ตอนที่ 74 ร่วมมือกัน
ทุกคนเงยหน้ามองฟ้า ด้วยความหวังว่าจะมีเจ้าหน้าที่ประจำสนามมารับกลับ แต่ทุกคนก็ต้องผิดหวัง เหนือภพก้มหน้ามองสางลำไพรด้วยแววตาซับซ้อน
“เจ้าต้องการของอะไรบ้าง”
เหนือภพถามเธอด้วยน้ำเสียงจริงจัง สางลำไพรเพิ่งเห็นบุคลิกสมชายชาตรีจากเขาเป็นครั้งแรก เธอตะลึงมองค้างแล้วก็ดึงตัวเองกลับมาในเสี้ยววินาที เธอเอนตัวเข้าไปกระซิบบอกสิ่งของที่เธอต้องการทั้งหมด กว่าจะพูดจบเธอก็เริ่มกลับมาเหนื่อยหอบอีกครั้ง
“ดี พวกเราต้องทำได้”
เหนือภพพึมพำเพียงเท่านั้นแล้วก็อุ้มสางลำไพรวิ่งฉิวไปหาคนอื่น ๆ โดยไม่สนใจว่าพวกเขาจะเคยต่อยตีกันมาหรือไม่ ในตอนนี้ยังไงทุกคนก็ต้องร่วมมือกัน
“ไอ้เสือ เจ้าไปหายอดทับทิมยาวหนึ่งศอกมาหน่อย เอาที่มีใบเยอะ ๆ”
“หา ทำไมข้าต้องฟังเจ้า”
“ไม่มีเวลาแล้ว ถ้าอยากรอดตาย ทุกคนต้องเชื่อฟังข้า”
เหนือภพตะโกนบอกเสียงดัง หมายให้ทุกคนได้ยินพร้อมกันทีเดียว จากนั้นเขาก็อุ้มสางลำไพรวิ่งไปหาพวกทีมตระกูลนาคราช เขาพบว่าเขาไม่อาจปล่อยเธอไว้บนพื้นได้ ไม่ใช่เพราะเขาเป็นห่วงเธอมากขนาดนั้น แต่เป็นเพราะเขาจำรายการสิ่งของไม่ได้ จึงต้องอาศัยเธอให้ช่วยบอกเตือนเขาไปตลอดทาง
“ทศนาคไปตักน้ำมาที เอาสักขันใหญ่ ๆ”
ทศนาคสะดุ้งเล็กน้อย ให้ไปตักน้ำแล้วเขาจะเอาขันมาจากไหน แต่เมื่อเขาเห็นสถานการณ์บีบคั้น เฮงเฮงร่างมืดกำลังจะอาละวาดอีกแล้ว เขาก็รีบหันวิ่งหลังไปหาน้ำโดยไม่ปริปากบ่น ส่วนเหนือภพก็อุ้มสาววิ่งไปมาโดยไม่สนใจว่าคนที่เขาสั่งการจะมีท่าทีเช่นไร
“นพนาคไปหาสายสิญจน์สีขาวมาสักม้วน”
“ยัยดอกสีทองไปหาเทียนไขมาเล่มหนึ่ง”
“เตชินท์ไปหาข้าวตอกมากำหนึ่ง อย่ามัวสำออย”
“สิบทิศไปหาหม้อโลหะมาใบหนึ่ง เอาใหญ่ที่สุดเท่าที่จะหาได้”
“เนตรกัญญา เจ้าไปทำหมุดไม้ยาวสองศอกมาสี่เล่ม เลือกเป็นไม้ทับทิมเท่านั้นนะ”
“ส่วนเจ้าผมขาวน่ะ ไปหาหัวกะโหลกสัตว์อสูรมาหัวหนึ่ง”
เหนือภพสั่งการรัวเร็ว แต่ลมกรดขาวแย้งกลับทันควันอย่างข้องใจ
“ข้าจะไปหาที่ไหนล่ะ”
“มีสัตว์อสูรตายเกลื่อนกลาดเจ้าลองไปคุ้ยหาดูละกัน พวกหนูน่ะเก่งเรื่องแบบนี้นี่”
ลมกรดขาวอยากจะเถียงใจแทบขาด แต่เขาก็ตัดสินใจหันซ้ายแล้วออกวิ่งหากะโหลกทันที เขาเข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้เป็นอย่างดี
“ใต้หล้า เจ้าช่วยรวบรวมคนที่เหลือไปอยู่บนเนินตรงโน้นที”
เหนือภพพยักพเยิดชี้ทางบอกใต้หล้าเพียงนิดเดียว แล้วเขาก็อุ้มสางลำไพรพุ่งตรงไปยังเนินที่ว่าโดยไม่รอฟังคำตอบของใคร เนินที่ว่าคือเนินโล่งเตียนปกคลุมด้วยหญ้าสีเขียวต้นเล็ก ๆ มันมีพื้นที่กว้างพอสมควรและสูงประมาณช่วงเอวของเฮงเฮงร่างมืดเห็นจะได้
ใต้หล้าใช้เวลาเพียงไม่นานในการป่าวประกาศบอกให้ทุกคนไปรวมตัวกันที่เนิน หากใครบาดเจ็บหนักเขาก็จะอุ้มไปบ้าง ให้ขึ้นขี่หลังบ้าง หรือลากไปกับพื้นบ้าง แล้วแต่ความพิศวาสและความสัมพันธ์เก่าก่อนระหว่างพวกเขา
เวลาผ่านไปเพียงสามนาที ทุกคนที่ได้รับมอบหมายให้หาสิ่งของก็มาพร้อมกันที่เนิน พวกเขาล้วนจัดอยู่ในยอดฝีมือที่ถูกคัดมาแล้ว ดังนั้นการหาสิ่งของในเวลาเร่งด่วนจึงไม่ยากเกินรับมือ
ตอนนี้เฮงเฮงร่างมืดกำลังไปคุ้ยหาสร้อยภารกิจในกองหินที่เหนือภพแกล้งโยนเข้าไป แต่สร้อยเส้นนั้นเป็นสร้อยประคำเส้นหนึ่งของสางลำไพร มันคงถ่วงเวลาไว้ได้อีกไม่นาน เมื่อเฮงเฮงร่างมืดพบความจริง มันก็จะเริ่มการอาละวาดอีกครั้ง
สิ่งที่เหนือภพทำอันดับแรกคือการสั่งให้พยัคฆ์คีรีปักหมุดไม้ทับทิมสี่เล่ม กระจายตัวทั้งสี่มุม โดยให้มีขนาดใหญ่พอที่จะครอบทุกคนไว้ภายใน พยัคฆ์คีรีมองหน้าเหนือภพแวบเดียวแล้วเขาก็รีบไปทำตามคำสั่ง
“เอ้า ต่อไปเอาสายสิญจน์สีขาวมาพันรอบหมุด แล้วขึงให้ตึงล้อมเป็นกรอบสี่เหลี่ยมเลย”
จบคำของเหนือภพ นพนาคที่มีหน้าที่ไปหาสายสิญจน์ก็ก้าวมาข้างหน้าด้วยความกระดากอาย ขณะยื่นม้วนเชือกสีขาวที่ทำมาจากผ้าให้เหนือภพ
“เอ่อ แบบนี้ได้มั้ย”
เมื่อนพนาคพูดพึมพำอย่างไม่มั่นใจ เหนือภพก็ขมวดคิ้วขณะเอียงหูฟังสางลำไพรที่ยังอยู่ในอ้อมแขน
“อะไรกัน นั่นมันเศษผ้าสีขาว ไม่ใช่สายสิญจน์”
“ก็อยู่ในนี้แล้วเจ้าให้จะข้าไปหาที่ไหนล่ะ นี่ข้าอุตส่าห์ เอ่อ.. เอาผ้าซับในมาฉีกทำเป็นเชือกให้เลยนะ”
จากนั้นทุกคนที่อยู่บนเนินก็ทำตาโต โดยเฉพาะลินดาสาวน้อยที่ชอบมองผู้ชายเป็นทุนเดิม เธอจ้องเขม็งไปที่เสื้อผ้าช่วงเอวของนพนาคทันที
“อะ อะ ก็พอใช้ได้อยู่”
เมื่อสางลำไพรและเหนือภพไม่คัดค้าน พยัคฆ์คีรีก็เอาเศษผ้าสีขาวไปพันรอบหมุดไม้แล้วดึงขึงให้ตึงแน่น ทว่ามันไม่พอ เพิ่งจะดึงได้เพียงด้านเดียวมันก็หมดเสียแล้ว
ยังไม่ทันที่ใครจะพูดอะไร เนตรกัญญาก็ถอนหายใจแล้วก็สะบัดเปิดชุดกระโปรง พลางก้มดึงผ้าซับในที่ซ้อนกันอย่างหนาแน่นของเธอออกมาอย่างไม่เสียดาย ไม่นึกว่าการใส่ชุดเต็มยศมาก็มีประโยชน์เหมือนกัน
แควก..
เสียงฉีกขาดของผ้าสีขาวเนื้อดีช่างสอดคล้องกับเสียงฉีกขาดในหัวใจชายหลาย ๆ คน ไม่ว่าจะอยู่ในหรือนอกครอบแก้ว นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่พวกเขาได้มีโอกาสเห็นขาอ่อนของเธอ หากชายใดใจไม่แข็งพอก็อาจจะเกิดอาการเลือดออกตามโพรงจมูกได้ และสิบทิศกับชัยชาญก็เป็นหนึ่งในนั้น
เนตรกัญญานำริ้วผ้ามาผูกมัดต่อ ๆ กันอย่างรวดเร็ว มันดูเรียบร้อยและแน่นหนามากกว่าที่นพนาคทำเสียอีก
“โอ้ว ข้าไม่เคยเห็นนางทำงานผ้ามาก่อนเลย ยอดเยี่ยมสมคำร่ำลือ”
“เป็นบุญตาข้าแล้ว นี่ขนาดทำอย่างรีบร้อนนะ”
สิบทิศและชัยชาญต่างมองเหม่อขณะเพ้อเจ้อเช่นเคย
ใช้เวลาอีกเพียงสิบวินาทีพยัคฆ์คีรีก็ทำกรอบเชือกสีขาวเสร็จเรียบร้อย ตอนนี้ทุกคนต่างหาที่นั่งรวมตัวกัน ขณะที่สางลำไพรกำลังเตรียมตัวจะเริ่มทำพิธีแล้ว เธอนั่งตำแหน่งหน้าสุด ชิดขอบเชือกมากที่สุด ส่วนเหนือภพก็นั่งอยู่ข้าง ๆ เธอ เพื่อคอยเป็นกระบอกเสียงให้เธอ ยามที่ต้องจัดแจงสิ่งของ
“มา เอาขันน้ำ หัวกะโหลก เทียน ยอดทับทิม หม้อโลหะและก็ข้าวตอก เอามาพร้อมกันเลย”
จากนั้นแต่ละคนก็เอาของมากองรวมกันให้เหนือภพกับสางลำไพรตรวจสอบ
“เอ๊ะ นี่มันอะไรกัน ข้าต้องการหม้อ”
“ก็แหม ข้าเจอเจ้านี่ก็ถือว่าดีนักหนาแล้ว”
สิบทิศมองหน้าเหนือภพอย่างมั่นใจ ขณะผลักกระถางธูปโลหะขนาดใหญ่ไปข้างหน้า มันคงจะเป็นกระถางธูปที่ใช้ประกอบพิธีในมหาวิหารในสมัยก่อน หากประเมินการจากผุกร่อนและความยับเยินของมันก็คงจะคิดได้ว่า อายุมันคงไม่ต่ำกว่าห้าร้อยปีเป็นแน่
“หม้อก็ต้องมีฝาสิ สางลำไพรต้องการฝาด้วย”
“บร๊ะ”
สิบทิศหันซ้ายหันขวา แล้วก็รีบวิ่งออกนอกกรอบเชือกไปอุ้มหินก้อนใหญ่มาก้อนหนึ่ง แล้วก็วางมันทับบนกระถางธูป
“อ่ะ มีฝาแล้ว”
เหนือภพและคนอื่น ๆ พากันส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ แต่ก็พอเข้าใจได้ว่าเรื่องแบบนี้มันก็ต้องปรับไปตามสถานการณ์ จากนั้นสีหน้าอ่อนใจระคนแปลกใจ ผสมผสานความรู้สึกตลกขบขันก็ปรากฏกับทุกคน ไม่เว้นแม้แต่คนภายนอกครอบแก้วที่รู้ยังตลกไปด้วย แม้พวกเขาจะยังคงคร่ำเคร่งอยู่กับการช่วยเหลือจากข้างนอก
สางลำไพรเริ่มกลับมามีแรงอีกครั้ง แม้จะไม่เท่าเดิมแต่ก็มากพอในการเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงประกอบพิธีกรรม เธอตรวจดูสิ่งของด้วยเองอย่างอ่อนใจ เมื่อพบว่าขันน้ำที่ทศนาคไปตักมาคือมะพร้าวสดที่ถูกผ่าครึ่งจนเกิดเป็นขันและก็น้ำ
ส่วนหัวกะโหลกสัตว์ที่ลมกรดขาวไปหามาได้คือกะโหลกของสัตว์อสูรหมีที่พวกเขาเพิ่งเห็นเมื่อไม่นานมานี้ เขาใช้อาคมระเบิดเนื้อหมีเพื่อให้หนังและเนื้อหลุดล่อนออกมา แต่เขาคงจะไม่มีเวลาเอามันไปล้าง มันจึงมีสภาพเป็นกะโหลกสีขาวที่ดูสดใหม่ มีคราบเลือดเคลือบอยู่พร้อมกับเศษมันสมองที่ยังติดอยู่ภายใน
ส่วนเทียนไขที่บุษย์น้ำทองไปหามาก็มีสภาพแปลกประหลาดไม่ต่างจากของคนอื่น ๆ เธอเอาเกลียวฝ้ายที่ทำมาจากผ้าซับในของอ่อนหวาน มาประกอบกับขี้ผึ้งจากรังผึ้งที่เธอใช้พิชิตและอ่อนหวานไปช่วยหามา จากนั้นบุษย์น้ำทองก็นำมาปั้นเป็นเทียนด้วยตัวเอง เพราะเดี๋ยวเหนือภพจะมากระแหนะกระแหนเธออีก ทว่าเทียนที่เธอปั้นกลับออกมาเป็นรูปทรงคล้ายเห็ดตูมที่มีก้านหนากว่าปกติ
ส่วนยอดทับทิมและข้าวตอกนั้นไม่มีปัญหาอะไร พยัคฆ์คีรีไปหักยอดทับทิมมาได้จำนวนมาก และเตชินท์ก็ไปเอาเมล็ดดอกหญ้าชนิดหนึ่ง มันมีลักษณะอวบหนา เมื่อเอามาเผาไฟแล้วมันจะแตกระเบิดออกเป็นเนื้อสีขาวฟู ๆ
สางลำไพรนำเทียนมาจุดแล้วตั้งบนหัวกะโหลก จากนั้นเธอก็เตรียมจะร่ายคาถากั้นอาณาเขตไม่ให้ภูตผีร้ายเข้ามาในกรอบเชือกได้ แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้เริ่ม เฮงเฮงร่างมืดก็พุ่งเข้ามาเสียแล้ว และเขากำลังหัวเสียสุด ๆ เสียด้วย
เหนือภพตอบสนองได้ทันควัน เขาหันหลังไปสั่งการบรรพตที่อยู่ข้างหลังทันที
“เจ้าน่ะ เก่งนักไม่ใช่หรอ ออกไปช่วยถ่วงเวลาหน่อย”
“ห่ะ”
“เร็ว !”
ท้ายที่สุดบรรพตก็ต้องออกไปถ่วงเวลาเฮงเฮงร่างมืด เขาเน้นเสริมอาคมครุฑเพิ่มพลังการบิน เพราะการโจมตีเฮงเฮงร่างมืดด้วยพลังเท่านี้นับเป็นเรื่องไร้ประโยชน์ เขาบินหลอกล่อไปมาจนกระทั่งมีแสงสีทองเรืองรองตลอดเส้นกรอบเชือกสีขาว
ฟู่ !
ทุกคนถอนหายใจด้วยความโล่งใจ ขอเพียงอยู่ภายในกรอบอาคมก็จะไม่ได้รับอันตรายจากพลังแห่งความมืด เฮงเฮงร่างมืดจะไม่สามารถซัดอาคมเข้ามาได้ เว้นแต่ว่าเขาจะเจาะทะลวงเข้ามาด้วยตัวเอง ดังนั้นภายในกรอบอาคมนี้จึงปลอดภัยคุ้มค่าแล้วที่ต้องหาสิ่งของอย่างยากลำบาก
แต่ไม่ทันไรบรรพตก็ถูกโจมตีจนบาดเจ็บหนัก
“หนีกลับมา พยัคฆ์คีรีตาเจ้าแล้ว”
พยัคฆ์คีรีเริ่มมั่นใจแล้วว่า เหนือภพคงจงใจแกล้งเขาจริง ๆ แต่เขาก็ออกไปช่วยหลอกล่ออย่างไม่อิดออด ขณะที่สางลำไพรเริ่มท่องคาถาบทต่อไปอย่างตั้งใจ จนกระทั่งพยัคฆ์คีรีบาดเจ็บหนักกลับมากเธอก็ยังท่องไม่เสร็จ
“ยัยดอกสีทองอย่าอยู่เฉย ออกไปแก้แค้นให้ที่รักสิ”
บุษย์น้ำทองจ้องเหนือภพเขม็ง แต่เธอก็ไม่แปลกใจที่เหนือภพยังคงเจ้าคิดเจ้าแค้นกับเธอ เธอพุ่งออกไปต่อสู้อย่างสุดฝีมือ โดยมีเตชินท์คอยจับตามองไม่ห่าง หากเธอพลาดพลั้งเขาจะไปช่วยลดความเสียหายให้ หากเป็นเวลาปกติเขาคงจะออกไปต่อสู้ร่วมกับเธอ แต่คำพูดของเหนือภพทำให้เขาสะดุดใจ พยัคฆ์คีรีคือชายในดวงใจของเธองั้นหรือ เตชินท์นั่งจ้องพยัคฆ์คีรีสลับกับบุษย์น้ำทองอย่างต้องการจับผิด
และเหตุการณ์ก็ดำเนินไปเช่นนี้ พวกเขาผลัดกันออกไปช่วยถ่วงเวลาจนกระทั่งพวกเขาทุกคนล้วนบาดเจ็บสาหัส คงเหลือแค่เหนือภพและสางลำไพรเท่านั้นที่ยังไม่ได้ออกไป
“เมื่อไหร่เจ้าจะท่องคาถาเสร็จ”
เหนือภพสะกิดถามสางลำไพรอย่างเกรงใจ ความจริงเขาก็ไม่อยากจะรบกวนเธอหรอกนะ แต่ตอนนี้เหลือเพียงเขากับเธอแล้ว พญานาคก็หายไปไหนก็ไม่รู้ สงสัยคงกลับเข้าไปอยู่ในแก้วจันทรกาลเป็นแน่
สางลำไพรไม่ตอบ เธอยังคงหลับตาท่องคาถาบทยาวอย่างต่อเนื่อง โดยมีหยาดเหงื่อซึมออกมาเต็มใบหน้าของเธอ
“แล้วใครจะออกไปถ่วงเวลาล่ะทีนี้”
เมื่อเหนือภพพูดพึมพำเช่นนั้น สางลำไพรก็ลืมตาพรึบ เธอเหลือบมองเขาด้วยสายตาเชือดเฉือนที่เหนือภพตีความได้ว่า
‘ก็เจ้าน่ะสิถามได้ ถ้าข้าออกไปแล้วเจ้าท่องคาถาต่อได้รึไง’
เฮ้อ
เหนือภพถอนหายใจยาวหนึ่งทีแล้วก็กระโจนออกไปหาเฮงเฮงร่างมืดด้วยสีหน้าทนทุกข์ แม้เขาจะไม่อยากบาดเจ็บ แต่เหตุผลที่เหนือกว่านั้นคือเขาไม่อยากสู้กับสหาย ไม่ว่าใครจะชนะก็ล้วนทรมานจิตใจทั้งสิ้น