ตอนที่ 66 ถอดออกมาสิ
ทางด้านเหนือภพนั้น เขากำลังขบคิดหาวิธีช่วยเหลือเฮงเฮง เขาใช้เวลาชั่วครู่ในยามที่ไม่มีใครมารบกวนเพื่อปลุกพลังแก้วจันทรกาลสีแดง แก้วจันทรกาลเป็นถึงของศักดิ์สิทธิ์ยังไงก็ต้องมีฤทธิ์ช่วยเสริมพลังปราบของสกปรกและเสนียดจัญไรได้ไม่มากก็น้อย เขาไม่เชื่อหรอกว่าจะทำอะไรเจ้าเด็กผีไม่ได้
พญานาคอนุญาตให้เหนือภพปลุกพลังแก้วจันทรกาลขึ้นมา ดังนั้นเหนือภพจึงไม่ประสบปัญหาใด ทันใดนั้นกระแสปราณอาคมรอบกายเขาก็เปลี่ยนไป เสมือนว่าภายในตัวเขาอบอวลไปด้วยกระแสอาคมมหาศาลและกระแสปราณนี้ล้วนเป็นของพญานาคทั้งสิ้น
เหนือภพพุ่งตรงเข้าหากุมารทองพร้อมกับชักดาบอาภัสระที่ได้มาจากสุภัชชา ดาบสองคมมีรูปทรงคล้ายพระขรรค์สีเงินยวงคมกริบที่มีกลิ่นอายของแสงสว่างและแสงตะวันที่ร้อนแรง พวกภูตผีมันคงไม่ถูกใจเจ้าสิ่งนี้แน่
ทว่ากุมารทองรับรู้ได้ถึงพลังอันเกรี้ยวกราดและอันตรายจากเหนือภพ มันจึงถอยหนีออกจากตัวเฮงเฮง เปิดโอกาสให้ไร้ชื่อได้ดึงตัวเฮงเฮงเข้ามาอยู่ใต้ร่มต้นทับทิมต้นเล็กที่ยังเหลืออยู่ ในตอนนี้ต้นทับทิมเปรียบเสมือนเกราะคุ้มภัยอันแสนประหลาด มันปกป้องพวกเขาจากกุมารทองและกลุ่มวิญญาณวนเวียนสีดำที่ยังคงเข้ามาใกล้เฮงเฮงอย่างไม่เลิกรา
เมื่อไม่มีกุมารทองคอยคุมเชิงอยู่ เหนือภพก็ง้างกำปั้นค้างที่เพิ่มกำลังเพียงแค่ระดับ 3 เท่านั้น เขาต้องประหยัดเวลา ก่อนจะชกมันออกไปโจมตีสางลำไพร เธอเป็นผู้ควบคุมเจ้าพวกนี้ หากทำให้เธอบาดเจ็บสาหัสได้ พวกผีสางเหล่านี้ก็จะหายไป
เหนือภพชกออกไปต่อเนื่องในทุก ๆ 8 วินาที ทำให้พญานาครู้สึกว่าเหนือภพกำลังทำเรื่องเกินตัว
“ระวังหน่อย เจ้าเชื่อมต่อกับแหล่งพลังอาคมของข้าได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น อย่าได้ทำซ่า เดี๋ยวจะหาว่าข้าไม่เตือน”
พญานาคเอ่ยเตือนด้วยความหวังดี แม้มันจะยินยอมให้เหนือภพเอาพลังไปใช้ได้ แต่ถึงอย่างไรร่างกายของมนุษย์ก็เป็นภาชนะที่เปราะบาง ไม่อาจรองรับเศษเสี้ยวพลังของพญานาคได้นานนัก
เหนือภพง้างหมัดแล้วต่อยซ้ำ ๆ แบบนี้ จนพื้นดินโดยรอบถูกไถเป็นทางยาวนับสิบสาย จนกระทั่งการโจมตีสุดท้ายของเขาทำให้สางลำไพรถึงกับกระเด็นกลิ้งไปไกล เมื่อรัศมีของการโจมตีกว้างจนเธอไม่สามารถหลบได้
เหนือภพต้องการเกร็งกล้ามเนื้อจนพละกำลังไปถึงระดับที่สูงที่สุดเท่าที่เขาจะมีเวลา ทว่าพวกเขากลับถูกเสียงกังวานใสของผู้มาใหม่ดึงความสนใจไปเสียก่อน
“เจอตัวนังหัวขโมยแล้ว”
เสียงหวานใสผิดกับบุคลิกโผงผางไม่เกรงใจใครของเนตรกัญญาดังขึ้นพร้อมการปรากฏกายของเธอ เบื้องหลังสาวดาวเด่นของหอหมื่นบุปผามีชายหนุ่มใบหน้าหล่อเหลาสมชายชาตรี เขาคือบุตรชายคนเล็กของตระกูลแม่ทัพหลวงแห่งแคว้นอมตะนคร มีนามว่า ‘สิบทิศ’ สายตาของเขาเฝ้ามองเนตรกัญญาด้วยความรักและทะนุถนอม แม้เขาจะต้องเดินรั้งท้ายผู้หญิง แต่ถ้าเธอพอใจเขาก็ยินดีที่จะทำเช่นนั้น
“ไอ้เจ้าคนไม่ได้เรื่องนั่น น่าตายนัก แค่นี้ก็รั้งไว้ไม่อยู่”
สางลำไพรพึมพำออกมาอย่างไม่พอใจ เมื่อเห็นว่าเตชินท์ไม่สามารถรั้งทีมแม่ทัพหลวงเอาไว้ได้
“ทศนายหลบไปก่อน ข้าจัดการเอง”
แม้ทศพลอยากจะสู้ แต่เขาก็รู้ตัวดีว่าเขาไม่ได้อยู่ในสภาพพร้อมรบ ดังนั้นเขาจึงถอนตัวออกไปเพื่อรักษาระยะและเป็นฝ่ายช่วยระแวดระวังแทน
“เอาสร้อยของข้าคืนมา แล้วก็เอาของเจ้ามาด้วย”
เนตรกัญญายืนเท้าสะเอวตะโกนสั่งสางลำไพรอย่างไม่หวั่นเกรง เธอคิดว่าสางลำไพรเล่นไม่ซื่อ แอบใช้มนต์ตราสะกดพวกเธอให้เคลิบเคลิ้มแล้วก็รูดสร้อยไปอย่างหน้าไม่อาย ไร้ศักดิ์ศรีโดยสิ้นเชิง
สางลำไพรอมยิ้มนิด ๆ พลางตอบกลับหญิงงามอย่างห้วนสั้น
“สร้อยอยู่นู่น”
เมื่อเธอพูดจบเธอก็ถอยร่นไปอยู่เคียงข้างทศพลทันที ในเมื่อมีคนมาช่วยทวงสร้อย แล้วเรื่องอะไรที่เธอจะขัดขวาง
เนตรกัญญาหันกลับไปมองเหนือภพอย่างไม่พอใจ เธอยกธนูที่ทำจากไม้โบราณชั้นดีขึ้นเล็งเหนือภพโดยไม่ถามอะไร แม้เธอจะเป็นผู้ไร้พรสวรรค์ แต่เธอก็มั่นใจในวิชาการต่อสู้ของตนเอง
เหนือภพเห็นเช่นนั้นจึงปล่อยหมัดที่เกร็งกำลังได้เพียงระดับ 3 เท่านั้น เขาไม่มีเวลาแล้ว
ตู้ม !
อั่ก !
สิบทิศกระโดดเข้าขวางหน้าเธอ แล้วกางโล่อาคมรับแรงกระแทกทั้งหมดไว้แต่เพียงผู้เดียว เขาคุ้นชินเสียแล้วที่ต้องทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์เช่นนี้ เขาทนได้ตราบใดที่เธอยังปลอดภัย ขอเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เขาหวังว่าเธอจะมีใจให้เขาสักเสี้ยวหนึ่งก็ยังดี
“ถอยไปสิบทิศ !”
เนตรกัญญาเริ่มเกรี้ยวกราดแล้ว เจ้านั่นกล้าดียังไงมาซัดพลังใส่เธอ ไม่เคยมีใครทำกับเธอแบบนี้มาก่อน เธอสะบัดกระโปรงตัวยาวแล้วก็กระโดดเข้าหาเหนือภพด้วยความเร็วที่เหนือภพเรียกว่าความเร็วแบบเด็กน้อย
แม้ว่าเธอจะตัดสินใจเข้าร่วมการต่อสู้แข่งขัน แต่เธอก็ไม่ทิ้งลายสาวดาวเด่นที่ต้องสวมใส่เสื้อผ้าสีสดใสยาวพลิ้วหลายชั้นกับเครื่องประดับราคาแพงครบครัน ดูสวยงามและเย้ายวนตา ชุดสีเหลืองอมเขียวอ่อนของเธอจึงดูโดดเด่นยามเคลื่อนไหว ตามมาด้วยเสียงกรุ๊งกริ๊งของกำไลข้อมือ กำไลข้อเท้า
สิบทิศและชายหนุ่มคนอื่น ๆ ในละแวกนั้นต่างมองตามเนตรกัญญาด้วยแววตาเคลิบเคลิ้ม ไม่ง่ายเลยที่จะหาหญิงสาวสวยแก่นแก้วเช่นนี้ แม้แต่ยามที่เธอตะเบ็งเสียงใส่เหนือภพ สิบทิศก็ยังคิดว่าเธอช่างสดใสและกล้าหาญ
“เอาสร้อยทั้งหมดมาให้ข้า !”
“แล้วถ้าข้าไม่ให้ล่ะ”
เมื่อเหนือภพเห็นว่าทีมของสางลำไพรถอยร่นไปแล้ว เขาก็วางใจได้มากพอที่จะต่อล้อต่อเถียงกับสาวสวยตรงหน้า เขาโบกสร้อยทั้งห้าเส้นไปมาขณะตอบเธอไปเช่นนั้น เขาก็อยากจะรู้ว่าเธอจะทำอะไรต่อไป เพราะหากพิจารณาดูแล้ว เธอไม่นับว่ามีฝีมือเลยด้วยซ้ำ
“งั้นเรามาสู้กัน คนชนะก็เอาสร้อยไป”
“ถ้าแค่นั้น ข้าไม่สู้หรอก”
เหนือภพมองเธอด้วยแววตามีเลศนัย เนตรกัญญาเห็นเช่นนั้นก็เข้าใจ เธอเคยเห็นแววตาแบบนี้จากผู้ชายมานักต่อนักแล้ว
“แล้วเจ้าต้องการอะไรอีก”
“ถอดออกมาสิ..”
เหนือภพพูดยังไม่ทันจบ สิบทิศก็ตะโกนแทรกมาเสียก่อน
“นี่เจ้าจะให้นางทำอะไร เจ้าคนชั่วช้า”
“ก็แค่ให้นางถอดเอง จะมีปัญหาอะไร”
สิบทิศเริ่มมีท่าทางแข็งกร้าว เขารู้ว่าใคร ๆ ก็อยากเห็นเนื้อนวลใต้ร่มผ้าของเนตรกัญญาทั้งนั้น ไม่เว้นแม้แต่เขา ส่วนเนตรกัญญาก็เหลือบมองเหนือภพด้วยความรู้สึกเบื่อหน่าย ผู้ชายมันก็เหมือนกันทั้งนั้น
“ข้าหมายถึงกำไลข้อมือทองน่ะ ถอดออกมาให้ข้าสิ แล้วข้าจะยืนนิ่ง ๆ ให้เจ้าทำอะไรก็ได้”
เนตรกัญญาได้ยินเช่นนั้นก็ดวงตาลุกวาว เหนือภพไม่ใช่ผู้ชายแบบที่เธอคิดงั้นหรือ
“ดี เอาไปเลย”
เธอถอดกำไลทองที่ถักร้อยเป็นลวดลายสวยงามออก แล้วโยนใส่เหนือภพในทันที เหนือภพก็รับของได้อย่างว่องไวปานมืออาชีพ เขาลูบไล้แล้วทำการกัดเพื่อตรวจคุณภาพ
เนตรกัญญายกธนูขึ้นยิงโดยไม่รอช้า เธอไม่แม้แต่จะเสียเวลาเล็ง เพราะเธอยืนห่างจากเหนือภพเพียงสามเมตรเท่านั้น
ปั่ก !
ลูกธนูพุ่งเข้าใส่หน้าอกของเหนือภพอย่างแรง มันหักเป็นสองท่อนแล้วก็กระเด็นออกในทันที
“อู้ว เจ็บจังเลยนะ”
เหนือภพยังคงยืนนิ่ง ฉีกยิ้มกว้างพลางพูดจายียวนสาวงาม ลูกธนูธรรมดาที่ถูกยิงจากผู้ไร้พรสวรรค์ฝีมือธรรมดาน่ะหรือจะทำอะไรเขาได้ แล้วเขาก็โบกสร้อยทั้งห้าเล่นอย่างสบายใจ เขาต้องการยั่วอารมณ์ของเธอ
“ฮึ่ย คราวนี้เจ้าอย่าหวังว่าจะยิ้มได้”
“จุ๊ จุ๊ ถ้าจะเล่นอีก ก็ต้องถอดอีกสิ”
เนตรกัญญาสะบัดกระโปรงอย่างโมโห จากนั้นเธอก็สะบัดปลายเท้าทั้งสองข้างไปข้างหน้า กำไลข้อเท้าทองคำสวยงามทั้งสองข้างกระเด็นไปทางเหนือภพ และเขาก็รับไว้ได้เช่นเคย ตอนนี้สิบทิศและชัยชาญที่กลับมารวมตัวกัน พวกเขาไม่คิดจะห้ามเธออีกแล้ว เพราะเมื่อกี้พวกเขาได้เห็นลำขาเรียวงามของเธอแวบหนึ่ง
เนตรกัญญาทิ้งคันธนูในมือ แล้วหยิบพัดเหล็กสีเขียวเข้มขึ้นมา ปลายซี่พัดแต่ละซี่มีโลหะปลายแหลมที่คงจะเคลือบแร่มีสีไว้ด้วย มันเป็นอาวุธที่ดูทรงพลังและสวยงามเหมาะกับหญิงสาวยิ่งนัก เธอเริ่มต้นร่ายรำอย่างช้า ๆ แล้วก็เร่งความเร็วขึ้นเรื่อย ๆ จากนั้นก็รำหมุนวนรอบตัวเหนือภพ ท่าทางการโจมตีของเธอดูสวยงามราวกับการแสดงระบำ
เหนือภพยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ขณะกอดสร้อยทั้งห้าเส้นและเครื่องประดับทองไว้อย่างหวงแหน เขารู้สึกได้ว่าปลายแหลมของพัดกำลังแทงและสะบัดไปตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเขาโดยที่ไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดอะไร มันสร้างเพียงรอยขีดข่วนที่ทำให้รู้สึกคันยิบ ๆ เท่านั้น เขาอดทนได้ประมาณหนึ่งนาทีแล้วทุกอย่างก็จบลง
“หึ จะมอบสร้อยให้ข้าดี ๆ มั๊ย”
“เฮ้อ นี่ข้าไปเดินผ่านดงหนามที่ไหนมาเนี่ย”
เหนือภพลูบเนื้อตัวที่มีแต่รอยขูดขีดตื้น ๆ พลางแสร้งอารมณ์เสีย
“คันชะมัดเลย”
เนตรกัญญาเห็นเช่นนั้นก็กระทืบเท้าอย่างขัดใจ เธอไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเหนือภพไม่บาดเจ็บอะไรเลย ทั้ง ๆ ที่วิชาพวกนี้เธอเองก็เคยฝึกฝนกับพวกแม่ทัพระดับสูงเป็นประจำ มันเคยได้ผลมาตลอด พวกแม่ทัพสู้เธอไม่ได้แม้แต่น้อย เธอไม่เคยคิดในมุมกลับเลยว่าที่ผ่านมาพวกแม่ทัพต่างเอาใจเธอ พวกเขายอมทำทุกอย่างให้เธอพอใจและมีความสุข
เนตรกัญญาต้องการจัดการเหนือภพอีกรอบ เธอจึงถอดปิ่นปักผมราคาแพงบนศีรษะออกแล้วโยนให้เหนือภพเช่นเคย มวยผมสีดำเข้มตกลงมาราวกับม่านน้ำตกพร้อมกับกลิ่นหอมบางอย่างที่หญิงคณิกามักจะใช้กัน สิบทิศและชัยชาญที่อยู่ไม่ไกลถึงกับพากันสูดลมหายใจลึก แววตาหยาดเยิ้มกับความโชคดีที่ได้เห็นเธอปล่อยผมยาวสยาย
เนตรกัญญาเก็บพัดเหล็กแล้วก็คว้าหอกในมือของสิบทิศมาถือไว้แน่น เธอจะใช้หอกพุ่งเข้าไปแทงท้องน้อยของเหนือภพด้วยกำลังทั้งหมดของเธอ เธอรู้ว่าหอกของสิบทิศเป็นหอกเหล็กไหลที่ผ่านการชุบหลอมแร่สี่สีมาแล้ว ผิวหนังของเหนือภพคงไม่อาจต้านได้อีก
“ย๊ากก”
แต่ยังไม่ทันที่เธอจะวิ่งมาถึงตัวเหนือภพก็มีกลุ่มควันสีเขียวที่เนตรกัญญาคุ้นเคยฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณราวกับคลื่นน้ำทะเลที่ทะลักเข้ามา จากนั้นทุกคนในทีมแม่ทัพหลวงและทีมชื่อยาวเหยียดของเหนือภพก็มีอาการเหม่อลอย
สางลำไพรยิ้มเหยียด เมื่อเธอลอบโจมตีได้สำเร็จ
“หึ สาวดาวเด่นงั้นรึ ไม่เห็นว่าจะโดดเด่นที่ตรงไหน”
เธอเคยใช้มนต์สะกดทีมของเนตรกัญญามาแล้ว และตอนนี้มันก็ยังใช้ได้ผล แม้ผลลัพธ์จะคงอยู่เพียงช่วงสั้น ๆ แต่มันก็มากพอสำหรับเธอ เธอพุ่งเข้าไปกระชากสร้อยทั้งห้าเส้นแล้วก็ให้กุมารทองช่วยในการหนี เธอกับยศพลจึงหายลับไปจากบริเวณนั้นอย่างไม่เห็นฝุ่น
พญานาคกะพริบตาปริบ ๆ เพียงสามที มันก็คลายจากมนต์สะกด เมื่อมันมองสำรวจรอบข้างก็เห็นพวกมนุษย์พากันตาลอยไปตาม ๆ กัน มันจึงสะบัดหางฟาดเหนือภพและไร้ชื่ออย่างแรง
“โอ๊ย”
“โอ๊ะ”
“นี่เจ้าฟาดข้าทำไม”
เมื่อเหนือภพได้สติคืนมาเขาเห็นว่าพญานาคทำร้ายเขา
“ถ้าข้าไม่ฟาด เจ้าจะมีสติมาขึ้นเสียงกับข้างั้นรึ นู่น สาวหมอผีนั่นเอาสร้อยของเจ้าไปหมดแล้ว เจ้านี่มันแย่จริง ๆ มนต์ตราแค่นี้ก็ทำให้เจ้าเคลิ้มแล้วรึ”
เหนือภพหันซ้ายหันขวาสำรวจรอบกายก็เห็นว่าเป็นจริง สร้อยภารกิจทั้งห้าเส้นรวมถึงเครื่องทองที่เขาเพิ่งได้มาล้วนหายไปหมด
“บัดซบ แล้วทำไมเจ้าไม่ช่วยป้องกันไว้”
“ก็.. ข้าก็เพิ่งได้สติเหมือนกัน”
พญานาคตอบเสียงอ่อยเล็กน้อย ก็มันมัวแต่ดูสาวงามแสนน่ารักกำลังหาวิธีต่อสู้กับเหนือภพอยู่นี่นา มันจึงไม่ทันได้ระวังข้างหลัง ใครก็พลาดกันได้ทั้งนั้นแหละ มันไม่ใช่เทพเจ้าที่จะรอบรู้ไปเสียทุกสิ่ง
“แล้วเฮงเฮงล่ะ”
เหนือภพมองหาเฮงเฮง แต่ก็ไม่เห็นเฮงเฮงเสียแล้ว เฮงเฮงรอดจากการถูกมนต์สะกดไปได้หรือ แปลกจริง ๆ เหนือภพขมวดคิ้วโดยไม่ได้สังเกตเลยว่าไม่ใช่แค่เพียงเฮงเฮงที่หายไป กลุ่มควันดำของวิญญาณร้ายวนเวียนก็หายไปด้วย
“เอาเถอะ ค่อยไปตามหาทีหลัง ตอนนี้พวกเราไปตามหายัยบ้านั่นกัน กล้ามากนักที่เอาเครื่องทองของข้าไป”
เหนือภพขบฟันอย่างเดือดดาล ถ้าแค่สร้อยในการแข่งขันหากถูกชิงไปเขาจะไม่คิดอะไรมากเลย แต่เครื่องทองที่ได้รับจากเนตรกัญญาล้วนมีมูลค่าที่ดีต่อใจเขาทั้งนั้น เธอยังกล้าชิงมันไปจากเขา
จากนั้นเหนือภพ ไร้ชื่อ และพญานาคก็ออกตามหาทีมนิรันดร์กาลในทันที โดยไม่สนใจทีมแม่ทัพหลวงแม้แต่น้อย ให้พวกเขาคืนสติทีหลังก็ยิ่งดี พวกเขาจะได้ไม่มาสร้างเรื่องขัดขวางเขาอีก