนี้ถึงได้เก่งขนาดนี้? นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เจอคนที่สามารถใช้วิธีนี้เอากระสุนออกจากร่างกายได้
ราวกับมองไม่เห็นท่าทางตกตะลึงของกัวฉี่ เย่โม่ส่งกระต่ายย่างครึ่งหนึ่งให้กับกัวฉี่ จากนั้นจึงยื่นสมุนไพร 2 อย่างให้กับเขา “เคี้ยวสมุนไพรพวกนี้แล้วทาบนแผลกระสุนนั่นซะ จากนั้นก็ค่อยกินอาหาร หลังจากนี้ก็ไม่น่าจะมีปัญหาแล้ว”
พูดจบเย่โม่ก็ไม่ได้สนใจกัวฉี่อีก เขาหันกลับมาเคี้ยวกระต่ายครึ่งที่เหลือในมือ
กัวฉี่ทั้งประหลาดใจและดีใจที่พบว่าแปลของนั้นไม่เพียงแต่ไม่เจ็บปวดเท่านั้น…เขายังรู้สึกเย็นสบายตรงปากแผลอีกด้วย นี่มันยาอะไรกัน? ผลลัพธ์ถึงได้มหัศจรรย์ขนาดนี้ เวลานั้นเองที่เขารู้สึกว่าเย่โม่นั้นช่างเป็นบุคคลที่ดูลึกลับ ตอนนี้เขาไม่เพียงแต่รู้สึกขอบคุณเท่านั้น ในใจของเขายังรู้สึกนับถือคนๆ นี้ขึ้นมา
ในป่าเขาที่เต็มไปด้วยอันตรายแบบนี้ เย่โม่ไม่เพียงแต่ย่างกระต่ายอย่างผ่อนคลายสบายใจ ทั้งยังรักษาแผลให้เขาได้อย่างง่ายดาย อีกอย่างเพียงแค่ฝ่ามือเดียวก็เอากระสุนออกจากร่างเขาได้แล้ว
คนๆ นี้มีฝีมือ เขาฆ่าพวกกองกำลังพิเศษหนานกุ่ย (ผีใต้) โดยตาไม่กระพริบด้วยซ้ำ เขาต้องไม่ใช่คนเวียดนามแน่นอน หรือว่าจะขอความช่วยเหลือจากเขาดี? กัวฉี่พูดขึ้นทันที “ชายเวียดนาม 3 คนเมื่อครู่คงเป็นพวกหนานกุ่ย ทีมของผมถูกพวกมันซุ่มโจมตีระหว่างทำภารกิจ นอกจากตัวผมที่ฝ่ามาถึงนี่ได้แล้ว…เพื่อนในทีม 2 คนเสียชีวิตแล้ว ส่วนอีก 3 คนถูกล้อมขังอยู่ในถ้ำ คิดว่าตอนนี้พวกเขาคงตกอยู่ในกำมือของพวกหนานกุ่ยแล้ว ที่ผมฝ่าออกมาก็เพื่อต้องการตามหาความช่วยเหลือ”
เย่โม่ขมวดคิ้วโดยไม่ได้พูดอะไร เขาเข้าใจความหมายของกัวฉี่ดี แต่เย่โม่เองก็ไม่ใช่ทหาร อีกอย่างทีมที่ถูกพวกหนานกุ่ยโจมตีจนเละแบบนี้ ในใจเย่โม่ก็รู้สึกไม่พอใจเอามากๆ
ถึงแม้จะไม่อยากช่วย แต่เย่โม่ก็รู้สึกไม่ชอบใจพวกผีเวียดนามเหล่านี้เช่นเดียวกัน ตอนที่เขาเพิ่งมาถึงหลิวเฉอใหม่ๆ ก็ถูกพวกเวียดนามดักปล้นกลางทาง แม้ว่าคนพวกนั้นภายหลังจะถูกเขาฆ่าตายจนหมดก็ตาม แต่นั่นก็ทำให้เขาเกิดรู้สึกรังเกียจพวกเวียดนามขึ้นมา
“ถึงผมจะอยากช่วยนายแต่ก็ยังมีเรื่องที่ต้องทำอยู่…ตอนนี้ผมกำลังตามหาของบางอย่างที่นี่” เย่โม่ลุกขึ้นยืนแล้วพูด ตอนนี้เขาเตรียมตัวจะเดินทางต่อแล้ว เดิมทีเย่โม่กับกัวฉี่ก็ไม่ได้รู้จักมักจี่กัน เมื่อครู่ช่วยชีวิตเขาไว้ครั้งหนึ่งแล้ว อีกอย่างเขาก็ยังมีเรื่องที่ต้องทำอยู่ ถ้าเขาสะดวก...การจะช่วยสักนิดสักหน่อยก็คงไม่เป็นอะไร แต่การจะให้เขาไปช่วยโดยเฉพาะเจาะจงนั้น...เย่โม่ยังรู้สึกว่ายุ่งยากน่ารำคาญอยู่บ้างจริงๆ