ตอนที่แล้วบทที่ 4
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 6

บทที่ 5


บทที่ 5

รินรดาขมวดคิ้วอยู่กับกองเอกสาร กาแฟร้อนที่ชงไว้เย็นชืดไปหมดแล้วแต่เธอก็ยังจดจ้องกับตัวเลขตรงหน้า เธอกดเครื่องคิดเลขสลับกับพลิกเอกสารในแฟ้มหลายครั้งแต่ตัวเลขก็ไม่เป็นแบบที่เธอต้องการ คล้ายกับมีการแก้ไขอะไรบางอย่างที่เธอไม่รู้    เธอเงยหน้าขึ้นเมื่อคุณวิทยาเดินผ่านโต๊ะทำงานของเธอไปที่ห้องทำงานของผู้บริหาร หญิงสาวรีบหอบเอกสารก้าวเร็วๆ ไปทันที

“มีอะไรด่วนนักหรือไง เข้ามาก็ไม่เคาะประตูก่อน” วิทยาดุอย่างไม่ใส่ใจนัก

“ขอโทษค่ะ” รินรดาเห็นสีหน้าเหนื่อยอ่อนของผู้ชายตรงหน้าก็อ้ำอึ้ง หลายวันมานี้คุณวิทยามีสีหน้าเคร่งเครียดตลอดเวลา “คือตัวเลขในบัญชีมันดูผิดปกติค่ะ”

“ถ้าเป็นเรื่องนี้ไม่ต้องเอามาพูดกับฉัน!”

รินรดาผวาเฮือก ถึงเธอจะเจออารมณ์ร้ายของคุณวิทยาบ่อย แต่ก็ท่านก็ไม่ค่อยตวาดเธอในที่ทำงานนักและแน่นอนว่าอย่าหวังว่าคุณวิทยาจะเรียกตัวเองว่าพ่อด้วย

“แต่ว่า...”

“ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น” มือใหญ่เอื้อมมือมาหยิบแฟ้มเอกสารจากมือของลูกบุญธรรม“ไปๆ มีอะไรก็ออกไปทำก่อนไป”

“ค่ะ”

รินรดารับคำแล้วก้มหน้าเดินออกมาอย่างเงียบๆ เธอเห็นความผิดปกติเกี่ยวกับรายรับรายจ่ายของบริษัทมาสักระยะ และรู้ดีว่าฐานะการเงินค่อนข้างมีปัญหาแต่ปัญหาบางอย่างเธอก็ไม่อาจก้าวก่ายการตัดสินใจของคุณวิทยาได้  หญิงสาวเดินกลับมานั่งที่โต๊ะทำงานแต่จิตใจเหม่อลอย เธอเข้าใจคุณวิทยาดีไม่ว่าจะกี่ปีท่านก็ไม่เคยมองเห็นเธอเป็นลูกได้ แน่นอน เธอดูออกจากสายตาและท่าทางระหว่างเธอกับมาติการวมถึงคุณแพรวาด้วย หญิงสาวเผลอกัดปลายดินสอด้วยความเคยชิน ทำสมาธิให้นิ่งแน่วแน่กับงานตรงหน้า  ตัวเลขในบัญชีติดลบ คุณวิทยาเอาเงินไปทำอะไรมากขนาดนั้นนะ

“นั่งกัดหัวดินสออีกแล้วนะรินรดา”

“คะ” หญิงสาวตื่นจากภวังค์แล้วเงยหน้าขึ้นมองคุณแพรวาที่ยืนค้ำโต๊ะทำงานเธออยู่

“คุณวิทยาเข้ามารึยัง”

“มาถึงสักครู่แล้วค่ะ”

“ดีแล้ว” คุณแพรวาพยักหน้ารับ แล้วหมุนตัวเดินไปแต่เดินห่างไปได้แค่สองสามก้าวก็หันกลับมาอีกครั้ง “ขอน้ำส้มเย็นเจี๊ยบให้ฉันด้วยนะ อ้อ! คุ้กกี้รองท้องสักสี่ห้าชิ้นด้วยล่ะ”

“ค่ะ”

รินรดามองร่างคุณแพรวาเดินเข้าห้องท่านประธานไปแล้ว เธอจึงลุกขึ้นเดินไปที่ห้องครัวเล็กๆ ของออฟฟิศ เปิดตู้เย็นหยิบน้ำส้มที่เธอคั้นใส่ขวดไว้ให้พนักงานคนอื่นดื่มด้วยออกมารินใส่แก้ว ร่างบางหมุนตัวไปหยิบคุ้กกี้ออกจากโหลใบใสจัดเรียงใส่จานอย่างสวยงาม

“โธ่! หนูริน! ไม่เห็นต้องทำเองเลย ใช้ใครก็ได้” ปานชีวาส่ายหน้าไปมา แล้วหยิบคุ้กกี้ในโหลเข้าปาก “ทำอร่อยแบบนี้ไม่ลองทำขายดูละหนูริน”

“กลัวขายไม่ออกค่ะ” หญิงสาวยิ้มเขินอายในคำชม “รินทำใส่กล่องมาให้พี่ปานเอาไปให้ลูกชายพี่ปานด้วยนะคะ”

“หนูรินก็นะ” ปานชีวาส่ายหน้าอีกครั้ง “ฝีมือระดับนี้แล้วทำขายได้สบาย เปิดร้านได้ก็ไม่น่าเกลียด เราเองก็มีความรู้เรื่องการตลาด ทำแพ็คเก็ตสวยๆ ก็ขายได้อยู่แล้ว จะได้ไม่ต้องมาฝืนอยู่อย่างนี้”

“หน้าตารินดูออกขนาดนั้นเลยหรือคะ” รินรดาหัวเราะ

“หนูริน...” ปานชีวาถอนหายใจ “ถึงจะมีชื่อเป็นลูกบุญธรรมแต่เขาก็เลี้ยงดูเราเหมือนคนรับใช้ จะไปทนอยู่ทำไมละ หนูรินก็ตอบแทนบุญคุณมามากพอแล้ว ต้องลาออกจากเรียนพยาบาลย้ายข้ามสายวิชาชีพมาทำงานดูแลบริษัทอีกต่างหาก แค่นี้มันก็มันก็มากพอแล้วล่ะ”

“แต่มันก็เป็นบริษัทของพ่อ” หญิงสาวระบายลมหายใจเบาๆ “รินทำงานที่นี่ก็เหมือนได้ใกล้ชิดพ่อ พ่อคงไม่อยากเห็นรินทอดทิ้งบริษัทที่พ่อสร้างขึ้นกับมือ”

“ถ้าคุณพ่อหนูอยู่ก็คงคิดอย่างนั้น แต่หนูรินอยู่อย่างนี้เป็นแค่เลขาฯ ไม่ได้นั่งในตำแหน่งสูงอะไรเลย ถ้าปล่อยวางได้ก็ปล่อยซะเถอะนะ ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำดีกว่ายังไงมันก็ชีวิตเราเองเลือกมีความสุขในสิ่งที่ตัวเองอยากเป็นดีกว่า”

รินรดาฝืนยิ้มที่มุมปาก แม้ใบหน้าหวานจะมีรอยยิ้มแต่ในใจเธอเหมือนกำลังร้องไห้ ทั้งอยากประคองบริษัทไว้แต่อีกใจก็อยากเดินในหนทางของตนเอง อาจจะต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ หรือเริ่มจากไม่มีอะไรเลยแต่มันก็คือหนทางชีวิตที่เธอเลือกเดิน

คุณแพรวาเดินหยิบกระเป๋าหลุยส์เข้าไปในห้องทำงานของสามี นางไม่ได้สนใจสามีที่นั่งหน้าเครียดกับตัวเลขแดงๆ ในบัญชี

“คุณค่ะ ทำไมฉันรูดบัตรไม่ผ่านละคะ ฉันกับลูกจองกระเป๋าหนังจระเข้ไว้คนละใบด้วย น่าอายจริงๆ เลย”

“กระเป๋า? กระเป๋าอะไร? เพิ่งซื้อไปไม่ใช่เหรอคุณ”

“นั้นมันตั้งสองเดือนก่อนค่ะ” คุณแพรวาทิ้งตัวนั่งที่โซฟารับแขกในห้อง

“แล้วเดือนที่แล้วคุณซื้ออะไรไปตั้งแสนกว่าบาท”

“สร้อยเพชรนะคะคุณ” ภรรยาหัวเราะคิกคัก “ฉันทำเพื่อคุณนะคะ ถ้าใส่เพชรเม็ดเล็กก็อายคนอื่นเขานะซิ”

“พอเถอะ! แค่นี้ผมก็ไม่รู้จะหาเงินที่ไหนมาให้คุณใช้แล้วนะ”

“คุณพูดอะไรคะ” คุณแพรวามองหน้าสามีอย่างงงๆ “เงินแค่นี้ทำเป็นบ่นไปได้”

“ก็เพราะคุณคิดแบบนี้ไง เราจะล้มละลายกันอยู่แล้ว” คุณวิทยาเผลอตะคอกภรรยา “ใช้เงินกันเดือนละสามสี่แสนเป็นว่าเล่นแบบนี้ผมจะหาที่ไหนมาให้คุณผลาญได้เล่า”

“ทำเป็นซีเรียสไปได้” แพรวาบีบไหล่สามีอย่างเอาใจ “คุยกับธนาคารหรือยังคะ”

“ทั้งธนาคารทั้งไฟแนลไม่มีใครเพิ่มวงเงินให้เราแล้ว”

“คุณพูดจริงเหรอคะเนี้ย” คราวนี้คุณแพรวาเริ่มหน้าเสีย ปกติเธอไม่ค่อยเห็นสามีเคร่งเครียดอย่างนี้ “ฉันจองกระเป๋าไว้เอาไงดี ไม่ไปเอาก็อายคนอื่นแย่”

“นี่ยังจะห่วงกระป๋งกระเป๋าบ้าบอนั้นอีกเรอะ!”

“คุณอย่ามาเสียงดังใส่ฉันซิ!” คุณแพรวาลุกขึ้นยืนแล้วชี้หน้าสามี “ก็เอาเงินบริษัทมาใช้ก่อนก็ได้นิ”

“ผมโยกเงินจนจะไม่มีเงินจ่ายเงินเดือนพนักงานอยู่แล้ว”

“แล้วจะทำยังไง กู้นอกระบบไม่ได้เลยหรือคะ”

“ผมกู้จนเขาไม่ยอมให้กู้แล้ว นอกจากจะหาหลักทรัพย์ไปค้ำประกันหรือไม่ก็จ่ายเงินของเก่าเขาก่อน”

“งั้นก็เอารถไปค้ำซิคะ” แพรวายักไหล่ “รถเรามีตั้งหลายคัน ง่ายจะตายไป”

“รถก็ไม่เหลือแล้ว ไฟแนลจะมายึดอยู่แล้ว ผมไม่ได้จ่ายค่างวดมาห้าเดือนแล้ว”

“แล้วบ้านละคะ”

“บ้านก็เข้าธนาคารไปตั้งนานแล้วไง” คนเป็นสามีหัวเสียที่ภรรยาไม่รู้เรื่องอะไรเลย

“ที่คุณไปกู้นี่คุณพิชญะที่ว่าเป็นเศรษฐีชาวไร่อะไรนั้นเหรอคะ” ภรรยาเสียงอ่อนลง

“ใช่ คนอ้วนๆ ที่คุณเคยเจอที่โรงแรมเมื่อสามสี่เดือนก่อนไง” วิทยาถอนหายใจหนักๆ เมื่อนึกถึงข้อเสนอของเจ้าหนี้รายใหญ่ที่พร้อมปล่อยกู้ให้อีกเท่าตัวถ้าเขา....

“คุณพิชญะไม่ยอมปล่อยกู้เพิ่มแล้วนอกจาก...นอกจาก...”

“อะไรคะ คุณพิชญะอยากได้อะไร?”

“เขาอยากได้ลูกสาวเราไปเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน!”

“คุณพระคุณเจ้าช่วย” คุณแพรวายกมือทาบอกอุทาน “จะเอาลูกสาวเราไป... บ้านะซิ! ฉันไม่ยอมให้ลูกมาร์กี้ไปอยู่กับคนอย่างนั้นหรอก ถ้ารวยสักพันล้านก็ค่อยว่ากัน”

“ได้ข่าวว่ารวยระดับนั้นแหละ” คุณวิทยาไม่รู้จะจัดการปัญหาชีวิตยังไง

เสียงเคาะประตูดังขึ้นเมื่อคุณวิทยาอนุญาตแล้ว รินรดาเดินเข้ามาพร้อมน้ำส้มกับคุ้กกี้ เธอวางถาดลงที่โต๊ะรับแขกในห้องท่านประทาน หญิงสาวรู้สึกได้ถึงความเคร่งเครียดของทั้งสองสามีภรรยาจึงไม่พูดอะไร ร่างบางจัดการทุกอย่างแล้วเดินออกมาอย่างรวดเร็ว

คุณแพรวามองร่างในชุดเดรสสีเทาเชยๆ เดินผ่านสายตาจนพ้นประตูห้องทำงาน เธอเดินปิดประตูเพื่อความแน่ใจอีกครั้งแล้วรีบเดินกลับมาหาสามีด้วยสีหน้าระรื่น

“คุณคะ ฉันมีวิธีช่วยคุณแล้วค่ะ”

“ช่วยยังไง? จะเอากระเป๋าแบรด์เนมออกมาขายหรือไง”

“โอ๊ย! ฉันไม่ยอมทำแบบนั้นแน่ๆ อายคนอื่นเขา” ภรรยาหยิกต้นแขนสามีเป็นเชิงหยอก แล้วกระซิบกับสามีทั้งที่ในห้องมีกันอยู่แค่สองคน “ถ้าเรายกลูกสาวเราให้ เขาจะให้เงินเราเท่าไหร่คะ”

“ให้อีกห้าล้านแถมล้างหนี้เก่าห้าล้านที่ค้างอยู่ให้ด้วย”

คุณแพรววาหัวเราะคิกคัก “ถ้าเขาอยากได้ลูกสาวเราก็ยกให้เขาไปซิคะ”

“คุณจะบ้าเรอะ! ผมมีลูกสาวคนเดียวผมไม่ยอมขายลูกกินเด็ดขาด!”

“คุณลืมไปหรือเปล่าคะว่าเรามีลูกสาวสองคน”

“?”

ภรรยาแหงนหน้าหัวเราะ “เจ้าหนี้เราไม่ได้ระบุว่าจะ”เอาลูกสาวคนไหนไม่ใช่เหรอคะ งั้นเราก็ส่งลูกสาวคนเล็กของเราไปซิคะ”

วิทยาเพิ่งคิดตามที่ภรรยาพูดแล้วก็พยักหน้าอย่างเพิ่งนึกได้ “แล้วมันจะดีเหรอ รินรดาจะยอมเรอะ”

“จะยากอะไรคะ ก็อย่าให้รู้ซิ” ภรรยาเบ้ปากนิด “ถึงเป็นลูกบุญธรรมก็ต้องตอบแทนบุญคุณ ยังไงก็ต้องทำได้ไม่งั้นก็จะเป็นคนอกตัญญู”

“มันก็จริงอย่างที่คุณพูด” สามีเห็นคล้อยตามที่ภรรยาเสนอ

“ถ้างั้นคุณก็ไปตกลงเจรจากับคุณพิชญะได้เลยค่ะ ส่วนเรื่องรินรดาทางฉันจะจัดการเอง”

คุณแพรวาเดินมานั่งที่โซฟาแล้วยกแก้วน้ำส้มขึ้นดื่ม อารมณ์หงุดหงิดเริ่มเบาบาง เธอจะได้กระเป๋าที่จองไว้แล้วก็มีเงินใช้เพิ่มขึ้น ไม่ต้องเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันหรอกนะรินรดา ยกให้เป็นเมียไปเลยไม่ต้องกลับมาให้รกหูรกตาอีกนั้นแหละดีที่สุด!.

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด