ตอนที่ 73 เป๊ง ! หมดเวลา
เมื่อเหนือภพเห็นว่าไร้ชื่อปลอดภัยแล้ว เขาก็วิ่งไปทางอื่น ตอนนี้ในตัวของเขามีสร้อยหนึ่งเส้น หากเขาคาดเดาไม่ผิด เฮงเฮงคงยังไม่ถูกควบคุมโดยสมบูรณ์ เพราะวิญญาณอาฆาตคงไม่คิดถึงเรื่องแย่งชิงสร้อยแน่
พวกมันถูกขังอยู่ที่นี่มานาน ดังนั้นสิ่งแรกที่มันต้องการทำคือการแก้แค้น หรือไม่ก็พยายามหาทางทะลวงออกไป แต่นี่มันกลับตามหาสร้อยภารกิจ หากเขาคาดไม่ผิดการกระทำนี้คงเป็นเศษเสี้ยวความคิดของเฮงเฮงที่ยังคงเหลืออยู่ เขาคงต้องทำอะไรสักอย่าง บางทีเขาอาจจะช่วยให้เฮงเฮงมีชีวิตรอดได้
คิดได้เช่นนั้นเหนือภพก็พยายามวิ่งตามหาสางลำไพร คงมีแต่เธอที่น่าจะรู้วิธีแก้
“เร็วเข้าองค์หญิง หนีไปไม่ต้องห่วง...”
อั๊ก !
อ่อนหวานพูดไม่ทันจบประโยค ลูกธนูอาคมสีดำทมิฬก็พุ่งตรงเสียบทะลุร่างกายของเธอต่อเนื่องถึงหกดอก เฮงเฮงร่างมืดไม่แสดงความรู้สึกอะไรขณะพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว เขาคว้าและพยายามกระชากสร้อยที่อยู่บนคอของอ่อนหวานมาเป็นของตัวเอง
ทว่าก่อนที่เฮงเฮงร่างมืดจะกระชากจนศีรษะหลุด พิชิตผู้ซึ่งหลงรักอ่อนหวานมาโดยตลอดก็ถึงกับสติหลุด เขาพุ่งเข้าใส่เฮงเฮงอย่างไม่คิดลังเล
ยามปกติเฮงเฮงก็ถือว่าเป็นยอดฝีมือในด้านการต่อสู้ มีความชำนาญในด้านการใช้อาวุธทุกประเภท บวกกับปราณอาคมสรรพาวุธที่สามารถสร้างอาวุธมาใช้งานได้หลากหลาย แม้มันจะเป็นปราณที่มีประโยชน์มาก แต่เขาก็ไม่ค่อยใช้มันเพราะปราณอาคมไม่พอ ทว่าเฮงเฮงร่างมืดไม่ใช่เช่นนั้น ค่าพลังอาคมของวิญญาณวนเวียนสูงมากพอที่จะดึงเอาประสิทธิภาพของปราณอาคมสรรพาวุธของเฮงเฮงออกมาใช้งานได้อย่างเต็มกำลัง ดังนั้นฮันเตอร์ที่มีระดับปราณอาคมต่ำกว่า 50 ก็ไม่ต้องคิดที่จะต่อสู้ พวกเขาไม่ใช่คู่มือของมันเลย
ภาพพิชิตถูกฟาดด้วยฝ่ามือจนหัวหลุดออกจากบ่ายังคงชัดเจนในดวงตาของบุษย์น้ำทอง ภาพนั้นทำให้เธอสั่นกลัวแววตาไหวระริก เธอล้มลงไปในขณะที่เฮงเฮงร่างมืดกำลังจะลงมือกับเธอเป็นลำดับต่อไป แต่จู่ ๆ เตชินท์ก็หอบร่างจะสะบักสะบอมจากการโจมตีของเหนือภพก่อนหน้านี้ เข้ามาขวางหน้าบุษย์น้ำทองและโจมตีกลับทันที สิ่งที่เขาแสดงออกมานั้นทำให้ผู้ชมที่อยู่ด้านนอกรู้สึกทึ่ง และต้องมององค์ชายเตชินท์ในมุมใหม่
เฮงเฮงร่างมืดที่มีผิวและหน้าตาดุจคนตาย กายสูงกว่าสองเมตร เขาถูกคลื่นน้ำแสงสีดำของเตชินท์ซัดใส่หน้าอก จนร่างกายกระเด็นกลิ้งหกคะเมนไปกับพื้น
แม้การโจมตีของเตชินท์ในครั้งนี้จะรุนแรงมาก แต่เขาก็ได้รับผลกระทบมหาศาลเช่นกัน ร่างของเขาร่วงหล่นพับไปกับพื้น จากนั้นเขาก็กระอักเลือดออกมาอย่างรุนแรง และไม่ว่าเขาจะบาดเจ็บเพียงใด สายตาของเขาก็ยังคงห่วงหาแต่บุษย์น้ำทองที่ตอนนี้ยังคงสั่นกลัวอยู่
“เจ้าหนีไป ข้าจะปกป้องเจ้าด้วยชีวิต หากข้าตายก็ขอให้คิดถึงข้าบ้าง”
เตชินท์กล่าวคำร่ำลาโดยไม่หวั่นต่อความตาย ทำให้บุษย์น้ำทองเริ่มมองเตชินท์ใหม่อีกครั้ง และแล้วคำพูดดี ๆ ที่ไม่เคยหลุดออกจากปากของเธอก็ปรากฏขึ้น
“ขอบคุณ”
เพียงแค่นั้นก็ทำให้เตชินท์ยิ้มแก้มปริ เขาฝืนตัวเองลุกยืนขึ้นกัดกินเม็ดยาฟื้นฟูที่พกมา กินติดต่อกันหลายเม็ดเพื่อฟื้นฟูอาการบาดเจ็บ
ทันทีที่เฮงเฮงร่างมืดพุ่งเข้ามา เตชินท์ก็เริ่มตั้งท่าประหลาด เบื้องหลังปรากฏดวงเดือนดับที่มืดมิด ร่างกายของเขาค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีดำ ยิ่งพื้นที่ใต้มหาวิหารที่มีแสงน้อย ก็ยิ่งทำให้ร่างกายของเขาค่อย ๆ พร่าเลือน เขาเคลื่อนไหวอีกเพียงครั้งเดียว จากนั้นเขาก็กลมกลืนไปสภาพแวดล้อมเป็นที่เรียบร้อย
จากนั้นทั้งผู้ชมภายนอก และผู้เข้าร่วมการแข่งขันที่อยู่ภายในก็มองไม่เห็นเตชินท์อีกต่อไป พวกเขาเห็นเพียงภาพของเฮงเฮงร่างมืดที่กำลังต่อสู้กับอากาศที่ว่างเปล่า ทั้งยังเคลื่อนไหวไปมา บรรดาสรรพาวุธที่ถูกเรียกออกมามากมาย อาวุธนับพันชิ้นปลิวว่อนไปทั่วสมรภูมิ สร้างความเสียหาย สะเทือนเลือนลั่นไปทั่ว แต่นั่นกลับเป็นสิ่งที่ทีมเทพเจ้าถูกใจ
บรรพตพุ่งเข้ามาร่วมวงต่อสู้ด้วยการโจมตีจากระยะไกล ขนนกอาคมถูกซัดออกไปอย่างต่อเนื่องหมายมุ่งจัดการเฮงเฮงร่างมืด แต่เฮงเฮงร่างมืดไม่ได้อ่อนหัดถึงเพียงนั้น ต่อให้รุมโจมตีถึงสองคนก็ไม่สามารถสร้างความเสียหายบนร่างกายของเฮงเฮงได้เลย
โล่อาคมสีดำสนิทปรากฏขึ้นต้านรับขนนกอาคมที่พุ่งเข้ามารอบทิศทาง ไม่ว่าจะตีอ้อม ซิกแซก หรือหมุนวนก็ล้วนถูกโล่อาคมต้านรับไว้ได้ทั้งหมด บรรพตถึงกับหน้าเสียไปเลย
ร่างกายของเฮงเฮงร่างมืดเปล่งออร่าดำทะมึนออกมาอีกครั้ง จากนั้นเขาก็ง้างดาบขึ้นค้างเอาไว้ อาจดูเหมือนว่าการที่เขาแข็งค้างแบบนี้จะเป็นโอกาสที่ดีที่จะถูกจัดการ แต่เปล่าเลย ทันทีที่เฮงเฮงร่างมืดทำเช่นนั้นก็บังเกิดพายุสรรพาวุธหมุนวนรอบกาย ทั้งปกป้องและบีบบังคับให้บรรพตและเตชินท์ต้องถอยหลบ แต่ยังถอยไปได้ไม่เท่าไหร่คลื่นดาบสีดำก็พุ่งเข้าใส่พวกเขา คลื่นดาบที่กว้างกว่าเมตรตรงเข้ามาอย่างรวดเร็ว มันเร็วมากจนพวกเขาไม่อาจหลบได้ ร่างของบรรพตกับเตชินท์หมุนคว้างแล้วกระแทกเข้ากับผนังวิหารใต้ดินดัง
โครม
ฟึ่บ ฟึ่บ ควับ ควับ ตู้ม !!
เฮงเฮงร่างมืดเขวี้ยงหอกแหลมตามมาติด ๆ หอกแหลมพวกนั้นปะทะกับขนนกอาคมที่บรรพตสะบัดใส่โดยไม่หยุดพัก แม้ว่าเขาจะถูกซัดไปก็ตาม จนสุดท้ายก็เกิดการระเบิดรุนแรง สร้างความเสียหายให้กับพื้นที่เป็นวงกว้าง เกิดแรงสั่นสะเทือนจนเพดานห้องวิหารใต้ดินสั่นคลอนแตกร้าว เศษดินหินร่วงกราวลงมา บรรพตและเตชินท์จึงรีบถอยหนีขึ้นมาบนพื้นดิน
เสียบหอบหายใจของบรรพตและเตชินท์ย่ำแย่ลงอย่างเห็นได้ชัด บรรพตกำหมัดแน่น พลางกรีดร้องออกมาด้วยความอัดอั้นตันใจ
การกระทำของเขาทำให้ตระกูลสุบรรณเวนไตยถึงกับนั่งไม่ติดที่ แต่ละคนต่างพุ่งออกมาเกาะขอบระเบียง แล้วจ้องมองครอบแก้วราวกับจะทะลุให้เข้าไปถึงหัวใจของบรรพต
พวกเขาหันมองสมาชิกอาวุโสที่อยู่ในห้องด้วยสีหน้าเป็นกังวล มีเพียงผู้อาวุโสที่ใหญ่ที่สุดเพียงคนเดียวที่ยังนั่งจิบชาด้วยใบหน้าเรียบเฉย จากนั้นเขาก็เอ่ยประโยคที่ฟังดูตรงกันข้ามกับความคิดของผู้อาวุโสทุกคน
“เจ้าเด็กนั่นขัดคำสั่งอีกแล้ว”
“แต่เขาจำเป็นต้องรักษาชีวิตรอดนะครับ”
“หึ ถึงใช้มันออกไปแล้วจะเปลี่ยนอะไรได้ ผลลัพธ์ก็คงเหมือนเดิม เล่นเปิดเผยความสามารถออกไปทั้งหมดแบบนี้ เกรงว่าอนาคตของเขาคงริบหรี่แล้วล่ะ”
อาวุโสใหญ่พูดจบก็ลุกยืนแล้วก้าวเดินจากไป ท่ามกลางสีหน้าที่เต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลายของคนอื่น ๆ ในตระกูล
ครุฑอาคมยังคงโรมรันพันตูกับพญานาคอย่างดุเดือด ต่างฝ่ายต่างสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงให้กับอีกฝ่าย และแล้วพญานาคห้าเศียรก็เริ่มจะได้เปรียบ ในจังหวะที่มันจะขบกัดลำคอของครุฑเพื่อปิดศึกอันยาวนานนั้น มันกลับต้องงับอากาศแทน ร่างของครุฑสลายกลายเป็นแสงสีทองไหลเป็นสายพุ่งกลับไปยังทิศทางที่มีเสียงร้องคำรามของบรรพต
“อ๊ากกก”
เมื่อกระแสอาคมสีทองของครุฑซึมซับเข้าสู่ร่างบรรพต ร่างกายที่บอบช้ำของเขาก็ค่อย ๆ ฟื้นฟูขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ดวงตามีประกายไฟสีทองลุกโชนแปรเปลี่ยนเป็นนัยน์ตาเหยี่ยว ร่างกายถูกเคลือบด้วยชั้นผิวสีทองอร่าม มือเท้าแปรเปลี่ยนเป็นกรงเล็บ
ร่างของบรรพตพุ่งทะยานไปข้างหน้า ขณะที่รอบตัวปรากฏขนนกอาคมจำนวนมากจากสิบเพิ่มเป็นร้อย จากร้อยเพิ่มเป็นพัน และจำนวนของมันก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จากนั้นขนนกจำนวนมากก็พากันพุ่งนำหน้าบรรพตไปโจมตีเฮงเฮงร่างมืด
เสียงระเบิดตูมตามทำให้มหาวิหารใต้ดินสั่นสะเทือนรุนแรงมาก ซากโบราณสถานด้านบนถล่มลงมาโถมทับเฮงเฮงเอาไว้ ฝุ่นควันแตกฟุ้งมาพร้อมแสงสว่างจากเบื้องบนที่ส่องลงมาเบื้องล่าง แต่ละทีมที่ยังคงมีชีวิตล้วนใช้โอกาสนี้รักษาชีวิตโดยการหนีออกจากโลกใต้ดินสู่โลกเบื้องบนที่สว่างไสว พวกเขาต้องการหนีมากกว่าที่จะพยายามเข้าไปยังแท่นคบเพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ลึกเข้าไปในวิหารที่ใกล้จะมีสภาพเป็นผุยผง
เหนือภพที่กระโดดหนีไปไกลแล้วกลับวิ่งย้อนกลับมา เมื่อเขาไม่เห็นทั้งสางลำไพร และไร้ชื่อ พวกเขายังไม่ออกมาจากโถงใต้ดินหรอกหรือ
“เจ้ารีบวิ่งเร็วเข้า วิหารจะถล่มแล้ว”
เหนือภพตะโกนบอกสไบเงิน ขณะพุ่งเข้าไปหิ้วปีกไร้ชื่อที่ยังอยู่ในอ้อมแขนของเธอ เหนือภพล้วงเอายาฟื้นฟูในห่อสัมภาระป้อนให้กับไร้ชื่ออีกเพื่อประคองอาการ แม้ยาปิดยมโลกจะดี แต่มันก็ทำได้แค่รักษาชีพจรชีวิต หากไม่ได้รับการรักษาหรือได้รับตัวยาที่ถูกโรคก็อาจจะตายได้อยู่ดี
เหนือภพนำพาไร้ชื่อและสไบเงินขึ้นไปด้านบน แล้วก็กลับลงมาอีกครั้งโดยไม่ได้ฝากฝังอะไร เขาเชื่อว่าสไบเงินจะดูแลไร้ชื่ออย่างดี
เศษซากโบราณสถานเริ่มทรุดตัวลึกลงไปใต้ดิน บรรพตที่อยู่บนฟ้าสังเกตเห็นเช่นนั้นก็ไม่สนใจว่าใครจะโดนลูกหลงหรือไม่ ฝนขนนกอาคมถูกสะบัดตกลงไปข้างล่างหมายปลิดชีวิตทั้งเหนือภพและเฮงเฮง
แต่มันไม่ง่ายเช่นนั้น โล่อาคมสีดำก่อตัวขึ้นกลางอากาศ กางรับขนนกอาคมทั้งหมดเอาไว้ได้เช่นเดิม แม้โล่เหล่านั้นจะแตกสลายทุกครั้งที่ขนนกอาคมพุ่งชนจนเกิดการระเบิด แต่ก็จะมีโล่ใหม่จำนวนมหาศาลเทียบเท่าขนนกอาคมปรากฏขึ้นต้านรับเช่นกัน
เหนือภพใจหายวาบ เขาคงหนีขึ้นข้างบนไม่ได้แล้ว เขาจึงต้องเคลื่อนตัวถอยลึกเข้าไปในวิหารใต้ดิน ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงขอความช่วยเหลือที่อยู่ลึกภายในซอกแคบ ๆ แห่งหนึ่ง แม้เสียงนั้นจะแผ่วเบามาก แต่มันก็ดังพอที่เหนือภพจะหาตำแหน่งจนเจอ
“ในที่สุดข้าก็เจอเจ้า”
สางลำไพรพูดอย่างอ่อนแรง เธอโชคไม่ดีนักจึงพลาดท่าถูกซากโบราณหล่นทับท่อนขาเอาไว้ ไม่อาจหลบหนีหรือเคลื่อนไหวไปไหนได้
ตอนแรกเธอไม่คาดหวังว่าตัวเองจะมีชีวิตรอดออกไป แต่เมื่อเธอเห็นว่ามารร้ายหน้าตาดีอย่างเหนือภพกลับมาช่วยเธอ ทำให้ความอคติของเธอสั่นคลอน
“หากเจ้าช่วยข้ารอดออกไป ข้ายินดีทำตามสิ่งที่เจ้าร้องขออะไรก็ได้หนึ่งอย่าง ยกเว้นเรื่องที่จะทำให้ข้าเสื่อมเสีย”
เหนือภพมองสบตาเธอโดยไม่ตอบอะไร เขาเพียงช่วยยกซากกำแพงโบราณขึ้นอย่างง่ายดาย แล้วฉุดดึงหญิงสาวขึ้นมาอุ้มเอาไว้แนบอก จากนั้นเขาก็ขมวดคิ้วจ้องหน้าเธอคล้ายต้องการมองให้ชัดเจน
“หากผู้ที่ถูกสิงสู่ยังคงมีสติอยู่ มีโอกาสที่เราจะช่วยเขาได้กี่ส่วน”
“ห่ะ”
สางลำไพรตามอารมณ์ของเหนือภพไม่ทัน เธออึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง เมื่อถูกถามซ้ำอีกรอบด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด เธอจึงค่อยดึงสติกลับมาได้
“สักห้าส่วนได้ ทำไม เจ้าอยากช่วยเพื่อนของเจ้าหรือ แต่เขาไม่มีสติหลงเหลือแล้ว…”
สางลำไพรโต้กลับอย่างแผ่วเบา แต่พอนึกย้อนกลับไปก็ทำให้เธอนิ่งคิด
‘ไม่สิถ้าเป็นวิญญาณร้ายเหตุใดถึงหมกมุ่นกับสร้อย หรือว่า... เป็นไปได้ยังไงรูปลักษณ์ของเขาเปลี่ยนแปลงไปแล้วนี่’
สางลำไพรครุ่นคิดอย่างไม่เข้าใจ แต่เธอก็รับปากว่าจะช่วย
“ข้ามีน้ำมนต์อยู่เพียงขวดเดียวกับข้าวสารเสกอีกสามกำมือ”
“ใช้แค่นี้ก็สามารถช่วยได้แล้วหรอ”
“ไม่ ข้าหมายถึงว่า แม้ข้าจะรู้วิธี แต่เรามีของไม่พอ”
“ว่าไงนะ แล้วทำไมเจ้าไม่รู้จักเตรียมพร้อม”
เหนือภพเริ่มเสียงดังใส่เธอทั้ง ๆ ที่เธอยังอยู่ในอ้อมแขนของเขา
“ใครจะไปคิดล่ะว่าที่นี่จะมีวิญญาณอยู่ด้วย ที่ข้าเจอมันก็แค่เรื่องบังเอิญเท่านั้น แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีวิธี ขอเวลาข้าสักหน่อย”
ในขณะที่สางลำไพรกำลังโต้ตอบกับเหนือภพ เสียงระฆังก็ดังขึ้น มันดังก้องไปทั่วโลกเล็ก ๆ ในครอบแก้ว
เป๊ง !
เสียงกังวานในเป็นสัญญาณบอกว่า เวลาแข่งขันสิ้นสุดลงแล้ว
ทุกคน ๆ ภายในครอบแก้วมีสีหน้าดีใจ เพราะทุกคนจะถูกดีดกลับออกข้างนอกสักที ทว่าสิบวินาทีผ่านไปพวกเขาก็ยังคงยืนอยู่ที่เดิม เพิ่มเติมคือในตอนนี้พวกเขาได้ยินเสียงจากพิธีกรสาวข้างนอกแล้ว ทว่าเสียงประกาศจากพิธีกรสาวไม่ได้ทำให้สถานการณ์ดีขึ้นเลย
“ขออภัยด้วยเจ้าค่ะ ผู้เข้าแข่งขันทุกท่าน ตอนนี้เกิดข้อผิดพลาดทางเทคนิคนิดหน่อย ไม่อาจใช้งานประตูเปิดปิดครอบแก้วได้ ดังนั้นทางเราจึงใคร่ขอให้ผู้เข้าแข่งขันทุกท่านช่วยกำจัดสิ่งแปลกปลอมออกด้วย แม้จะดูเป็นคำขอที่เอาแต่ใจ แต่ตราบใดที่วิญญาณร้ายนั้นยังคงอยู่ ก็จะไม่สามารถเปิดครอบแก้วได้เจ้าค่ะ”