บทที่ 12
บทที่ 12
ชุดเสื้อสูทสีขาวกับกางเกงผ้าสีเข้มดูไม่ค่อยเข้ากับงานในไร่นัก แต่รินรดาก็นึกไม่ออกว่าพิชญะจะให้เธอทำอะไร ให้เธอขุดดินเอาหัวมันหรือไปตัดอ้อยหรือยังไงเพราะมองไปทางไหนก็เห็นแต่ไร่อ้อยและไร่มัน
ชายหนุ่มมองหญิงสาวที่ยืนอยู่ใกล้ๆ เขาลากเธอขึ้นรถกระบะแล้วขับมาที่ไร่ เขาต้องคุมคนงานตัดอ้อยให้เสร็จส่งโรงงานให้ทันกำหนดเวลา ไร่ของเขายังต้องใช้แรงงานคนในการตัดอ้อยอยู่ ถ้าไม่มาคุมเองปล่อยลูกน้องทำกันเองก็คาดเดาได้ไม่ยากว่าไม่เสร็จแน่ๆ เขาดึงข้อมือเธอมาทั้งที่ก็ไม่รู้จะเอาเธอมาทำอะไร งานในไร่ไม่ใช่อะไรที่ใครจะไปทำได้ง่ายๆ ถึงเขาจะไม่พอใจในท่าทีหยิ่งยโสนั้นแต่ก็ไม่ใจร้ายพอที่จะไล่ให้เธอไปจับเคียวเกี่ยวอ้อยแน่ๆ และโดยไม่รู้ตัวเขาถอดหมวกที่ตัวเองสวมอยู่วางบนศีรษะของหญิงสาว ร่างบางสะดุ้งเมื่อจู่ๆ มือหนักก็กดทับลงมาพร้อมหมวกปีกกว้าง รินรดามองใบหน้าคมเข้มเพียงไม่กี่นาทีเขาก็หันหลังให้เห็นเพียงปอยผมที่มัดไว้เหนือท้ายทอย
แดดบ่ายอากาศร้อนจัด คนงานสวมเสื้อผ้าปกปิดร่างกายมิดชิดทั้งกันแสงแดงและใบอ้อยบาดผิวเธอยืนนิ่งมองการทำงานของคนงานตัดอ้อยอย่างขะมักเขม้น งานของพวกเขาแสนหนักและยากลำบากจะว่าไปแม้เธอจะมีปัญหาให้ทุกข์ท้อใจอยู่บ่อยครั้ง แต่เธอก็ไม่ได้ทำงานหนักหนาเท่าพวกเขา แต่ในขณะเดียวก็ดูพวกเขามีความสุขกันดี แล้วเธอล่ะ? เมื่อไหร่จะค้นพบความสุขของตัวเองเสียที
สายตาคนงานหลายคู่มองเลยข้ามเขาไปยังร่างบางที่ยืนอยู่ไม่ห่างนักแทนที่เขาจะทำงานได้เร็วขึ้นดูท่าจะยิ่งช้าลง พิชญะสั่งงานกับหัวหน้าคนงานที่เพิ่งกลับมาจากอีกไร่แล้วเดินนำมาที่รถกระบะของเขา รินรดารีบก้าวยาวๆ จนเกือบจะเป็นวิ่งแล้วรีบขึ้นรถไปนั่งข้างคนขับโดยไม่ต้องรอเขาสั่ง สีหน้าเคร่งเครียดของเขาทำให้รินรดาหวาดๆ ว่าตัวเองเป็นภาระให้เขาเสียงานเสียการหรือเปล่า แต่นึกๆ ไปก็ไม่ใช่ความผิดของเธอเสียหน่อย เขาอยากลากเธอมาที่ไร่เองต่างหาก จู่ๆ รถก็เบรกกะทันหันราวกับคนขับจะอยากแกล้งคนที่นั่งเหม่ออยู่ข้างๆ เขามองหญิงสาวที่เกือบจะหน้าทิ่มไปกับกับหน้ารถ เธอหันขวับมองเขาตาเขียวแต่เขากลับกระตุกยิ้มที่มุมปาก
“เข้าบ้านไปก่อน ทำความสะอาดบ้านให้เรียบร้อยพร้อมอาหารเย็นด้วย ผมจะกลับเข้ามาห้าโมงทุกอย่างต้องพร้อม คุณเข้าใจใช่ไหม”
“ค่ะ”
รินรดาพยักหน้ารับหงึกหงักพยายามสะกดกลั้นอาการโล่งอกเมื่อได้อยู่ห่างเขา มือใหญ่ล้วงไปในกระเป๋าเสื้อหยิบกุญแจบ้านส่งให้ เธอหงายมือให้เขาหย่อนมันลงบนฝ่ามือของเธอทำคล้ายไม่อยากจะสัมผัสถูกเนื้อต้องตัวเลยสักนิด พิชญะหงุดหงิดกับท่าทางของเธอแต่ไม่อยากต่อล้อต่อเถียงตอนนี้เพราะเขาต้องกลับไปที่ไร่ ชายหนุ่มหยิบหมวกที่เธอสวมอยู่คืนแล้วพยักหน้าเป็นเชิงให้หญิงสาวเปิดประตูรถเข้าบ้านไป
รินรดาถอนหายใจยาวเมื่อรถกระบะขับออกไปพ้นแนวรั้วบ้านแล้ว เธอหมุนตัวแล้วเดินถือพวงกุญแจไขประตูบ้าน เธอลองไขเพียงสองครั้งก็เปิดประตูเข้าบ้านได้โดยไม่ต้องเดาว่าทั้งพวงนี้ไขประตูอะไรที่ไหนบ้าง เธอไม่ได้สังเกตว่าบ้านของเขาเป็นอย่างไรเพราะมัวแต่กังวลเรื่องงานและเรื่องที่เธอเพิ่งรับรู้ ร่างบางเดินมานั่งที่โซฟาแล้วนั่งกอดเข่าวางคางมนบนเข่าของตน ผมยาวยุ่งเหยิงเพราะทำอะไรวุ่นวายหลายอย่าง ไม่ต้องดูเสื้อผ้าเลยมันแสนจะมอมแมมไม่ต่างจากลูกหมาคลุกฝุ่น จะว่าไปเธอก็ไม่อยากกลับบ้านตอนนี้เหมือนกัน แม้เขาจะผิดหวังที่คิดว่าจะได้มาติกามาอยู่เคียงข้างในบ้านไร่แต่กลับยายลูกเป็ดขี้เหร่อย่างเธอมาแทน คนที่ทรมานคงไม่ใช่เธอหรอกอาจจะเป็นเขานั้นแหละที่หวังจะได้ผู้หญิงสาวเปรี้ยวเซ็กซี่บาดใจขนาดนั้น คิดได้ถึงตอนนี้เธอกลับหัวเราะออกมา แม้จะรู้สึกโดดเดี่ยวและเจ็บในอกที่ถูกส่งมา ‘ขัดดอก’ อย่างนี้ แต่ถ้าได้อยู่อย่างนี้ทำงานในครัวใช้ชีวิตในไร่ก็คงดีกว่ากลับไปทำงานที่ไม่ได้รักแต่ต้องรับผิดชอบในตึกสูงระฟ้าอย่างนั้น
“คิดซะว่ามาพักร้อนก็แล้วกัน” หญิงสาวบอกกับตัวเองแล้วดีดตัวลุกขึ้นยืนหันซ้ายแลขวาสำรวจภายในห้องดูไม่ค่อยรกอย่างที่คิดแต่มีฝุ่นบ้าง มีแก้วกาแฟวางทิ้งไว้ยังไม่ได้เก็บ นี่นอกจากทำความสะอาดบ้านอาจจะต้องซักเสื้อผ้าให้ด้วย แล้วอาหารเย็นอีกล่ะ
ร่างบางลำดับสิ่งที่ทำก่อนหลังในสมองแล้วลงมือทำ เอาเถอะ ยังไงเธอก็จะทำงานให้คุ้มค่าข้าวปลาอาหารและที่ซุกหัวนอนก็แล้วกัน ส่วนหนี้ที่งอกขึ้นมานั้นขอให้สมองเธอปลอดโปร่งกว่านี้ก่อนแล้วค่อยคิดว่าจะทำยังไงต่อไป
ร่างอิ่มเอิบแสนเย้ายวนเดินโซซัดโซเซลงมาจากห้องนอนของตนด้วยชุดนอนแสนบางเบา มือเรียวเสยผมบ๊อบสั้นสีน้ำตาลประกายทองก่อนจะกระชับเสื้อคลุมแล้วนั่งที่โซฟากลางห้อง คุณแพรวามารดาของมาติกากดรีโมท์เปลี่ยนช่องรายการโทรทัศน์ที่ดูอยู่พลางยกแก้วน้ำส้มขึ้นดื่ม
“หิวน้ำจังคุณแม่ขา มาร์กี้คอแห้งมากๆเลยค่ะ ยัยรินไปไหนคะเนี้ย”
“ไม่รู้เหมือนกันลูก ไม่เห็นหน้ามาสองสามวันแล้วนี่” คุณแพรวาทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ เธอไม่อยากบอกความจริงให้ลูกสาวรู้ตอนนี้เพราะกลัวว่าข่าวจะแพร่กระจายไปเร็วเกินไป โดยเฉพาะเรื่องที่บ้านกำลังจะล้มละลายด้วยแล้ว ห้ามให้ใครรู้เด็ดขาดเพราะนั่นหมายถึงหน้าตาชื่อเสียงในสังคมที่สั่งสมมานานด้วย
“อะไรนะคะคุณแม่” มาติกาทำหน้าตาใจ “รินหายไปเหรอคะ”
“ลูกเป็นห่วงมันด้วยเหรอ” คุณแพรวามองหน้าลูกสาวอย่างงุนงง
“เปล่าค่ะ ไม่ได้เป็นห่วงมัน” มาติกายักไหล่ “แล้วใครจะมาดูแลมาร์กี้ละคะ”
“แม่หาคนดูแลบ้านรายวันมาแล้วล่ะ ไปเช้าเย็นกลับน่ะ เดี๋ยวนี้หาคนรับใช้ยากไม่เหมือนในละครเลย”
“ก็มีอยู่แล้วจะหาทำไมละคะ” มาติกาหัวเราะเมื่อนึกถึงรินรดาที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตารับคำสั่ง ทำงานอย่างไม่ปริปากบ่น ทำให้มีคนคอยรับใช้ส่วนตัวอย่างไม่ต้องเสียค่าจ้าง
“คอยพึ่งคนอื่นอยู่ก็ไม่ดีหรอก” คุณแพรวารู้ว่าลูกสาวหมายถึงใคร “แล้วเมื่อไหร่แกจะหาแฟนเป็นตัวเป็นตนที่พ่อแม่พึ่งพาได้เสียทีล่ะ จะได้มีคนมาช่วยดูแลบริษัทของคุณพ่อ ช่วยเสริมฐานะของครอบครัวเรา”
“เรื่องนั้นมาร์กี้รู้ค่ะ มาร์กี้ถึงต้องเลือกให้มากๆ ไงค่ะ”
“แล้วเรื่องลูกชายของคุณหญิงเพ็ญแขละลูก คุณหญิงมีลูกชายตั้งสามคนไม่ได้สักคนเลยเหรอ”
“คุณแม่ก็” มาร์กี้เบ้ปาก “คนโตก็อายุสี่สิบมีเมียแล้วนะแม่ จะให้ไปเป็นเมียน้อยเหรอ คนรองก็ได้ข่าวว่าเป็นเกย์”
“แล้วคนอื่นละลูก”
“แม่ไม่ต้องห่วงเรื่องนี้หรอก มาร์กี้ต้องหาคนทีดีที่สุด เพอเฟคที่สุด สำหรับมาร์กี้ต้องเลิศที่สุดเท่านั้น”
“ถ้าหาผู้ชายรวยๆ ไม่ได้ก็ไปช่วยพ่อทำงานก็ได้นะ” เสียงคุณวิทยาเอ่ยจากด้านหลัง วันเสาร์เขาเข้าบริษัทครึ่งวันและเพิ่งกลับมาบ้านมาเจอลูกสาวที่เพิ่งจะตื่นนอน
“โธ่! คุณพ่อ! อย่าพูดอะไรชวนเสียอารมณ์หน่อยเลยค่ะ” มาติกาดีดตัวขึ้นจากโซฟา “ยังไงลูกก็ต้องได้ผู้ชายรวยๆ มาเป็นสามีให้คุณพ่อคุณแม่สบายใจได้แน่นอนค่ะ”
“แล้วนั้นจะไปไหนละลูก” คุณแพรวาร้องถามเมื่อเห็นลูกสาววิ่งขึ้นชั้นบน
“ไปอาบน้ำแต่งตัวสวยๆ ออกไปหาผู้ชายรวยๆ ไงคะคุณแม่” มาติกาตะโกนตอบโดยไม่หันมามองพ่อกับแม่ที่ได้แต่ถอนหายใจหนัก
“ไม่ไหวเลยจริงๆ ลูกคนนี้ แล้วจะพึ่งพาอะไรได้ บริษัทก็จะเจ๊ง บ้านก็ติดแบงค์” คุณวิทยาบ่นแล้วเลื่อนปมเนคไทลง
“เอาน่าคุณ ถ้าลูกเราได้ผู้ชายรวยๆ มาเป็นสามีจริงๆ ก็สบายเราทั้งคู่นั้นแหละ” คุณแพรวาบีบนวดแขนสามีเพื่อเอาใจ
“คุณก็เหมือนกัน อย่าให้ท้ายมาร์กี้ให้มากนัก ถ้าขยันได้สักครึ่งของหนูรินละก็...บริษัทคงไม่...”
“คุณคะ จะเอาลูกเราไปเปรียบเทียบกับยัยกำพร้านั้นได้ยังไง” คุณแพรวาแสร้งตีแขนสามีเบาๆ “อย่าพูดให้ลูกได้ยินเชียวไม่งั้นลูกเสียใจแย่เลย มีพ่อแม่ที่ไหนรักคนอื่นมากกว่าลูกตัวเอง”
“ก็แบบนี้ถึงต้องส่งรินรดาไปขัดดอกไง” สามีพูดอย่างเหนื่อยใจ “ป่านนี้แล้วไม่รู้จะเป็นยังไงบ้าง คนที่บริษัทก็ถามถึง ไม่รู้จะต้องอยู่กี่วัน กี่เดือนถึงจะใช้หนี้สิบล้านได้หมด”
คุณแพรวาเบ้ปาก “ทำไมคุณไม่คิดบ้างละว่า นั่นอาจจะโอกาสดีของรินรดาก็ได้ ไอ้หมอนั้นอาจจะหลงยัยรินเอาเป็นเมียออกนอกหน้าก็ได้”
“ผู้ชายที่ไหนจะเอาผู้หญิงขัดดอกมาเป็นเมียออกหน้าออกตา” คุณบรรจงได้แต่ถอนหายใจหนักๆ แม้จะมีเงินทุนเข้ามาหมุนเวียนทำให้สภาพคล่องของบริษัทดีขึ้นแต่ก็ยังอดกังวลกับปัญหาที่อาจจะตามมาในไม่ช้านี้
ราวชั่วโมงเศษ ร่างเย้ายวนหุ่นนางแบบเร่าร้อนในชุดเดรสสั้นสีดำผ้าพลิ้วแม้จะเป็นแฟชั่นแบบเกาหลีแต่เมื่ออยู่บนเรือนร่างขาวเนียนก็เรียกสายตาหนุ่มๆ ให้จ้องมองพร้อมกลืนน้ำลายลงคอกันอย่ายากลำบาก การบริหารเสน่ห์เป็นงานถนัดของมาติกา เธอรู้ว่าเธอสวยและร้อนแรงได้มากเพียงใด และที่สำคัญเธอรู้ว่าจะใช้สิ่งที่เธอมีควบคุมผู้ชายได้อย่างไร “มาแต่หัววันเลยนะมาร์กี้”
เสียงเพื่อนสาวร้องทักเมื่อเห็นหญิงสาวผลักบานประตูเข้าไปในจิลเวอรี่สุดหรูของโรงแรมแห่งหนึ่ง
“มาเลือกเพชรนะเธอ จะให้มาตอนค่ำเหรอไงยะ” มาติกาหัวเราะร่วนใส่เพื่อนสาวที่กำลังคิดเงินอยู่หลังเคาน์เตอร์
“แต่แต่งตัวเหมือนจะปาร์ตี้” อีกฝ่ายหัวเราะอย่างรู้ทัน
“กำไรข้อมือเส้นนี้สวยจริงๆ” มาติกาเคาะไปที่ตู้กระจกตรงหน้า มันเป็นทองคำแสนสวยประดับด้วยเพชรเม็ดเล็กระยิบระยับ
“เส้นนี้แค่แสนกว่าๆเองซื้อเลยซิ” เพื่อนสาวพูดเพราะรู้ดีว่าครอบครัวนี้เป็นลูกค้าประจำร้านของเธอ
มาติกาหัวเราะร่วน
“มันจะดีกว่านี้ถ้ามีคนซื้อให้นะครับ”
หญิงสาวหันไปทางต้นเสียงที่ยืนอยู่ด้านหลัง เขาเป็นชายหนุ่มวัยสามสิบปลายๆ แต่งตัวภูมิฐานเพียงแค่ปรายตามองมาติกาก็รู้ว่าเสื้อสูทของเขาราคาเหยียบหมื่น หญิงสาวยิ้มโปรยเสน่ห์ทันที
“ใช่ค่ะมันอยู่ที่คนที่จะซื้อให้ด้วย”
หนุ่มใหญ่หัวเราะ “บังเอิญผมมาประชุมที่โรงแรมนี้เพิ่งเสร็จเลยเดินดูอะไรเล่นๆ ก่อนจะบินกลับสิงคโปร์ กำลังจะหาดูของฝากคุณแม่คุณช่วยเลือกหน่อยได้ไหมครับ”
“ได้ซิค่ะ มาร์กี้ยินดีช่วยเหลือค่ะ” ดวงตาส่งประกายวับวาว
เพื่อนสาวทาญาติร้านเพชรแอบยิ้มในใจแล้วปล่อยให้เพื่อนสาวจัดการฮุบเหยื่อให้เสร็จ และเป็นไปตามคาดเธอขายเครื่องประดับได้สองชิ้นราคารวมเกือบสามแสน นักธุรกิจหนุ่มชวนมาติกาดื่มกาแฟก่อนที่เขาจะขึ้นเครื่องบินกลับในอีกสามชั่วโมงข้างหน้า
ร่างเย้ายวนก้าวเข้ามาในห้องสวีทวิวสวย แต่ทั้งสองไม่มีได้สนใจสิ่งรอบข้างในเมื่อหญิงสาวยิ้มเลียริมฝีปากสีแดงอย่างเชิญชวน หนุ่มถอดเสื้อนอกอย่างใจเย็นแล้วรั้งร่างเนียนนุ่มมาแนบชิด ประทับริมฝีปากกับลำคอหอมกรุ่นมืออีกข้างที่ว่างเลื่อนลูบไล้ใต้กระโปรงผ้าพลิ้ว เธออ่อนระทวยกับสัมผัสจู่โจมของเขาและเมื่อปลายนิ้วใหญ่ขยี้กลีบดอกไม้หมุนวนปลายนิ้วอย่างเชื่องช้ากลับเร้าอารมณ์เธอให้กระเจิดกระเจิงยิ่งขึ้น
“เรามีเวลาเท่าไหร่คะ” เธอเอ่ยปากถามเสียงกระเส่าเมื่อเขายกขาข้างหนึ่งของเธอขึ้น สะโพกของเธออยู่พนักของโซฟาตัวใหญ่ เธอรู้สึกถึงความแข็งแกร่งที่รอการปลดปล่อย มาติกาเริงสวาทกับหนุ่มๆ มาหลายรูปแบบแต่ส่วนใหญ่เป็นหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันไม่ใช่มาดนักธุรกิจที่เธอเคยคิดว่าคนพวกนี้มีแต่ตัวเลขในสมอง คงไม่มีทางระเริงรักได้ถึงใจแน่ๆ
“เวลาไม่สำคัญเท่าตอนนี้ผมมีคุณอยู่ที่นี่” เสียงเขาแหบพร่าไม่แพ้กัน แน่นอนว่าเขาไม่ใช่เด็กหนุ่มอ่อนโลก เขาเจนจัดมากพอที่มองหญิงสาวเดินผ่านสายตาก็รู้ได้ว่าเธอเป็นเช่นไร แค่กำไรข้อมือราคาแสนกว่านิดๆ ก็พาเธอขึ้นห้องได้ มันเป็นเรื่องของการต่อรองและเขาคิดว่ามันคุ้มค่าพอกับการปลดปล่อยความต้องการของเขา
หนุ่มใหญ่รูดซิบชุดสวยออกเหลือเพียงชุดชั้นในลูกไม้สีดำ กลางแสงสว่างยามบ่ายทำให้เธอเย้ายวนยิ่งขึ้น เขาปลดเนคไทของตัวเองออกแล้วมัดข้อมือของหญิงสาวไว้ด้านหลัง
“คุณจะทำอะไร” มาติกากระเส่าเพราะนิ้วของเขากำลังระเริงรักเธออย่างเร้าร้อน
“ทำในสิ่งที่คุณต้องการไงละ”
เขากระซิบอุ้มเธอไปวางบนโต๊ะอาหาร เขาก้มลงกัดกินยอดอกเธอผ่านบราลูกไม้สีดำ ร่างเนียนแอ่นเข้าหาอยากจะให้เขาปลดเปลื้องอาภรณ์ของเธออกให้หมด แต่เขากัดเธอแรงจนเจ็บและเสียวซ่านในเวลาเดียวกันพร้อมกับนิ้วของเขาที่ทำงานอย่างรู้หน้าที่ ร่างกายเธอกระตุกและหวีดร้องออกมา เขามองเธอเหมือนเป็นอาหารแทะเล็มร่างกายเธออย่างเอร็ดอร่อย เขาดึงเธอลงมาแล้วพลิกหันหน้าเธอเข้ากับโต๊ะ ยกขาข้างหนึ่งขึ้นแล้วแทรกเสาหินของตนเองเข้าไปอย่างรวดเร็วและรุนแรงจนหญิงสาวหวีดร้องออกมาอีกครั้ง มีเพียงเสียงครางกระเส่าออกจากปากสวยของมาติกา เขากระหน่ำบทรักรุนแรงเผาไหม้เธอจนแทบมอดไหม้ หลายครั้งหลายหนจนร่างหญิงสาวอ่อนเปลี้ย
“ไหนว่าคุณต้องรีบขึ้นเครื่องบินไงล่ะ” มาติกาเอ่ยปากพูดได้หลังจากเหนื่อยหอบอยู่นาน
“เครื่องบินส่วนตัว เมื่อไหร่ก็ได้” เขายิ้มมุมปากแล้วยื่นมือมาเขี่ยยอดอกของหญิงสาวเล่นจนเธอต้องซูดปากอีกครั้ง “คุณอยากนั่งเครื่องบินเล่นไปเที่ยวกับผมสักสองสามวันไหมละ ผมจะดูแลคุณอย่างดีเลยทีเดียว”
“แค่ไปเที่ยวเหรอคะ” มาติกายิ้มพอใจกับรสรักและความมั่งคงที่เขาคงมีปรนเปรอให้เธอได้
“ถ้าคุณต้องการมากนั้นก็ได้ ผมมีให้คุณได้ตามต้องการ”
เขาโถมเข้าใส่เธออีกครั้งทั้งที่ไม่รู้จักชื่อ ไม่รู้นามสกุล แต่สำหรับความสนุกที่ซื้อหาได้ก็ไม่จำเป็นต้องรู้อะไรมากไปกว่านี้ มาติกาเองก็ไม่อยากสนใจนักเพราะเธอไม่ชอบผูกมัดใคร แต่ถ้าไปได้ดี อายุขนาดนี้ก็พอรับได้ เสียงกระเส่าดังขึ้นอีกครั้งกับร่างกายที่บิดเร่าด้วยแรงปรารถนาและบทรักที่เต็มไปด้วยความรุนแรงอย่างที่หญิงสาวไม่เคยคิดว่าตัวเองจะได้พบเจอ.