ตอนที่ 71 เอาของข้าคืนมา
ขวับ ขวับ ขวับ
เหนือภพลองใช้ดาบแส้อสรพิษที่ยึดมาจากบุษย์น้ำทอง เขาต้องการเรียนรู้วิธีใช้ดาบรูปร่างประหลาดนี่ แต่ดูเหมือนว่าการใช้กำลังเพียงอย่างเดียวจะใช้ไม่ได้ผลกับดาบเล่มนี้ มันจำเป็นต้องใช้ปราณอาคมกับเทคนิคลับเฉพาะ ซึ่งเขาไม่รู้ ดังนั้นเขาจึงสร้างความเสียหายให้พื้นที่รอบ ๆ โดยที่ไม่ได้ตั้งใจ เมื่อเขาคิดอยากให้มันยืด มันกลับหด แต่เมื่อเขาคิดให้มันหด มันก็กลับยืด อยากให้ไปซ้ายดันไปขวา อยากให้ไปขวาดันไปซ้าย ทุกอย่างล้วนแสดงผลตรงกันข้ามกับที่เขาคิด ช่างเป็นอาวุธที่ประหลาด
แต่เหนือภพก็รู้สึกสนุกและท้าทายที่จะใช้มันให้ได้ พอเขาลองทำให้มันตรงข้ามกับที่เขาคิด เขาก็สามารถใช้อาวุธชนิดนี้ได้อย่างคล่องแคล่ว
เหนือภพพุ่งทะยานไปด้านหน้า แล้วก็ตวัดแกว่งดาบแส้อสรพิษโจมตีทีมปักษาหงส์ทอง นี่ไม่ใช่ความแค้นส่วนตัว แต่นี่เป็นการแข่งขัน
“นี่เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่”
บุษย์น้ำทองเม้มปากแน่น ยิ่งต้องมาต้านรับคมอาวุธของตัวเองที่ถูกคู่แค้นแย่งไป เธอก็ยิ่งเจ็บปวด
“ส่งสร้อยคืนมา ไม่งั้นอย่าหาว่าข้าไม่ปรานีต่อเจ้า”
คมดาบแส้อสรพิษพุ่งเข้าหาบุษย์น้ำทองอีกครั้ง แต่ถูก พิชิต และ อ่อนหวาน สมาชิกในทีมของบุษย์น้ำทองช่วยสกัดกั้น ความสามารถของเขาและเธอถือว่าสูงกว่าบุษย์น้ำทองหลายระดับ ดังนั้นเหนือภพที่ยังใช้อาวุธได้ไม่ช่ำชอง จึงไม่ได้เปรียบไปมากกว่ากันเท่าไหร่นัก
“องค์หญิงท่านเอาสร้อยนี้ไป ไม่ต้องห่วงพวกเรา พวกเราจะรั้งมันไว้ให้เอง”
อ่อนหวานร้องบอกบุษย์น้ำทองขณะเขวี้ยงปาถุงผ้ามีสร้อยภารกิจหกเส้นอยู่ภายใน แต่ดูเหมือนเธอจะประมาทไปสักหน่อย
พญานาคที่ไม่รู้ว่ามาซ่อนตัวอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ทันทีที่มีการส่งสร้อยกันเกิดขึ้น ร่างกายขนาดเท่างูตัวเล็ก ๆ ก็ขยายใหญ่ขึ้น มันแย่งคาบถุงผ้าพร้อมกับสะบัดหางกระแทกสมาชิกทีมปักษาหงส์ทองกระเด็นไปไกล ก่อนจะเหวี่ยงถุงผ้าไปให้เหนือภพพร้อมกับเคลื่อนตัวมาตีคู่เหนือภพที่กำลังเคลื่อนที่ย้ายตำแหน่งตัวเองอย่างต่อเนื่อง คมดาบแส้ของเหนือภพตวัดไปมาโดนพญานาค จนทำให้พญานาครู้สึกหงุดหงิด
“เจ้าเลิกใช้ไอ้เศษเหล็กบ้านั่นสักที ใช้ไม่เป็นยังสะเออะจะใช้”
“อย่ายุ่งน่า”
เหนือภพไม่สนใจคำพูดของพญานาค เขาเลือกสนใจอย่างอื่นมากกว่า เขาตวัดดาบแส้อสรพิษรัดคอสัตว์อสูรหมีที่วิ่งวนไปวนมาที่บริเวณนั้นแล้วกระชากเข้าไปต่อย ก่อนจะเหวี่ยงร่างของสัตว์อสูรหมี มันยังไม่ตาย แต่มันอยู่ในสภาพบ้าคลั่ง และมันก็ถูกเหวี่ยงเข้าใส่ทีมตระกูลขาล เป้าหมายของเหนือภพก็คือพยัคฆ์คีรี เขาหมั่นไส้มันจริง ๆ เขาอยากรู้จริง ๆ ว่าถ้าเขาแย่งสร้อยที่คอของทีมมันมาได้ มันจะทำหน้ายังไง
“ช่วยกันทำมาหากินหน่อย”
เหนือภพเอ่ยขณะเหวี่ยงพญานาคตามเข้าไปติด ๆ นั่นทำให้ทีมตระกูลขาลถึงกับวงแตกกระเจิง สมิงไตยกับสมิงเพลิงได้รับบาดเจ็บจากการสู้กับบรรพตมาก่อนแล้ว แน่นอนว่าพวกเขาในสภาพนี้คงไม่อาจสู้ใครได้ แค่ป้องกันตัวเองก็ถือว่าลำบากแล้ว
“คีรี เจ้าหนีไป เพียงเจ้ารักษาสร้อยไว้ได้ ทีมตระกูลขาลก็ถือว่าทำหน้าที่สำเร็จแล้ว”
สมิงไตยตะโกนบอกพยัคฆ์คีรีขณะที่ใช้ดาบใหญ่ในมือปลิดชีพสัตว์อสูรหมี จากนั้นก็ถอนตัวออกห่างจากพญานาคพร้อมกับสมิงเพลิงน้องชายของเขา พวกเขารู้ตัวดีว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพญานาค อย่างไรก็ตามสมิงเพลิงก็ยังพยายามใช้ทักษะวิชาของตนช่วยพยัคฆ์คีรีอย่างเต็มที่ขณะถอยหนี
เปลวเพลิงร้อนแรงถูกปล่อยออกมากั้นขวางระหว่างเหนือภพกับพยัคฆ์คีรีเอาไว้ ทำให้เหนือภพเสียจังหวะ ไม่ใช่ว่าเขากลัวไฟ แต่เขากลัวสัมภาระ เสื้อผ้า กับตั๋วเงินของตนเสียหายมากกว่า ทำให้จำต้องยอมแพ้ไม่ไล่ตามไป
“ท่านปู่ เหนือภพ ทางนี้”
สามพี่น้องทีมนาคราชตะโกนเรียกพร้อมกับโบกมือบอกตำแหน่งของตนเอง สงสัยว่าช่วงเวลาที่พวกเขาหายไป พวกเขาจะหายไปเตรียมการพาเหนือภพเข้าไปยังใต้ซากโบราณสถาน และดูเหมือนว่าพวกเขาจะฉวยโอกาสตอนที่เกิดสถานการณ์ชุลมุน ขุดเจาะโพรงจนถึงแท่นคบเพลิงศักดิ์สิทธิ์แล้ว
แน่นอนว่าไม่ใช่แค่ทีมนาคราชกับเหนือภพที่ไปถึงแท่นนี้ แต่ยังมีทีมเพชรการเวก ซึ่งนำโดยสกุณีหยกที่กำลังปะทะกับทีมตระกูลใต้อย่างใต้หล้า ทั้งยังมีบรรพตที่เข้ามาร่วมการต่อสู้นี้ด้วย แต่ดูเหมือนว่าบรรพตจะลำบากเมื่อต้องเผชิญหน้ากับสางลำไพรที่แม้จะมีแค่ตัวคนเดียว แต่วิชาไสยเวทย์ อาคมมนตร์ดำของเธอก็อยู่เหนือการป้องกันของบรรพต เมื่ออยู่ในพื้นที่ใต้ดินของซากมหาวิหารความสามารถในด้านการบินของบรรพตก็แทบจะไร้ประโยชน์ เขาจึงจำเป็นต้องใช้อาคมร่นระยะทางเพื่อหลบหนีกุมารทองที่ยังคงไล่ตามอย่างไม่ลดละ
เสียงบริกรรมคาถาอันน่าขนลุกของสางลำไพรดังก้องทั่วพื้นที่ใต้ดิน พื้นที่มืดครึ้มมีเพียงแสงสว่างรำไรของคบเพลิงเพียงอันเดียว ประกอบกับเสียงบริกรรมคาถาที่ช่างทำให้ผู้คนรู้สึกกริ่งเกรงระคนระทึกใจ เมื่อสิ้นสุดเสียงอันน่าขนลุกนั้น ทีมเพชรการเวกกับทีมตระกูลใต้ก็พากันชะงักค้าง ทุกคนตัวแข็งราวกับหิน ถึงมีสติรับรู้ความเป็นไป ทว่าไม่อาจบังคับร่างกายให้เคลื่อนไหวได้ ต่อให้มีกำลังมากเท่าใดก็ตาม
สางลำไพรจึงสามารถช่วงชิงสร้อยทั้งสี่เส้นไปจากทีมเพชรการเวกได้อย่างง่ายดาย เธอเหยียดยิ้มอย่างผู้ชนะ หากเธอประเมินเวลาไม่ผิดก็น่าจะเหลืออีกเพียงแค่ 20 นาที การแข่งขันก็จะสิ้นสุดลง ขอเพียงเธอรักษาสร้อยเส้นนี้จนเกือบหมดเวลา แล้วนำสร้อยไปเผาที่แท่นคบเพลิงศักดิ์สิทธิ์ทันเวลาเท่านั้นก็ถือว่าสำเร็จแล้ว
แต่ดูเหมือนว่าเรื่องราวจะไม่ง่ายอย่างที่เธอคิด เมื่อเหนือภพกับพญานาคพุ่งเข้ามาพร้อมกัน
“สร้อยพวกนั้นข้าขอเถอะ”
เหนือภพยิ้มกว้างขณะตวัดดาบแส้อสรพิษไปเกี่ยวสายสร้อยทั้งสี่เส้น แล้วกระชากเข้าหาตัวเอง แต่กลับมีตัวเสือกพุ่งเข้ามา ทำให้เหนือภพต้องเบี่ยงตัวหลบ สร้อยที่ถูกกระชากมาจึงร่วงหล่นอยู่กลางทาง
เหนือภพจำต้องเบี่ยงตัวหลบหัวหอกสั้นคู่ ที่แฝงไปด้วยกระแสอาคมอันเข้มข้นของขุนวราธร แม้เหนือภพจะเร็วมาก แต่ก็ไม่เร็วไปกว่าคมหอกที่พุ่งเข้ามาจากจุดอับสายตา บริเวณใบหน้าของเขาจึงปรากฏรอยบาดจากกกหูจรดใต้หางตา
เหนือภพใช้มือกุมบาดแผลตัวเอง ขณะตวัดดาบแส้อสรพิษไปทางขุนวราธรที่พุ่งเข้ามา ดาบแส้บีบบังคับให้มันต้องต้านรับจนเสียจังหวะในการโจมตีครั้งต่อไป ทำให้เหนือภพมีโอกาสตั้งหลักอีกครั้ง แม้เขาจะไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดแต่เมื่อลูบคลำบาดแผลก็รู้สึกถึงเลือดอุ่น ๆ ที่กำลังไหลอาบแก้มลงมา ทำให้เขารู้ว่าบาดแผลนั่นลึกพอสมควรเลย
“เจ้า ยังไม่ตาย”
เหนือภพมองขุนวราธรเก็บสร้อยทั้งสี่เส้นไปโดยที่ไม่ตอบโต้อะไร
“ข้าจะตายได้ยังไง ข้าเตรียมการไว้ให้เจ้าเยอะเลยนะ”
ขุนวราธรยิ้มกว้าง ก่อนจะก้าวถอยหลังหายลับไปในเงามืด รอยยิ้มอันน่าสะพรึงของขุนวราธรทำให้เหนือภพรู้สึกขนลุก เหนือภพเก็บดาบแส้อสรพิษ แล้วล้วงเอามีดหมอสองเล่มออกมา ถึงจะรู้สึกระแวงแต่เขาก็ต้องเดินหน้าต่อไป บางทีนี่อาจจะเป็นแผนของขุนวราธรก็ได้
เหนือภพหันไปมองสางลำไพรที่ดูเหมือนจะไม่สนใจสร้อยที่ถูกขุนวราธรแย่งไปแม้แต่น้อย แต่เธอกลับพุ่งเป้ามาทางเขาแทน เรื่องนี้มันออกจะแปลกและไร้เหตุผลไปสักหน่อย หรือว่า...
“พวกเจ้าร่วมมือกัน !”
กว่าเหนือภพจะคิดได้ก็สายไปสักหน่อย เสียงแหลมปรี๊ดดังกังวานของพญาครุฑที่ถูกอัญเชิญออกมาโดยบรรพตดังแทรกบรรยากาศ ครุฑอาคมตัวนั้นพุ่งเป้าไปที่พญานาคที่ดูเหมือนจะเว้าวอนอยากต่อสู้เช่นกัน
จากนั้นทุกคนทั้งที่อยู่ภายในและอยู่ภายนอกครอบแก้วต่างเห็นภาพสัตว์ระดับตำนานขนาดใหญ่สองตัวเข้าห้ำหั่นกัน หนึ่งสัตว์ชั้นสูงและหนึ่งสัตว์อาคมพุ่งเข้าหากันอย่างไม่รามือ ส่งผลให้มหาวิหารใต้ดินสั่นสะเทือน เศษดินเศษหินร่วงกราวตกลงมาต่อเนื่องในทุกครั้ง ๆ ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถูกกระแทกจนกระเด็น
สางลำไพรแสดงเจตจำนงที่แท้จริงผ่านดวงตา เธอดูไม่เหมือนคนเดิมที่ไม่ได้ยี่หระกับการต่อสู้ สายตาของนางเย็นเฉียบเยือกเย็น ปลดปล่อยแรงสังหารออกมาจากดวงตาอย่างเด่นชัด
“ข้าไม่เคยคิดอยากเป็นศัตรูกับเจ้า”
เหนือภพยิ้มแล้วก็หันหลังวิ่งทันที แต่เขาก็ยังไม่วายตะโกนกลับมาหาเธอว่า
“ไม่สู้ก็ไม่สู้สิ จะพูดให้เสียเวลาไปทำไม”
ถึงเขาจะให้ความสนใจกับสางลำไพร แต่เขาก็ไม่คิดจะสู้ เหตุผลหลักคือวิชาของเธอนั้นยากที่ป้องกัน สู้ไปก็ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไร ดังนั้นเลี่ยงได้ก็เลี่ยงดีกว่า สู้ไปก็รังแต่จะแพ้
แต่สางลำไพรไม่ปล่อยให้เหนือภพทำเช่นนั้น เธอสั่งกุมารทองพุ่งตามเหนือภพไป แต่เมื่อกุมารทองเข้าไปใกล้จะถึงตัวเหนือภพ กุมารทองก็สะท้อนเด้งออกไปอย่างประหลาด มันส่งเสียงร้องโหยหวนก่อนจะหายลับไปในอากาศ และนั่นก็เป็นช่วงเวลาที่เหนือภพสัมผัสได้ถึงชายปริศนาที่ปรากฏตัวข้างกาย เมื่อหันมองให้ชัด ๆ เขาก็ขมวดคิ้ว
“เป็นเจ้า ?”
เหนือภพอยากจะด่า แต่ก็เขาได้แต่กลั้นไว้ เมื่อเห็นว่าสีหน้าของพยัคฆ์คีรีดูนิ่งขรึมต่างไปจากปกติ เขามาช่วยเพราะเห็นแก่มิตรภาพครั้งเก่าก่อนงั้นหรือ
“ทำไม เป็นข้าแล้วทำไม”
“เจ้ามีเบี้ยแก้ได้ยังไง”
สางลำไพรถามพยัคฆ์คีรีเมื่อเธอเห็นสร้อยหอยสีดำที่คล้องคอเขาอยู่ เธอแปลกใจอย่างมาก เบี้ยแก้เป็นสิ่งที่แม้แต่จอมไสยเวทย์ผู้เป็นอาจารย์ของเธอยังไม่มีไว้ในครอบครอง อีกทั้งยังหาวัตถุดิบมาทำไม่ได้ โดยเฉพาะตัวหอยเบี้ยที่ต้องเป็นหอยเบี้ยที่สิ้นอายุขัยตายโดยธรรมชาติเท่านั้น มันจึงถือเป็นของขลังที่สร้างได้ยากที่สุด
“ความลับ”
พยัคฆ์คีรีตอบเพียงเท่านั้น สางลำไพรมีสีหน้าหงุดหงิดขณะจำใจต้องถอยกลับไปตั้งหลัก พยัคฆ์คีรียิ้มมุมปากมองเธอถอยไป จากนั้นก็หันมองเหนือภพที่กำลังแสร้งมองไปทางอื่น ทำหน้าไม่รู้ชี้ ไหนปากบอกว่าเกลียดเขานัก เกลียดเขาหนา แต่ทำไมเจ้านี่ยังไม่ยอมไปไหน
“เจ้าไม่มีศักดิ์ศรีเลยหรือไง”
“มีแล้วตาย ข้าจะมีไปทำไม”
ในความคิดของเหนือภพนั้นเรียบง่ายไม่ซับซ้อน
‘ถึงยังไงเจ้าหมอนี่ก็มีของดี ขอพึ่งใบบุญมันสักหน่อย ข้าก็ไม่ได้เสียหายอะไร’
“ดาบนั้นเป็นของข้า”
พยัคฆ์คีรีเอ่ยทัก เมื่อเห็นดาบแส้อสรพิษเหน็บอยู่ที่เอวของเหนือภพ
“แล้วไง ของเจ้าก็ต้องอยู่ที่เจ้าสิ”
เหนือภพตอบไปอย่างยียวน ไม่ทันไรเขาก็ต้องตกใจเมื่อดาบแส้อสรพิษกลับไปอยู่ในมือของพยัคฆ์คีรีหน้าตาเฉย
“มันเป็นของข้าแล้ว”
“เจ้ามันหน้าไม่อาย ฝากไว้ก่อนเถอะ”
เหนือภพพูดจบก็พุ่งตัวจากไปด้วยคาถาย่นระยะทาง
“แปลก ๆ”
พยัคฆ์คีรีพึมพำพลางมองตามเหนือภพที่จากไปอย่างง่ายดาย ทั้ง ๆ ที่เมื่อสักครู่เขายังพยายามอยู่ใกล้ ๆ ไม่ห่างไปไหน เพราะความกลัวไสยเวทย์
‘เหนือภพไม่ใช่คนแบบนี้นี่’
แต่กว่าพยัคฆ์คีรีจะรู้ตัวทั้งสร้อยพลอยสีที่เป็นสร้อยภารกิจของทีมตระกูลขาลและสร้อยเบี้ยแก้ก็หายไปจากคอของเขาเสียแล้ว ในที่สุดทุกคนก็ต้องอ้าปากค้าง เมื่อได้ยินเสียงสบถที่ไม่เคยหลุดจากปากเขามาก่อน
“ไอ้ภพ ! เอาของข้าคืนมานะ”
“เอาแล้ว ดูสิเจ้าคะ สถานการณ์ตอนนี้น่าตื่นเต้นมากเลยค่ะ หลังจากการต่อสู้แย่งชิงกันไปมาอย่างอลม่าน ตอนนี้สร้อยทั้ง 11 เส้นได้ถูกครอบครองโดยทีมแค่ 2 ทีมเท่านั้น ทีมมือปราบหลวง มีสร้อยทั้งหมด 4 เส้น และทีมบ้านรุ่งโรจน์ร่ำรวยเงินทองไหลมาเทมาทุก ๆ วินาที ซึ่งเป็นม้ามืดในวันนี้ก็มีสร้อยถึง 7 เส้น ตอนนี้ผู้นำทีมอย่างเหนือภพกำลังบุกเข้าไปที่แท่นคบเพลิงศักดิ์สิทธิ์แล้วค่ะ แต่ว่ามันไม่ง่ายเลย การที่เขาถือครองสร้อยมากขนาดนั้น ทำให้เขากลายเป็นเป้าโจมตี ไม่ว่าทีมเพชรการเวก ทีมตระกูลขาล ทีมเทพเจ้า ทีมนิรันดร์กาล ทีมตระกูลใต้ ทีมตระกูลนาคราช ทีมแม่ทัพหลวง ทีมมือปราบหลวง ทีมบ้านลานเงิน และทีมบ้านปักษาหงส์ทอง ต่างมุ่งเป้าไปที่เหนือภพแล้วเจ้าค่ะ
เอ ไม่ค่ะ ไม่ใช่แบบนั้น ดูเหมือนว่าพวกเขาจะแบ่งฝ่ายกัน ไม่น่าเชื่อเลยค่ะว่า ทีมเพชรการเวก ทีมตระกูลขาล ทีมตระกูลใต้ ทีมตระกูลนาคราช และทีมแม่ทัพหลวงกลับเลือกที่จะช่วยทีมม้ามืดของเหนือภพเจ้าค่ะ”
เหนือภพหันมองแนวร่วมของตนเองที่สมัครใจมากันเองอย่างเต็มตื้น ไม่ว่าจะเป็นใต้หล้าที่แบกแสงเงินอีเตอร์คู่ใจของตนมาด้วย
“หนี้บุญคุณที่เจ้าช่วยชีวิตพวกข้า ยังไงตระกูลใต้ก็ต้องตอบแทน”
เหนือภพยิ้มส่ายหน้าน้อย ๆ เขาอยากจะบอกจริง ๆ ว่าเขาต้องการเงินมากกว่า แต่อย่างน้อยเขาก็รู้สึกซึ้งใจมาก ก่อนจะมองไปทางสามพี่น้องนาคราชที่กำลังปลดปล่อยปราณอาคมเต็มขั้น
“ท่านเป็นคนที่ท่านปู่ยอมรับ พวกข้าจะไม่ปล่อยให้ท่านต้องลำบากเพียงคนเดียว ดังนั้นวันนี้พวกข้าสามพี่น้องจะทำเต็มที่”
“ขอบใจ แล้วพวกเจ้าล่ะ โดยเฉพาะเจ้า”
เหนือภพมองไปทางทีมตระกูลขาลที่ก่อนหน้าโดนเขาเล่นง่ายอย่างหนัก โดยเฉพาะพยัคฆ์คีรีที่ทำหน้าบอกบุญไม่รับขณะเหลือบมองสร้อยเบี้ยแก้ที่ผูกติดอยู่บนมือขวาของเหนือภพอย่างแน่นหนา หากไม่ตัดมือเหนือภพออกก็คงจะรูดออกมาไม่ได้
พยัคฆ์คีรีเบนหน้าหนีไม่ตอบคำถามของเหนือภพ ทำให้สมิงไตยเป็นคนตอบแทน
“ศัตรูของศัตรูก็คือมิตรของพวกข้า” เหนือภพยิ้มให้ทีมตระกูลขาลทุกคน
“นี่เจ้าไม่คิดจะถามข้าบ้างหรือไง”
เนตรกัญญาเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นสายตาของเหนือภพตวัดมองมาที่เธอ แต่แล้วเขาก็หันจากไป เรื่องนี้ทำให้เธอรู้สึกหงุดหงิด ตลอดชีวิตของสาวสวยเช่นเธอ เธอไม่เคยถูกชายใดมองเมินมาก่อน
เหนือภพเพียงยิ้มให้เธอตามมารยาท
“นี่ข้าบอกไว้ก่อนเลยนะ ถึงจะช่วยข้า ข้าก็ไม่แบ่งสร้อยให้หรอกนะ”
“ทั้งสองฝั่งกำลังสู้กันอย่างดุเดือดอีกแล้วค่ะ”
พิธีกรบรรยายภาพทั้งสองทีมที่กำลังโรมรันกันอย่างดุเดือด แต่ละทีมต่างงัดไพ่ตายของตัวเองออกมาเพื่อล้มอีกฝ่าย
“ดุเดือดงั้นรึ เสด็จพ่อสั่งให้ข้ามาอย่างเร่งด่วน นึกว่าจะมีเรื่องสนุกที่ไหนได้ ต้องมานั่งดูเด็กเล่นแย่งของเล่นกัน”
องค์ชายชัยธวัช น้องชายเพียงคนเดียวของ องค์รัชทายาทชัยวิชิต เปรยขึ้นอย่างเบื่อหน่าย องค์เจ้าแคว้นถึงกับยกเลิกคำสั่งกักบริเวณเขา แล้วสั่งให้เขานั่งปักษาวายุที่เป็นสัตว์อสูรประจำราชวงศ์ เร่งให้มาถึงงานเทศกาลประมูลอย่างเร็วที่สุด ทำให้เขาตื่นเต้นอย่างมาก ทว่าเมื่อเขามาถึงกลับต้องมาทนนั่งดูอะไรก็ไม่รู้
“ก็ใครเขาจะเอาชีวิตมาแลกกับภารกิจแค่สามภารกิจล่ะ”
องค์รัชทายาทมองน้องชายด้วยสายตาไม่พอใจเล็กน้อย เขาเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเสด็จพ่อจึงส่งชัยธวัชมา ในตอนนี้ทุกคนในอาคารประมูลคงซุบซิบนินทาเรื่องความสัมพันธ์ของพวกเขาสองพี่น้องไปทั่วแล้วว่าองค์เจ้าแคว้นให้ความสำคัญกับองค์ชายชัยธวัชเทียบเท่าองค์รัชทายาท
“แต่มันก็ต้องสู้กันให้สมศักดิ์ศรีหน่อย เหอะ ข้าอยากจะลงไปจัดการเองให้สิ้นเรื่องสิ้นราว”
แม้ทั้งสองจะมีรูปร่างหน้าตาสง่างามคล้ายกัน แต่ชัยธวัชนั้นมีร่างกายแข็งแรง กล้ามเนื้อตึงแน่นไปทั้งตัว และมีลักษณะนิสัยเลือดร้อน โผงผาง กล้าได้กล้าเสียมากกว่าองค์รัชทายาท
“พวกเขากำลังหยั่งเชิงกันอยู่ มีไม่กี่คนหรอกที่คิดจะเอาจริง เจ้าก็ควรดูไว้เป็นตัวอย่าง กับเรื่องบางเรื่อง แค่กๆ กับคนบางคนที่เจ้ายังไม่รู้จักดีพอ เจ้าก็ต้องหยั่งเชิงไปก่อน อย่าเปิดเผยไม้ตายให้ใครเห็นง่าย ๆ แค่ก ๆ”
ชัยธวัชได้ยินองค์รัชทายาทสั่งสอนเช่นนั้นก็แอบทำหน้าเบ้ นี่แหละเป็นเหตุผลที่เขาไม่ค่อยอยากเข้าใกล้พี่ชายนัก ร่างกายอ่อนแอแล้วยังจะพยายามมาสั่งสอนคนอื่น
“แล้วเสด็จพ่อให้เจ้ามาทำอะไร”
องค์รัชทายาทถามด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง ทว่าเขากลับจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของชัยธวัชอย่างค้นหา
“ไม่รู้สิ เสด็จพ่อบอกว่าให้มาถึงก่อน แล้วจะมีคำสั่งมาอีกที”
ชัยธวัชพูดจบก็ทอดกายพิงหมอนพนักแล้วปล่อยให้นางข้ารับใช้เข้ามาบีบนวดตัว
ตูม !!!
จู่ ๆ ก็มีเสียงระเบิดดังขึ้นพร้อมกับการถล่มของวิหารใต้ดิน
“เกิดอะไรขึ้นล่ะคะเนี่ย”
เสียงพิธีกรสาวดังแทรกเสียงเซ็งแซ่ของเหล่าผู้ชม เมื่อทุกอย่างภายในครอบแก้วเกิดควันดำมืดจนมองไม่เห็นอะไร พวกเขาได้ยินเพียงกรีดร้องของทั้งชายและหญิงดังขึ้นราวกับเกิดการจลาจลเพียงเท่านั้น
เหล่าตระกูลต่าง ๆ ที่ส่งคนของตัวเองเข้าไป ต่างยืนขึ้นด้วยสีหน้าเป็นห่วงเมื่อไม่เข้าใจสถานการณ์ แม้แต่พิธีกรก็ยังยืนอึ้ง ขนาดเธอถือว่าเป็นผู้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์ภายในครอบแก้วมากที่สุด ก็ยังไม่เข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เธอมองไปทางเหล่าผู้ควบคุมครอบแก้ว และคนเหล่านั้นต่างก็พร้อมใจกันส่ายหน้า ไม่มีอาคมใดเจาะทะลวงกลุ่มควันดำนั้นเข้าไปได้ มันเกิดอะไรขึ้นในช่วง 10 นาทีสุดท้ายกันแน่