ตอนที่ 72 ร่างมืด
“นั่นมันอะไรคะเนี่ย ท่านผู้ชม”
พิธีกรสาวตกตะลึงไม่แพ้ผู้ชมที่กำลังจับตามองการแข่งขัน ไม่นานจากนั้นควันดำก็ค่อย ๆ จางหาย ทำให้ภาพบนครอบแก้วกลับมาอีกครั้ง แท่นจ้าวอาคมที่ถูกติดตั้งเอาไว้ข้างสนามเพื่อใช้วัดระดับกระแสปราณอาคมส่วนเกินเปล่งแสงสีทองสว่างวาบ
เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ
ยังไม่ทันที่ผู้ดูแลสนามจะได้เข้าไปตรวจตราแก้ไข บนพื้นผิวครอบแก้วกลางเวทีก็เริ่มมีรอยแตกร้าวเกิดขึ้นลุกลามต่อเนื่อง
“เร็วเข้า รีบเสริมพลังให้ครอบแก้วเร็ว”
เหล่าผู้คุมฮันเตอร์แรงค์ D ช่วงปลายและแรงค์ C ปรากฏกายขึ้นในฉับพลัน พวกเขากระจายตัวออกไปตามจุดต่าง ๆ รอบครอบแก้ว จากนั้นก็ร่ายคาถาบทเดียวกันเพื่อเสริมเกราะของครอบแก้วให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
ส่วนพิธีกรสาวก็หลีกทางให้ทุกคน เธอใช้อาคมลอยตัวขึ้นไปอยู่เหนือครอบแก้ว โดยลอยตัวอยู่สูงขึ้นไปจนสามารถสบตากับผู้ชมที่นั่งอยู่บนชั้น 5 ได้
“ดูเหมือนว่าจะมีจะมีผู้ใช้ปราณอาคมเกินระดับที่ครอบแก้วจะรับได้เจ้าค่ะ”
เมื่อผู้ชมได้ยินเช่นนั้นก็ส่งเสียงฮือฮากันอย่างเซ็งแซ่
“ระดับปราณอาคมที่สูงเกินกว่าครอบแก้วจะรับได้ มันมากแค่ไหนกันนะ แรงค์ C งั้นเหรอ”
“หรือมีคนที่มีระดับปราณอาคมเทียบเท่าแรงค์ C อยู่ในนั้น”
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน”
“เด็กหนุ่มสาวอายุแค่ 18 ถึง 20 ปี หากมีพรสวรรค์และได้รับการสนับสนุนสักหน่อยมีความเป็นไปได้ที่ค่าปราณอาคมของพวกเขาจะถึงระดับ 40 นั่นเทียบได้กับฮันเตอร์แรงค์ D”
“เป็นไปไม่ได้เลยที่เด็กช่วงอายุแค่เท่านี้ ไม่สิ ต่อให้เป็นช่วงอายุ 18 ถึง 25 ปี ก็เป็นไปได้ยากมาก”
“หรือจะเป็นเด็กประหลาดเหนือภพคนนั้น”
“ข้าไม่เชื่อ ต้องมีคนโกง”
“..........................”
“..........................”
จากนั้นผู้คนต่างก็สันนิษฐานแตกความเห็นกันออกไปหลายสาย นี่เป็นเรื่องแปลกอย่างมาก ทำให้ผู้ชมทุกระดับชั้นให้ความสนใจ พวกเขาจดจ่อไปยังต้นเหตุของกระแสปราณอาคมที่เหลือล้นนี้ ส่วนรเมศ หัวหน้าผู้จัดงานในครั้งนี้ก็ถึงกับหน้าซีด หากครอบแก้วเสียหายหรือถูกทำลาย นั่นจะถือเป็นการสูญเสียสมบัติล้ำค่าครั้งใหญ่ของเขา
ภาพบุรุษผู้หนึ่งค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นท่ามกลางควันดำที่ค่อย ๆ จางหายไป ร่างกายของเขาสูงใหญ่กว่าปกติ ผิวกายซีดเซียว ดวงตาดำสนิทดูมืดมิดและหม่นหมอง รูขุมขนทั่วผิวกายปลดปล่อยควันดำอันชั่วร้ายที่ส่งผลให้บรรยากาศเย็นยะเยือกจนแผ่ซ่านออกมานอกครอบแก้ว จนคนทั้งโถงประชุมห้าชั้นรู้สึกหนาวสั่น สัมผัสได้ถึงบรรยากาศอันเลวร้าย รูปร่างหน้าของเขาดูเปลี่ยนไป แต่ยังมีคนจำเขาได้
เหนือภพคุกเข่าอยู่บนกองหินด้วยสภาพอ่อนแรง ขณะเช็ดเลือดมุมปาก แล้วแววตาของเขาก็เบิกกว้าง
“เฮงเฮง !”
สหายของเขาเปลี่ยนไปเป็นบางสิ่งบางอย่างที่ดูประหลาด ไม่ว่าจะเป็นแววตา รูปร่าง การเคลื่อนไหว ร่างกายที่เขาเห็นนี้เหนือชั้นกว่าเฮงเฮง ๆ ที่เขาเคยรู้จัก ทั้งยังอันตรายกว่าเฮงเฮงคนเดิมโดยสิ้นเชิง
“เพื่อนเจ้าโดนครอบงำแล้ว”
และแล้วคำตอบที่เหนือภพต้องการก็ได้สางลำไพรเป็นคนไขข้อข้องใจให้ เธอประคองตัวเองเข้ามาอยู่ใกล้เหนือภพ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้เขากับเธอเพิ่งสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย
“เขายังมีความคิดเป็นของตัวเองไหม เขาจะจำพวกเราได้ไหม”
“ถ้าอยากรู้เจ้าก็ลองโดนสิงดูสิ”
เหนือภพไม่มีเวลามาต่อล้อต่อเถียงกับเธอแล้ว
“แล้วเราจะช่วยยังไง”
“สายไปแล้ว วิญญาณร้ายนั่นควบคุมร่างสหายเจ้าโดยสมบูรณ์ จนมันเปลี่ยนรูปร่างสหายของเจ้าได้ ต่อให้ใช้เบี้ยแก้ก็ไม่ได้ผล ถ้าหากวิญญาณถูกปราบจนสลายไป เขาก็จะตายไปด้วย”
นี่เป็นความโหดร้าย ซึ่งอธิบายได้ดีถึงความหวาดกลัวที่พญานาคพยายามพูดถึงในการเผชิญหน้ากับวิญญาณวนเวียนครั้งแรก มันไม่อยากถูกสิงสู่ มันจึงเลือกหนีเป็นอย่างแรก
เหนือภพเพิ่งจะเข้าใจ แต่ว่าเขาจะทำร้ายคนที่เป็นเพื่อนของตัวเองได้ยังไงกัน ดูเหมือนสางลำไพรจะเข้าใจความคิดของเหนือภพเป็นอย่างดี
“ถ้าเจ้าไม่ฆ่าเขา เขาก็ฆ่าเจ้า ถึงเจ้าจะออกจากที่นี่ไปได้เพราะหมดเวลา แต่เพื่อป้องกันคนส่วนมาก คนด้านนอกก็ต้องฆ่าเขาอยู่ดี ไม่ว่าทางใดเพื่อนของเจ้าก็ถูกกำหนดไว้แล้วว่าต้องตาย”
สางลำไพรมีท่าทางสงบ ไม่แค้นเหนือภพแล้ว เธอออกจะรู้สึกชอบใจที่สถานการณ์กลายเป็นแบบนี้ ดังนั้นความแค้นที่ทศพลเสียแขนไปก็ถือว่าเจ๊ากันไป ตอนนี้ทุกคนถือว่ามีศัตรูร่วมกัน
เหนือภพยืนนิ่ง เขารู้สึกว่านี่เป็นความผิดของตนเอง จากนั้นก็มีเสียงแหบห้าวที่เขาไม่เคยได้ยินดังออกมา
“สร้อย”
หืม
เหนือภพเงี่ยหูฟัง จากนั้นเขาก็พบว่าเสียงนั้นมาจากปากเฮงเฮงร่างมืด เขาไม่พูดเปล่า สายตาดำมืดคู่นั้นหันมองไปทางทีมแม่ทัพหลวงที่ครอบครองสร้อยไว้ถึงสี่เส้น
“สร้อย เอาสร้อยของข้ามา !”
เสียงดุดันด้วยความดุร้ายดังออกมา ขณะที่เฮงเฮงพุ่งเข้าไปหาขุนวราธรที่กำลังถือสร้อยทั้งสี่เส้น จู่ ๆ มือขวาของเฮงเฮงก็ปรากฏดาบสีดำเล่มหนึ่ง มันเป็นดาบที่ปล่อยควันวิญญาณดำออกมา แล้วเขาก็ฟันใส่ขุนวราธรด้วยความรวดเร็ว รุนแรง และเฉียบขาด
ขุนวราธรยกหอกสั้นคู่ขึ้นต้านรับ แต่ทันใดนั้นเองเหนือฟากฟ้าก็ปรากฏสรรพาวุธมีคมหลายสิบเล่ม พวกมันต่างพร้อมใจกันร่วงกราวตรงลงมาปานดาวตก ณ บริเวณที่ขุนวราธรยืนอยู่ ขุนวราธรต้องการหลบแต่กลับมีโซ่อาคมสีดำปรากฏขึ้นคล้องรัดตัวของเขาเอาไว้ ทำให้เขาไม่อาจเคลื่อนไหวหลบหนีได้
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อมาเป็นภาพที่ทำให้ผู้ชมที่เป็นเด็กและสตรีบางส่วนถึงกับร้องเสียงหลง
เลือดสีแดงพุ่งกระฉูด ไหลทะลักออกจากร่างของขุนวราธร ที่ตอนนี้กลายเป็นร่างไร้ชีวิตนอนคว่ำอยู่บนพื้น อาวุธอาคมที่ทิ่มแทงบนตัวของขุนวราธรค่อย ๆ สลายหายไปหลังที่สร้อยทั้งสี่เส้นมาอยู่ในมือของเฮงเฮงร่างมืด
เฮงเฮงร่างมืดจ้องมองสร้อยทั้งสี่เส้นที่อยู่ในมือ เขามีท่าทางคล้ายครุ่นคิดอะไรบางอย่าง จู่ ๆ ก็มีคำถามผุดขึ้นในใจเขา
‘ข้าต้องการสร้อยนี้ไปทำไมกัน’
มีเสียงเซ็งแซ่มาจากหลาย ๆ ทีม พวกเขาต่างถามกันไปมาด้วยคำถามคล้าย ๆ กัน
“ทำไมเขาถึงต้องการสร้อย”
นี่เป็นครั้งที่สองที่มีการโจมตีอย่างโหดเหี้ยมโดยฝีมือของฮันเตอร์ด้วยกัน ทำให้แต่ละทีมเริ่มหวาดระแวง
เหนือภพก็เป็นเช่นเดียวกัน เขาเริ่มหาทางออกให้ตัวเอง ประสบการณ์ชีวิตที่เขาได้มาจากการสู้กับพญานาคนั้นทำให้เขารู้ดีว่า ถ้าไม่อยากตาย ก็อย่าเก็บของมีค่าไว้กับตัว
“เฮ้ เพื่อน ๆ ทุกคน ข้าให้ แบ่งกันดี ๆ ล่ะ อย่าแย่งกัน”
เหนือภพพูดจบก็ปาสร้อยออกไปหลากหลายทิศทาง ซึ่งแต่ละทิศทางต่างเป็นทีมที่เขามีเรื่องบาดหมางด้วยทั้งนั้น ทั้งทีมบ้านลานเงิน ทีมนิรันดร์กาล ทีมเทพเจ้า และทีมบ้านปักษาหงส์ทอง เขาปาสร้อยให้ทั้งสี่ทีมในจำนวนที่คละกันไป จึงดูเหมือนว่าเหนือภพให้สร้อยไปทั้งหมด แต่มีเส้นสุดท้ายที่เขาเลือกเก็บไว้กับตัว โดยไม่ได้บอกใคร จากนั้นเขาก็วิ่งออกไปในทันทีโดยไม่สนใจเสียงปะทะกันจากเบื้องหลัง
เหนือภพวิ่งไปหาที่ซุ่มเหมาะ ๆ บริเวณที่สูงและเป็นจุดอับสายตามากที่สุด ดังนั้นเขาจึงรู้สึกปลอดภัยและได้เขาเห็นสถานการณ์ในมุมกว้างมากว่าคนอื่น ๆ
เฮงเฮงร่างมืดพุ่งทะยานเข้าหาทีมบ้านลานเงินเป็นลำดับต่อไป สไบเงินเป็นเพียงคนเดียวในทีมที่ยังมีชีวิตอยู่ เพื่อนทั้งสองคนของเธอหมดโอกาสเสียแล้ว คนหนึ่งไม่เจียมตัวพอปะทะกับทีมเทพเจ้าก็บาดเจ็บสาหัส ส่วนอีกคนก็ไม่ประมาณตน พอเจอสัตว์อสูรแรงค์ D ก็เข้าไปโจมตีจนถึงแก่ความตาย เธอจึงเหลือเพียงคนเดียว ทั้งยังมีระดับฝีมืออ่อนด้อยที่สุดในทีม เพื่อจะเอาชีวิตรอดและไม่ให้ตัวเองรู้สึกผิดกับเพื่อนที่ฝากความหวัง และเพื่อนที่ตายจากไป เธอจึงเลือกเข้าร่วมกับฝ่ายตรงข้ามของเหนือภพ เธอเลือกพึ่งพาผู้มีพรสวรรค์อันดับสูงอย่างตระกูลเทพเจ้า แต่นั่นกลับกลายเป็นความคิดที่ผิด และตอนนี้ก็เหมือนโชคจะเข้าข้างเธอบ้างแล้ว เมื่อสร้อยเส้นหนึ่งตกมาอยู่ในมือเธอ ทว่ามันก็นำความโชคร้ายมาสู่เธอด้วยเช่นกัน
เฮงเฮงร่างมืดขยับเข้ามาใกล้สไบเงิน สไบเงินทรุดตัวลงอย่างอ่อนแรง เธอไม่รอดแน่ ขนาดขุนวราธรยังมีโอกาสต่อต้านได้ไม่ถึงสิบวินาทีด้วยซ้ำ ตอนนี้เขาเป็นหรือตาย เธอก็ยังไม่รู้ ดังนั้นเธอคงเป็นเหมือนแมลงหวี่ตัวเล็กในสายตาของเฮงเฮง
คมดาบของเฮงเฮงร่างมืดฟาดลงมา ทว่า..บางทีปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้นกับคนบางคน
เปรี้ยง !!
“เจ้าคนทรยศ !”
ไร้ชื่อประกาศก้อง ขณะเข้ามาต้านรับดาบแทนสไบเงิน ไร้ชื่อมองเฮงเฮงด้วยแววตาดุดัน พวกเขาอยู่ฝูงเดียวกันไม่ใช่หรือ แต่ทำไมเฮงเฮงถึงทำร้ายทุกคน ทำร้ายเขา แถมยังทำร้ายเหนือภพ ที่เป็นจ่าฝูงของเขา จนเหนือภพต้องวิ่งหนีไป เฮงเฮงมันคนทรยศ ไร้ชื่อเชื่อแบบนั้นอย่างสุดใจ
ปราณอาคมสัตว์อสูรเจ็ดชนิดปรากฏเบื้องหลังคอยสนับสนุนไร้ชื่อ พร้อมกับดาบอาคมที่ถูกฟาดฟันออกจากไร้ชื่อ มันเต็มไปด้วยกระแสอาคมกร้าวแกร่ง ประสานกับจิตสังหารอันพรั่งพรูของไร้ชื่อ ทำให้สถานการณ์ดูเปลี่ยนไป
ทั้งสองประสานดาบกันอย่างรุนแรง เสียงดังสนั่นท่ามกลางฝนดาบที่เฮงเฮงร่างมืดเรียกออกมา และสร้างความเสียหายให้กับไร้ชื่ออย่างต่อเนื่อง แต่ไร้ชื่อก็คงไม่หยุดมือ สายตาของเขายังคงมุ่งมั่น ไม่ว่าจะมีดาบตกลงมาเชือดเฉือนร่างกายของเขามากเท่าไหร่ไร้ชื่อก็คงวิ่งเข้าโรมรันต่อไป เมื่อได้ระยะที่เขาต้องการไร้ชื่อก็เปิดใช้ความสามารถของตัวเองเต็มที่ ภาพสัตว์อสูรเจ็ดชนิดหลอมรวมเป็นกระแสอาคมสีทองเป็นสายน้ำสีทองหลั่งไหลเข้าพัวพันกับคมดาบ แล้วเขาก็ฟาดมันออกไปข้างหน้าสุดแรง ในระยะที่ห่างจากเฮงเฮงร่างมืดเพียงเมตรเดียว
เสียงเปรี้ยงดุจสายฟ้าฟาดดังก้อง เมื่อคมดาบปลดปล่อยสัตว์อสูรเจ็ดชนิดที่อยู่ในท่าพุ่งกระโจน การโจมตีนี้สร้างแรงสั่นสะเทือนอากาศจนได้ยินเสียงแตกร้าวของใบดาบคู่กายไร้ชื่อ ใบดาบค่อย ๆ ร่วงกราวตกลงมา ขณะที่ฝูงสัตว์อสูรพุ่งเข้าชนเฮงเฮงอย่างไม่เกรงกลัว ทว่าดาบอาคมสีดำทะมึนเล่มหนึ่งพุ่งตรงมาเสียบอกของไร้ชื่อ
สวบ สวบ สวบ สวบ สวบ
กว่าร่างกายไร้ชื่อจะตกลงไปกองบนพื้น เขาก็รับอาวุธไปแล้วห้าเล่ม แม้จะยังไม่ตายแต่เขาก็ไม่อยู่ในสภาพที่จะเคลื่อนไหวได้ ลมหายใจเริ่มขาดห้วงขณะกระอักเลือดออกมาต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน
เหนือภพเห็นดังนั้นก็ปวดใจ เขาย่องออกมาจากที่ซ่อน ถึงอย่างไรในกระเป๋าเขาก็มียาอยู่เป็นจำนวนมาก มันเพียงพอที่จะยื้อชีวิตไร้ชื่อไว้ แต่ความหวังดีของเขานั้นกลับถูกสไบเงินแย่งชิงไปเสียก่อน เธอป้อนยาปิดยมโลกซึ่งเป็นสมบัติเพียงชิ้นเดียวของบ้านลานเงินให้กับไร้ชื่อโดยไม่คิดเสียดาย ต่อให้การตัดสินใจครั้งนี้อาจจะเป็นฆ่าตัวเธอเองในอนาคตก็ตาม
ไร้ชื่อที่เคยมีท่าทางปฏิปักษ์ขัดขืนก็พลันอ่อนลง เมื่อสไบเงินคนที่เคยคิดจะฆ่าฟันเขากลับพลิกมาช่วยชีวิต ทั้งยังพยายามฉุดลากไร้ชื่อออกจากสนามรบ
เหนือภพยืนมองยิ้ม ๆ ก่อนจะพึมพำกับตัวเอง
“ไม่ทันไร ก็ควบผู้หญิงไปแล้วสอง น่าอิจฉา รู้งี้ข้าน่าเข้าไปก็ดี”
ไร้ชื่อได้ใกล้ชิดกับใบข้าวและสไบเงินเพราะความบ้าบิ่นของเขา พอเหนือภพคิดเช่นนั้น ใจหนึ่งก็แวบไปคิดถึงค่ายาที่ต้องรักษา จากนั้นสีหน้าของเหนือภพก็ฉายแววเด็ดเดี่ยว
‘ลูกผู้ชายต้องยึดมั่นในอุดมการณ์ ไม่เสียเงิน ไม่เสียชีพ สัตย์ช่างมัน หญิงพักไว้ก่อน’