ตอนที่ 1 : เริ่มเคลื่อนไหว
“เรามาเริ่มที่การเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของนักผจญภัยแรงค์ SS ซิลเวอร์จะดีไหมครับ?”
“ไม่ดี”
ในตอนที่อาร์โนลด์กลับมาถึงห้อง, เขาก็ปรึกษากับเซบาสเกี่ยวกับแผนการในอนาคต
คนๆเดียวที่รู้ว่าเขาคือซิลเวอร์นั้นก็คือเซบาส แน่นอนว่า, การเปิดเผยตัวตนของเขานั้นมีข้อดีอยู่ อย่างไรก็ตาม, มันก็มีข้อเสียพ่วงมาด้วย
“ท่านปู่ของข้าเคยทุ่มเทให้กับเวทมนตร์โบราณและมันก็ทำลายเขา ตั้งแต่นั้นมา, เวทย์โบราณก็เลยกลายมาเป็นข้อห้ามของราชวงศ์ไปเลย ซึ่งเวทมนตร์ที่ข้าใช้เองก็เป็นเวทย์โบราณด้วย ดังนั้นการเปิดเผยตัวว่าข้าใช้เวทมนตร์แบบนั้นในขณะที่น้องชายฝาแฝดของข้ากำลังอยู่ในศึกชิงบัลลังก์ต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่”
“แต่ถึงอย่างนั้น, ซิลเวอร์ก็สร้างชื่อให้ตัวเองและมีผลงานที่รู้จักโดยทั่วกันนะครับ จะบอกว่าเขาเป็นนักผจญภัยที่ยอดเยี่ยมที่สุดในประวัติศาสตร์ของอาณาจักรก็ยังได้ ถ้ามองในแง่นี้มันก็เป็นประโยชน์กับเจ้าชายลีโอนาร์ดไม่ใช่หรอครับ?”
“มันยังเร็วเกินไป ถ้ามันจนปัญญาแล้วจริงๆพวกเราค่อยใช้มันเป็นฟางเส้นสุดท้ายก็แล้วกัน ตราบใดที่ลีโอยังอยู่ในศึกชิงบัลลังก์, การที่ข้าเป็นที่รู้จักในฐานะเจ้าชายไร้ค่ามันจะทำให้ข้าทำงานได้สะดวกกว่า”
“แต่ว่า......”
“เถอะหน่าลุง, แบบนี้มันง่ายสำหรับข้ามากกว่านะ”
“.....ถ้าท่านตัดสินใจแล้วข้าขอไม่พูดอะไรอีกก็แล้วกันครับ แต่ว่า, ท่านวางแผนจะทำอะไรต่อหรอ? ถ้าท่านไม่คิดจะเปิดเผยตัวตนของท่าน, ท่านก็เคลื่อนไหวอะไรได้ไม่ค่อยมาก, ถูกไหมครับ?”
“เซบาส มีดยุคบ้านไหนที่ยังไม่เข้าร่วมในศึกนี้เหลืออยู่ไหม?”
“มีอยู่บ้านนึงครับ มีแค่ดยุคบ้านนั้นที่ยังไม่เข้าร่วมในการต่อสู้นี้เลย”
“บ้านไหน?”
“บ้านไคลเนลต์ครับ”
บ้านใหญ่ซะด้วยนะเนี่ย
บ้านดยุคนั้นมีสายเลือดเกี่ยวพันธ์กับราชวงศ์ มันคือยศที่มอบให้กับพี่น้องของจักพรรดิที่ถูกมองว่ายอดเยี่ยมแต่ไม่ได้กลายเป็นจักพรรดิ มีพวกที่ยอมทิ้งความสำเร็จอันยิ่งใหญ่เพื่อให้ได้รับยศนี้แต่เพื่อการนั้นพวกเขาก็จะได้รับสมาชิกของราชวงศ์มาเป็นคู่ครองดังนั้นจึงไม่มีปัญหาเพราะพวกเขาคิดว่าได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับราชวงศ์อยู่ดี
สำหรับบ้านดยุคนั้น, การต่อสู้ชิงบัลลังก์นี้คือเหตุการณ์สำคัญ
ถ้าบ้านไหนเลือกสนับสนุนถูกคนและคนๆนั้นได้เป็นจักพรรดิ, บ้านนั้นก็จะได้รับรางวัลอย่างมหาศาล ซึ่งนี่ก็คือเหตุผลที่ทำไมบ้านดยุคทุกบ้านจึงเลือกที่จะผูกสัมพันธ์กับผู้สืบทอดที่เข้าแข่งขันไม่ทางใดก็ทางนึง อย่างไรก็ตาม, ถ้าเกิดพวกเขาไม่ได้ทำแบบนั้นมันก็อาจจะตีความได้ว่าพวกเขามีปัญหาที่ยิ่งใหญ่กว่าอยู่ในมือ
“ความจริงที่ว่าพวกเขายังไม่ได้เข้าร่วมกับฝ่ายไหนเลยจนถึงตอนนี้ก็หมายความว่าพวกเขามีเรื่องบางอย่างที่กังวลอยู่สินะ?”
“ถูกต้องตามที่ท่านคิดเลยครับ ดูเหมือนว่าจะมีมอนส์เตอร์ที่ดุร้ายตัวนึงกำลังสร้างความวุ่นวายอยู่ในดินแดนของพวกเขา, พวกเขาได้ขอความช่วยเหลือจากนักผจญภัยแล้วแต่ดูเหมือนว่าทางนั้นยังไม่มีวิธีที่จะแก้ไขสถานการณ์นี้ได้เลยครับ”
กิลด์นักผจญภัยนั้นมีสาขาอยู่ทั่วทั้งทวีป
ที่จักรวรรดินี้เองก็มีสาขาแยกย่อยมากมาย, แต่ความสามารถของนักผจัญภัยในแต่ละสาขานั้นแตกต่างกัน
สำหรับกิลด์นักผจญภัยในจักวรรดินี้, นอกจากสาขาเมืองหลวงของจักรวรรดิ, เลเวลของสาขาอื่นๆนั้นไม่ได้สูงเลย และถึงแม้จะเป็นที่สาขาเมืองหลวงของจักวรรดิเอง, ถ้าเกิดไม่รวมเขาไปด้วย, เลเวลของมันก็สูงกว่าสาขาอื่นแค่เล็กน้อย
ซึ่งเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะไม่ค่อยมีมอนส์เตอร์ปรากฎตัวขึ้นในจักรวรรดิ การที่จักรวรรดิสงบสุขนั้นมันถือเป็นเรื่องที่ดีแต่การที่ไม่ค่อยมีมอนส์เตอร์แบบนี้มันก็หมายความว่าขาดความต้องการด้วย และนี่ก็ทำให้นักผจญภัยที่แข็งแกร่งส่วนใหญ่ย้ายไปยังสถานที่ที่มีมอนส์เตอร์ให้ล่ามากกว่า
ดังนั้น, เมื่อมีปัญหาที่มีมอนส์เตอร์มาเกี่ยวข้องจักรวรรดิก็จะต้องใช้เวลาสักพักในการแก้ไขปัญหา ถึงยังการพานักผจญภัยจากภายนอกเข้ามานั้นมันก็ต้องมีค่าใช้จ่ายอยู่แล้ว
“ข้าควรช่วยพวกเขาไหม?”
“เป็นความคิดที่ดีครับแต่ท่านจะสร้างความเชื่อมโยงระหว่างซิลเวอร์กับเจ้าชายลีโอนาร์ดยังไงหรอครับ?”
“ง่ายๆข้าก็แค่บอกว่ามาตามคำขอของลีโอก็พอแล้ว เดี๋ยวข้าจะอธิบายรายละเอียดให้ลีโออีกทีเพราะฉะนั้นไม่น่าจะมีปัญหาอะไรหรอก”
“ถ้าเกิดพวกเขารู้ว่าเจ้าชายลีโอสามารถเคลื่อนไหวนักผจญภัยแรงค์ SS ที่ไม่เคยเคลื่อนไหวตามคำขอของอาณาจักรอย่างซิลเวอร์ได้มันจะทำให้พวกเขาเพ่งเล็งเจ้าชายลีโอนาร์ดมากขึ้นนะครับ และถ้ามันเป็นแบบนั้นพวกเขาก็อาจจะสามารถเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าชายอาร์โนลด์กับซิลเวอร์ได้ด้วยไม่ใช่หรอครับ?”
“ถึงพวกนั้นจะเริ่มระวังเขาก็ไม่เป็นไรหรอก ถ้าพวกนั้นรู้ว่าเขามีความสัมพันธ์กับซิลเวอร์, พวกนั้นก็จะไม่สามารถเล่นงานเขาได้ง่ายๆ ตัวตนของซิลเวอร์ไม่ใช่ปัญหาหรอก มันจะไม่เป็นอะไรตราบใดที่ข้าระวังตัว”
“ถ้าท่านยืนกรานเช่นนั้นข้าก็จะไม่ห้ามอะไรท่าน แต่, โปรดรู้ไว้ด้วยนะครับว่าการถูกจับได้มันแตกต่างกับการเปิดเผยตัวเองคนละเรื่องเลยนะครับ”
“รู้แล้วหน่า เอาเป็นว่า, ตอนนี้ข้าขอมุ่งหน้าไปบ้านดยุคไคลเนลต์ก่อนแล้วกันนะ”
พอพูดจบ, เขาก็เปลี่ยนไปใส่ชุดของซิลเวอร์ที่เขาคุ้นเคยดีและขอให้เซบาสจัดการเรื่องที่นี่ในขณะที่เตรียมใช้เวทมนตร์เคลื่อนย้าย
มันคือเวทมนตร์ที่ถูกทิ้งเอาไว้จากอารยธรรมโบราณ สิ่งที่ถูกเรียกว่าเวทมนตร์โบราณนั้นคือเวทมนตร์ที่ควบคุมได้ยากกว่าและมีลักษณะที่เฉพาะกว่าเวทมนตร์ในสมัยนี้มาก อย่างไรก็ตาม, ผลของมันก็รุนแรงเช่นกัน
เวทมนตร์เคลื่อนย้ายของเขานั้นสามารถเดินทางได้เกือบจะทั่วทั้งจักรวรรดิ ดังนั้นสำหรับเขาแล้ว, จักรวรรดินี้ก็เหมือนสวนหลังบ้านของเขา เขาสามารถไปได้ทุกที่ที่ต้องการ, ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตาม แต่เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน, มันก็ต้องใช้พลังเวทย์ปริมาณมหาศาลจากตัวผู้ใช้, ซึ่งเขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากปิดหูปิดตาให้กับข้อเสียเช่นนี้
ในระหว่างที่เขากำลังเตรียมเวทมนตร์อันยิ่งใหญ่, เซบาสก็ให้คำแนะนำเขาอีกเล็กน้อย
“จะว่าไปแล้ว, ลูกสาวของดยุคไคลเนลต์ก็คือเจ้าหญิงนกนางนวลสีน้ำเงินคนนั้น ความสวยของเธอไร้ที่ติ โปรดระวังอย่าให้ความสวยของเธอมาล่อลวงท่านและลืมวัตถุประสงค์ของตัวเองนะครับ”
“เซบาส, ข้าคิดเรื่องนี้มาตั้งนานแล้วนะ, จิตใจของท่านจะไม่สงบใช่ไหมถ้าไม่ได้บ่นข้าก่อน?”
“ก็มันเป็นงานของข้านี่ครับ”
“หึ...เอาเถอะข้าขอฝากเรื่องที่เหลือให้ท่านจัดการก็แล้วกันนะ”
“ตามประสงค์ครับ”
หลังจากที่เขาร่ายเวทมนตร์เคลื่อนย้ายสำเร็จ, เขาก็ถูกย้ายจากเมืองหลวงของจักวรรดิไปยังบ้านของดยุคไคลเนลต์ซึ่งปกติต้องใช้เวลาเดินทางอย่างน้อยห้าวันในทันทที
——————–
บ้านของดยุคไคลเนลต์นั้นคือดินแดนกว้างใหญ่ที่ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของจักวรรดิ เขาเคลื่อนย้ายมายังเมืองหลวงของดยุคผู้นี่ที่ซึ่งอยู่ส่วนกลางของดินแดนและเข้าไปเยี่ยมคฤหาสน์ของดยุคในทันที
“ข้าคือนักผจญภัยแรงค์ SS, ซิลเวอร์ ข้ามาขอพบท่านดยุค”
“เจ้านะรึ ซิลเวอร์? อย่ามาตลกหน่อยเลย ถ้าคนระดับนั้นจะมาเยี่ยมพวกเรากิลด์นักผจญภัยก็น่าจะติดต่อมาก่อนหนี้สิ เลิกเล่นลูกไม้แล้วกลับไปยังที่ของเจ้าซะ”
นี่คือสิ่งที่ผู้เฝ้าประตูหนุ่มผมบลอนด์บอกกับเขา
ความคิดที่จะย่างสดเขาผุดขึ้นมาในหัวอยู่พักนึงแต่ว่านั่นจะเป็นการทำลายจุดประสงค์ในการมาเยี่ยมของเขา
ด้วยการเก็บความหงุดหงิดเอาไว้, เขาก็เอาบัตรนักผจญภัยที่สามารถยืนยันตัวตนของเขาได้ออกมา
สิ่งนี้จะมีชื่อของนักผจญภัย, แรงค์และข้อมูลอื่นๆอยู่ บัตรพวกนี้สร้างขึ้นโดยใช้เทคนิคลับของกิลด์ดังนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะปลอมขึ้นมา
อย่างไรก็ตาม, ถ้าเข้าได้แสดงให้ดูหล่ะก็นะ
“เจ้าไม่ต้องเอาบัตรของเจ้ามาให้ข้าดูหรอก กลับไปซะ! ตอนนี้ข้ากำลังยุ่งอยู่!”
“หา!?”
โดยไม่แม้แต่จะดูบัตร, คนเฝ้าประตูก็หันหลังเดินจากเขาไป
ทัศนคติของคนเฝ้าประตูนั้นกวนโทสะของเขาจริงๆแต่ว่านี่ก็ถือเป็นโอกาสที่ดีเหมือนกัน
ตอนแรก, เขาวางแผนจะช่วยพวกเขาและสร้างบุญคุณกับพวกเขาแต่ถ้าเรื่องมันออกมาเป็นแบบนี้ก็มีอยู่วิธีเดียวที่จะสามารถทำให้พวกเขาเป็นหนี้บุญคุณได้
“ที่ข้าดั้งด้นมาถึงที่นี่ก็เพราะเป็นคำขอพิเศษของเจ้าชายลีโอนาร์ด....แต่ดูเหมือนว่าเจ้าชายจะใจดีกับพวกเจ้ามากเกินไปสินะ เอาสิ่งที่ข้าจะพูดต่อไปนี้ฝากไปบอกท่านดยุคด้วยหล่ะ....เจ้าได้ดูหมิ่นศักดิ์ศรีของข้าและเจ้าชายเข้าซะแล้ว”
“ข้าจะเอาไปบอกทำไมหล่ะ! รีบๆไสหัวไปได้แล้ว!”
ผู้เฝ้าประตูคนนี้ยังคงรักษาความเย่อหยิ่งเอาไว้ตั้งแต่ต้นจนจบ ดยุคไคลเนลต์นั้นเป็นคนที่มีเกียรติอย่างแท้จริงแม้พวกเขาจะมีประวัติศาสตร์ไม่นานนักเมื่อเทียบกับขุนนางคนอื่นก็ตาม
พอมาคิดว่ามีคนที่หยาบคายเช่นนี้กำลังปกป้องคฤหาสน์อันทรงเกียรติของพวกเขาอยู่มันก็ชวนให้โมโหจริงๆ ต่อให้นี้อาจจะเป็นเพราะมีวิกฤตการณ์มอนส์เตอร์ทำให้พวกเขาขาดกำลังคนก็ตาม
เห้อ, ส่วนใหญ่มันเป็นความผิดของไอ้เจ้านี่ก็จริงแต่ความผิดของลูกน้องก็ถือเป็นความผิดของเจ้านายเหมือนกันหล่ะนะ ก็รู้สึกผิดกับท่านดยุคอยู่หรอกแต่ขอทำให้ตื่นตระหนกซักหน่อยก็แล้วกัน
ในตอนที่รอยยิ้มเจ้าแผนการปรากฎขึ้นเบื้องหลังหน้ากากของเขา, เขาก็เหลือบเป็นเห็นเด็กสาวคนนึงกำลังจ้องมาทางเขาจากหน้าต่างชั้นสองของคฤหาสน์
เด็กสาวคนนั้นมีผมสีทองและดวงตาสีฟ้า, เธอดูงดงามมากแม้จะเห็นจากระยะไกลก็ตาม ซึ่งเขานั้นก็จำใบหน้าของเธอได้ด้วย
เมื่อสองปีก่อน, จักพรรดิได้สั่งให้ช่างฝีมือของจักรวรรดิทำเครื่องประดับผมที่มีรูปร่างเหมือนนกขึ้นมา จากนั้นในตอนที่ทำเสร็จแล้ว, เครื่องประดับผมสีน้ำเงินอันแสนวิเศษที่ทำขึ้นมาให้มีรูปร่างเหมือนนกนางนวลก็ได้ดึงดูดสายตาของจักรพรรดิเข้า
จักรพรรดิที่รู้สึกชื่นชอบมันในทันทีที่เห็นก็พูดขึ้นมาว่ามีแค่ผู้หญิงที่สวยที่สุดในอาณาจักรเท่านั้นที่เหมาะกับเครื่องประดับชิ้นนี้และรวบรวมสาวงามจากทั่วทั้งจักวรรดิมาที่เมืองหลวงของจักวรรดิ ในตอนนั้นแม้ว่าเธอจะมีอายุแค่สิบสี่ปี, แต่ลูกสาวของดยุคไคลเนลต์, ฟีเน่ ฟ็อน ไคลเนลต์ก็ได้ถูกเลือกเป็นสาวงามที่เหมาะสมกับเครื่องประดับชิ้นนี้มากที่สุด
เธอได้รับเครื่องประดับผมนกนางนวลสีน้ำเงินและได้รับฉายาว่าเจ้าหญิงนกนางสีน้ำเงินตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก นอกจากนี้เธอก็ได้กลายเป็นที่หมายปองของชายทั่วทั้งจักวรรดิ
หลังจากผ่านมาสองปี, ดูเหมือนเธอจะสวยขึ้นมากกว่าที่เราคิดอีกนะเนี่ย
แต่ว่า
“เธอสวยก็จริงแต่ไม่เห็นน่าดึงดูดเหมือนที่เซบาสพูดเลย”
พอนึกถึงคำพูดของเซบาส, เขาก็ออกมาจากบ้านดยุคอย่างหงอยๆแล้วกลับไปที่เมืองหลวงของจักรวรรดิ
“......กลับมาเร็วจัเลยนะครับ”
“ข้าได้ทำในสิ่งที่ข้าทำได้แล้ว! หลังจากนี้พวกเราจะไปที่บ้านดยุคไคลเนลต์ ไปเตรียมตัวซะ”
“.....แต่ท่านพึ่งกลับมาไม่ใช่หรอครับ?”
“คนที่พึ่งกลับมาคือซิลเวอร์, ส่วนคนที่กำลังจะไปคือเจ้าชายอาร์โนลด์ต่างหากหล่ะ หึหึ, ตอนนี้ดยุคคงทำได้แค่มาร้องห่มร้องไห้เบื้องหน้าลีโอเท่านั้นแหล่ะ ตอนนี้ดยุคเป็นพันธมิตรของเราแน่นอนแล้ว”
“ท่านกำลังทำรอยยิ้มชั่วร้ายอยู่ท่านรู้ตัวรึเปล่าครับ?”
เขาไม่สนใจคำพูดของเซบาสแล้วไปเตรียมตัวสำหรับการออกเดินทางของเขา
พอเห็นว่าเขากำลังฮัมเพลงในระหว่างที่เตรียมสัมภาระ, เซบาสก็ถอนหายใจแล้วเริ่มจัดของของตัวเอง
จากนั้นพวกเขาก็เดินทางด้วยม้าและไปถึงบ้านดยุคไคลเนลต์ในอีกห้าวันต่อมา
——————
หลังจากที่พวกเขาเข้าไปที่เมืองหลวงของดยุค, พวกเขาก็มุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์ของดยุคในทันที, ครั้งนี้ดยุคไคลเนลต์ได้ออกมาให้การต้อนรับด้วยตัวเอง ซึ่งมันก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว, เพราะพวกเขาตั้งใจบอกให้เขารู้ล่วงหน้าว่าจะมาเยี่ยม อย่างไรก็ตาม, เหตุผลที่ดยุคออกมาให้การต้อนรับด้วยตัวเองนั้นก็เพราะเขาเป็นคนในราชวงศ์
แต่ถึงกระนั้นสำหรับดยุคคนอื่นๆคงจะไม่ออกมาต้อนรับด้วยตัวเองแบบนี้
ถึงยังไง, เขาก็เป็นเจ้าชายที่มีชื่อเสียงไม่ดีที่ไม่ได้สนใจจะชิงบัลลังก์ด้วยซ้ำ เขาคือเจ้าชายที่เที่ยวเล่นไปวันๆและโยนภาระทุกอย่างให้กับน้องชายของตัวเอง, เจ้าชายไร้ค่า
อยากรู้จังว่าทำไมดยุคไคลเนลต์ถึงออกมาต้อนรับเราด้วยความเคารพและนอบน้อมขนาดนี้
“เจ้าชาย ไม่ได้เจอกันมาซักพักนึงแล้วนะครับ”
“นั่นสินะ, ดยุคไคลเนล์ ว่าแต่เราเจอกันครั้งล่าสุดเมื่อไหร่นะ?”
“ตั้งแต่ตอนงานฉลองวันเกิดอายุครบสิบปีของท่านครับ, เจ้าชาย”
ชายวัยกลางคนที่มีผมบลอนด์จัดอย่างเป็นระเบียบและมีกล้ามคนนี้ก็คือดยุคเอลม่า ฟอนต์ ไคลเนลต์
เขาคือขุนนางผู้ปกครองดินแดนนี้มาเป็นเวลาหลายสิบปีแล้วตั้งแต่ที่เขาได้รับสืบทอดมาจากดยุคคนก่อนตั้งแต่ยังเด็ก, การแสดงออกที่สุภาพอ่อนน้อมของเขานั้นเป็นเรื่องที่รู้กันดีในกลุ่มคนของเขาและขุนนางคนอื่นๆ นอกจากนี้เขายังเป็นหนึ่งในดยุคที่จักพรรดิไว้ใจด้วย
“นานจังเลยนะ แต่มันก็เป็นเพราะข้าไม่ค่อยออกมาจากเมืองหลวงด้วยแหล่ะ ดูเหมือนว่าข้าจะทำตัวเหินห่างจากขุนนางศักดินาเข้าแล้วสิ ยกโทษให้ข้าด้วยนะ”
“ไม่ต้องถือสาหรอกครับ มันเป็นความผิดของข้าเองที่ไม่สามารถออกไปจากดินแดนและไปแสดงตัวที่เมืองหลวงได้”
จากนั้นพวกเขาก็เดินเข้าไปในคฤหาสน์ในขณะที่บทสนทนาอย่างเป็นพิธีการนี้ยังคงดำเนินต่อไป
มีข้ารับใช้มากมายเดินตามหลังพวกเขาไปจนถึงตอนที่ดยุค, เขาและเซบาสเข้าไปในห้องรับแขก
“เอาหล่ะท่านดยุค ข้าเองก็ไม่ค่อยมีเวลาเท่าไหร่เพราะฉะนั้นจะขอเข้าเรื่องเลยนะ”
“เชิญครับเจ้าชาย ที่ท่านมาเยี่ยมเยือนพวกข้าในครั้งนี้มีจุดประสงค์อะไรหรอครับ?”
“ท่านเองก็ค่อนข้างใจร้ายเหมือนกันนะครับที่ถามจุดประสงค์ของพวกข้าด้วย มันก็แน่นอนอยู่แล้ว, พวกข้ามาที่นี่ก็เพื่อคุยเรื่องค่าตอบแทน”
“ค่าตอบแทนหรอครับ?”
“เอาจริงๆน้องชายของข้าไม่ได้อยากได้สิ่งตอบแทนหรอกแต่ในเมื่อเขาเข้าไปเกี่ยวข้องกับศึกชิงบัลลังก์แล้ว, ตอนนี้พวกข้าก็ไม่สามารถปล่อยผ่านไปได้ง่ายๆ ซึ่งนั่นก็คือเหตุผลที่ข้ามาที่นี่เพื่อเตือนท่าน ดยุคไคลเนลต์, ถ้าท่านมีความรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณของลีโออยู่บ้างทั้งหมดที่ข้าต้องการก็คือให้ท่านสนับสนุนเขาก็พอ”
“ดะ, เดี๋ยวก่อนนะครับ ข้าควรซาบซึ้งเรื่องอะไรหรอครับ?”
“.....ท่านดยุค, นี่ท่านแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องหรอ?”
ดยุคไคลเนลต์ที่ไม่เข้าใจสถานการณ์มีสีหน้าสับสน
มันไม่มีทางหรอกที่บทสนทนาของพวกเขาจะคืบหน้าไปได้ ระหว่างฝ่ายพวกเขาที่ส่งซิลเวอร์มาช่วยกับฝ่ายดยุคที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าซิลเวอร์มาเยี่ยม เขารู้เรื่องนี้ดี และเขาก็รู้ดีว่าถ้าพวกเขาเริ่มบทสนทนาบนความเข้าใจเดียวกันการพูดคุยก็คงจะนุ่มนวลกว่านี้
“ท่านคือดยุคที่ได้รับความไว้ใจจากองค์จักรพรรดิรวมถึงคนของท่านด้วย ลีโอเล็งเห็นถึงจุดนี้และวางแผนช่วยเหลือท่านด้วยความหวังดีตามแบบฉบับของเขาแต่เขาจะคิดยังไงกันนะถ้าเขารู้ว่าท่านจะตอบแทนเขาแบบนี้?”
“เจ้าชายอาร์โนลด์ ข้าไม่เข้าใจครับว่าท่านต้องการจะสื่ออะไร ข้าต้องขอประทานโทษจริงๆแต่ข้าไม่รู้เลยว่าเจ้าชายลีโอนาร์ดได้ทำอะไรเพื่อตระกูลของเรา”
“อะไรนะ?”
เขาก้าวเท้าออกมาหนึ่งข้างราวกับจะบอกว่าทนฟังไม่ไหวแล้ว
เซบาสที่รอช่วงเวลานี้อยู่ก็เข้ามาหยุดเขาอย่างทันท่วงที
“เจ้าชาย ดูเหมือนท่านดยุคจะไม่รู้เรื่องจริงๆนะครับ”
“มีอะไรที่สามารถสรุปได้หรอว่าเขาไม่รู้จริงๆ? ลีโออุตส่าสังให้นักผจญภัยแรงค์ SS มาช่วยเขาเลยนะเจ้าก็รู้นี่!? ยิ่งไปกว่านั้น, เขายังตัดสินใจทำแบบนี้ทั้งที่ตัวเองอยู่ในจุดขับขันจากศึกชิงบัลลังก์ด้วยเจ้าก็รู้ไม่ใช่หรอ!? เขาคือเหตุผลที่ทำให้ซิลเวอร์เคลื่อนไหวไม่ใช่รึไง!?”
“ซะ, ซิลเวอร์หรอครับ? ท่านหมายถึงซิลเวอร์คนนั้นหรอ?”
“ใช่, คนนั้นแหล่ะ! ลีโอได้ยินมาว่าเจ้าเจอปัญหาจากการที่มอนส์เตอร์เข้ามาบุกรุกดินแดนของเจ้าก็เลยเขียนจดหมายไปขอความช่วยเหลือจากซิลเวอร์ ซึ่งซิลเวอร์ก็ตอบกลับมาว่าเขาจะจัดการมันให้ในเร็วๆนี้ เขาเป็นผู้ใช้เวทมนตร์โบราณ, ข้าได้ยินมาว่าเขาสามารถใช้เวทย์เคลื่อนย้ายได้ด้วย, เพราะฉะนั้นมันไม่มีทางหรอกที่เขาจะยังมาไม่ถึงหน่ะ!”
“เป็นความจริงหรอครับ!?”
“เจ้าจะบอกว่าข้าเป็นคนขี้โกหกรึยังไง!?”
ในขณะที่เขาแสดงออกอย่างเกรี้ยวกราด, เขาก็เหลียวมองเซบาส
เซบาสที่รู้สึกได้ถึงสายตาของเขาก็กระโจนเข้ามาช่วยดยุค
“เจ้าชาย, ใจเย็นหน่อยสิครับ ตัดสินจากท่าทีของเขาแล้ว, ดูเหมือนว่าท่านดยุคจะไม่ได้โกหกจริงๆนะครับ เขาอาจจะไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆก็ได้ ข้าว่าให้ท่านดยุคได้มีเวลาสืบสวนเรื่องนี้สักพักจะดีกว่าไหมครับ?”
“สืบสวนหรอ? ถ้าผลลัพธ์ออกมา, แล้วยังไม่รู้เรื่องจะทำยังไง?”
“เมื่อถึงตอนนั้น, พวกเราก็ถามซิลเวอร์โดยตรงก็ได้นี่ครับ ถ้าเจ้าชายลีโอนาร์ดเป็นคนเรียกเขา, ซิลเวอร์ก็น่าจะยอมโผล่มานะครับ”
“เฮอะ! ถ้าเซบาสพูดถึงขนาดนี้ข้าจะให้เวลาซักพักก็ได้ แต่เจ้าคงรู้สินะว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าปกปิดอะไรจากพวกข้า? ถึงยังไงพวกข้าก็จะถามรายละเอียดจากซิลเวอร์โดยตรงอยู่แล้ว ถ้าพวกข้ารู้ว่าความผิดอยู่ทางฝั่งเจ้า, พวกข้าจะทำให้มั่นใจว่าจะไม่มีนักผจญภัยคนไหนเข้ามาในดินแดนของเจ้าอีก”
“.....ขะ เข้าใจแล้วครับ พวกข้าจะรีบรวบรวมข้อมูลจากในตระกูลให้เร็วที่สุด ช่วยรออยู่ที่นี่สักพักนะครับ”
จากนั้นดยุคไคลเนลต์ก็รีบออกจากห้องไปอย่างลุกลี้ลุกลน
ถ้านี่เป็นคำพูดที่เกี่ยวข้องกับคนที่มีได้แข่งชิงบัลลังก์โดยตรงอย่างเขาเพียงอย่างเดียวดยุคก็คงจะไม่ลุกลี้ลุกลนขนาดนี้ แต่ปัญหาในครั้งนี้มันมีซิลเวอร์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
ในทวีปนี้มีนักผจญภัยแรงค์ SS อยู่แค่ห้าคนเท่านั้น พวกเขาคือผู้ที่มีพรสวรรค์มากที่สุดในการกำจัดมอนส์เตอร์ พวกเขาไม่ใช่คนที่จะเคลื่อนไหวเพราะเงินเพียงอย่างเดียว, มันไม่ใช่คำกล่าวที่เกินจริงเลยหากจะบอกว่าพวกเขาคือผู้ที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของนักผจญภัย ถ้ามีคนสาดโคลนใส่หน้าของซิลเวอร์, นักผจญภัยคนอื่นๆก็จะไม่ไปเหยียบดินแดนของคนๆนั้น เพราะถ้าขนาดนักผจญภัยที่เป็นที่ชื่นชอบอย่างซิลเวอร์ยังได้รับการปฏิบัติที่เลวร้าย, มันก็ไม่มีทางเลยที่นักผจญภัยคนอื่นจะได้รับการปฏิบัติที่ดี
“ดูเหมือนจะไปได้ดีนะ”
“แผนนี้มันค่อนข้างใจร้ายอยู่นะครับ มันแทบไม่ต่างกับการเล่นทายปัญหากับตัวเองเลยไม่ใช่หรอครับ?”
“ลุงเองก็ค่อนข้างใจร้ายนะที่มองว่ามันเป็นการเล่นทายปัญหา นี่คือตระกูลที่ไล่ซิลเวอร์คนนั้นเชียวนะ ข้าก็แค่เปิดปากแผลเท่านั้นเอง, ข้าไม่ใช่คนที่ลงโทษซะหน่อย”
“ถ้าท่านถูกไล่ออกมาท่านก็แค่แอบเข้าไปก็พอแล้วนี่ครับ ท่านแค่เห็นโอกาสแล้วเลือกที่จะไหลไปตามมันเท่านั้นเองไม่ใช่หรอ? ยิ่งไปกว่านั้น, ท่านยังเน้นย้ำให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของเจ้าชายลีโอนาร์ดด้วยการเล่นละครวางท่านั่นอีก ครั้งนี้ข้าขอชื่นชมกับความเจ้าแผนการของท่านจริงๆ”
“มันคือบทบาทของข้า ลีโอใจดีเกินไป ถ้าเปรียบเขาเป็นน้ำ, เขาก็คือน้ำที่ใสเกินกว่าที่ปลาจะเอาตัวรอดได้ เขาจะต้องมีคนที่ทำให้น้ำขุ่นซะบ้าง
“ถ้าท่านตัดสินใจแล้วว่าท่านจะเล่นบทบาทนี้ข้าก็จะไม่ห้าม, แต่ท่านรู้ใช่ไหมครับว่าทำแบบนี้ตัวท่านมีแต่เสียกับเสีย?”
“ไม่เป็นไรหรอก สิ่งที่จำเป็นสำหรับพวกเราในตอนนี้ก็คือชื่อเสียงของลีโอ ข้าไม่สนใจหรอกว่าชื่อเสียงของข้าจะเลวร้ายลงไปอีกแค่ไหน”
“แต่ข้าสนนะครับ แล้วข้าก็คิดว่าท่านแม่ที่ท่านเคารพรักและเจ้าชายลีโอนาร์ดก็คงจะสนเหมือนกัน”
“มีคนห่วงใหญ่ข้าตั้งสามคนมันก็มากพอแล้วหล่ะ”
ในตอนที่บทสนทนานี้จบลง, เขาก็ได้ยินเสียงตะโกนของดยุคดังมาจากข้างนอก
“ไอ้ลูกชายโง่เง่า!! นี่เจ้าคิดจะทำลายตระกูลของเรารึยังไง!?”
ดูเหมือนว่าดยุคจะรวบรวมข้อมูลเสร็จแล้ว
เอาเข้าแล้วไง, ข้าหล่ะอยากรู้จริงๆว่าเรื่องนี้ผลจะออกมาเป็นยังไง