ตอนที่ 65 มาทางนี้ บนนี้ปลอดภัย
เหนือภพวิ่งทะลุไปถึงชายป่าอีกฝั่งของครอบแก้วโดยไม่มีจุดหมาย เขาเพียงต้องการหลบหนีกองทัพทหารอมตะที่ถูกสางลำไพรปลุกขึ้นมาเพียงเท่านั้น แม้ภายในหัวของเขาจะขบคิดวิธีหาวิธีเอาตัวรอดมากมายหลายอย่าง แต่ไม่มีวิธีใดดีไปกว่าการทำลายซากศพพวกนี้ให้หมดสิ้น
เหนือภพรีบส่งมีดหมอให้กับไร้ชื่อ
“ใช้มีดนี่ฆ่าพวกมันให้หมด”
ไร้ชื่อพยักหน้ารับทราบอย่างว่าง่าย จากนั้นเขาก็พุ่งทะยานตามเหนือภพฝ่าเข้าไปกลางกองทัพซากศพแล้วโจมตีแบบแลกชีวิต เขาตวัดมีดหมอสะบั้นหัวของเหล่าซากศพตัวแล้วตัวเหล่าอย่างดุเดือดบ้าคลั่ง ทันใดนั้นเองก็มีเสียงแหลมสูงของเด็กชายดังก้องสะท้อนมาทำให้เหนือภพถึงกับขนหัวลุก
“มาเล่นกันเถอะ มาเล่นกันเถอะ”
ยังไม่ทันสิ้นเสียงประหลาดมีดหมอในมือของเหนือภพและในมือของไร้ชื่อก็ถูกอะไรบางอย่างกระแทกจนมีดหลุดกระเด็นออกไป สิ่งที่พวกเขาเห็นมีเพียงเส้นแสงสีทองวนไปวนมาแล้วก็วกกลับเข้าพุ่งชนกับพวกเขา
แม้เหนือภพจะต้านเอาไว้ได้แต่ก็ไม่ใช่ทุกครั้ง ส่วนไร้ชื่อนั้นแม้จะมีสัญชาตญาณดีเพียงใดก็ตาม เขาก็ไม่อาจใช้อาวุธธรรมดาตัดร่างของวิญญาณเด็กที่เป็นเพียงอากาศธาตุไร้ตัวตนได้ สุดท้ายไร้ชื่อก็ถูกเจ้าเด็กน้อยกายทองทั้งเตะและต่อย ทั้งยังเหวี่ยงเขาออกไปไกลโดยที่ไม่อาจต่อต้าน
เหนือภพมองไร้ชื่อที่ถูกเหวี่ยงโยนราวกับลูกบอลด้วยความรู้สึกหวาดเสียว ก่อนจะรีบพูดกับพญานาคอย่างร้อนรน
“เจ้าทำอะไรสักอย่างสิ”
พญานาคพ่นลมหายใจแรงร้อนออกมา เดิมทีมันก็รู้สึกรำคาญพวกมดปลวกนี่อยู่แล้ว ยิ่งมันเพิ่งถูกแย่งอาหารไปจากปากก็ยิ่งหงุดหงิด
พญานาคหดตัวสะบัดสร้อยทั้งห้าเส้นที่สวมอยู่บนคอไปทางเหนือภพ ก่อนจะคืนร่างใหญ่โตของมัน ขนาดลำตัวกว้างกว่าห้าเมตรปรากฏขึ้นพร้อมกับปากอ้ากว้างเห็นเขี้ยวแหลมคม มันพ่นเพลิงพิษสีม่วงดำออกไปรอบ ๆ เพื่อเผาไหม้ซากศพ เมื่อต้องเผชิญกับพิษร้ายรุนแรงเช่นนี้ซากศพเหล่านั้นก็ย่อยสลายหายไปจนหมด ไม่เหลือแม้แต่เศษซากโครงกระดูก เมื่อไม่มีร่างกายรองรับวิญญาณ อาคมปลุกชีพของสางลำไพรก็ไร้ผล
เหนือภพพุ่งเข้าไปปะทะกับกุมารทอง แต่ความเร็วของผีเด็กนี้ไวมากจนน่าตื่นตะลึง มีดหมอเล่มแล้วเล่มเล่าของเหนือภพถูกเจ้าเด็กผีเตะออกไปจนไม่เหลือสักเล่ม แถมกำปั้นลูกเตะที่เขาใช้ยังทะลุผ่านเจ้าเด็กผีไปทั้งหมด แต่เจ้าเด็กผีกลับโจมตีโดนตัวเขาทุกครั้ง เขารู้สึกว่าการต่อสู้นี้ไม่ยุติธรรมเอาซะเลย
เหนือภพถอยหลังหนีพร้อมลากไร้ชื่อมาด้วย ก่อนจะโดดเกาะหลังของพญานาคตัวยักษ์ที่เลื้อยจากไปด้วยความเร็ว
“ทางนี้ มาทางนี้ บนนี้ปลอดภัย”
เสียงร้องตะโกนโหวกเหวกของเฮงเฮงดังขึ้นเมื่อเห็นเพื่อนในทีมกำลังผ่านมา เหนือภพหันมองไปรอบ ๆ ตามเสียงที่ว่า จนกระทั่งแหงนมองขึ้นไปบนยอดต้นทับทิมโบราณต้นหนึ่ง ต้นทับทิมเป็นหนึ่งในต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่ร่ำลือกันว่ามีอิทธิฤทธิ์ป้องกันภูตผีและขับไล่เสนียดจัญไร ด้วยลำต้นขนาดสามคนโอบ กิ่งก้านสาขาใหญ่แผ่กว้าง หากไม่สังเกตให้ดีคงไม่มีใครเห็นว่าเฮงเฮงอยู่บนนั้น
เห็นจะจริงดังความเชื่อโบราณ เพราะเหนือภพเห็นกลุ่มควันดำก้อนยักษ์ของวิญญาณวนเวียน พวกมันล่องลอยวนไปวนมาอยู่รอบนอกต้นทับทิม ไม่จากไปไหน แต่ก็ไม่กล้าเข้าใกล้ใต้เงาไม้เลย
“ขึ้นมาเลย บนนี้ปลอดภัย”
เฮงเฮงพูดไปด้วยกัดกินลูกทับทิมไปด้วยอย่างเอร็ดอร่อย เขากวักมือเรียกเหนือภพและไร้ชื่ออย่างกระตือรือร้น
แต่เหนือภพส่ายหน้าน้อย ๆ
‘หนีผียังไม่น่ากลัวเท่ากับอยู่ใกล้เจ้าหรอก’
ทางเลือกที่ดีที่สุดของเขาคือติดตามพญานาคเข้าไปหลบใต้ร่มเงาต้นทับทิมอีกต้นที่อยู่ไม่ไกลจากกัน แม้มันจะเป็นต้นเล็กที่แผ่กิ่งก้านได้น้อยกว่า รัศมีการป้องกันน้อยกว่า แต่มันก็ปลอดภัยกว่าแน่นอน
เมื่อกุมารทองตามกลุ่มของเหนือภพเข้ามาใกล้ร่มเงาของต้นทับทิมก็เหมือนมีพลังงานบางอย่างผลักดันเอาไว้ ทำให้เด็กผีเกิดความร้อนจนผิวกายลุกไหม้ ควันร้อนพวยพุ่ง บีบบังคับให้มันถอยหลังกลับไป
แต่กุมารทองไม่หยุดอยู่แค่นั้น มันเริ่มทำกันขุดแงะพื้นดินแล้วปั้นเป็นก้อนปาเข้าไปยังโคนต้นทับทิมเพื่อบีบบังคับให้เหนือภพหนีออกมา เนื่องจากมันมีจุดเด่นที่ความเร็ว มันจึงเขวี้ยงกระสุนดินเข้ามารัว ๆ ราวกับเม็ดฝนยักษ์ที่เทลงมาจากฟ้า อีกทั้งยังเคลื่อนตัวรอบต้นไม้ไปเรื่อย ๆ จนไม่สามารถมองเห็นรูปร่างหน้าตาที่แท้จริงได้ ทิ้งไว้เพียงเส้นแสงสีทองที่พุ่งไปมากับก้อนดิน ก้อนหินที่พุ่งเข้ามาที่โคนต้นทับทิมทุกทิศทาง
พญานาคขยับตัวโอบล้อมเหนือภพและไร้ชื่อเอาไว้ที่ลำต้นทับทิม โดยใช้ลำตัวยาวที่ปกคลุมด้วยเกล็ดสีดำเป็นเกราะป้องกันรอบทิศ ก้อนดินก้อนหินพวกนั้นจึงไม่อาจสร้างความเสียหายได้ นอกจากสร้างความรำคาญใจให้แก่พญานาคเพียงเท่านั้น
“พี่ชายมาเล่นกันเถอะ มาเล่นกันเถอะ”
เหนือภพได้ยินเช่นนั้นก็มองไปทางเฮงเฮงที่ยังคงซ่อนตัวอยู่บนยอดไม้สูงถัดไป
“เฮงเฮง ๆ นายชอบเด็กไหม”
เฮงเฮงได้ยินดังนั้นก็ตะโกนกลับมาโดยไม่ได้รู้เรื่องรู้ราว เพราะประสาทสัมผัสทั้งหมดของเขากำลังจับจ้องและระแวดระวังกลุ่มควันดำอยู่
“เด็กรึ ชอบสิ เด็ก ๆ น่ารักจะตาย ข้าเองก็อยากมีน้องสักคนเหมือนกันจะได้ไม่เหงา”
“โอ้”
เหนือภพตาเป็นประกาย ขณะมองตามเส้นแสงสีทองที่ยังคงเคลื่อนที่ตลอดเวลา แล้วเขาก็พยายามพูดคุยกับเจ้าเด็กผี
“นี่เจ้าหนู พี่ชายคนโน้นเขาชอบ ไปเล่นกับเขาสิ”
เหนือภพไม่พูดเปล่า เขายังชี้ไปบนยอดของต้นทับทิมยักษ์ที่อยู่ห่างกันไม่ถึงยี่สิบเมตร
‘โทษทีนะสหาย หากพวกข้าติดแหง็กอยู่เช่นนี้ก็นับว่าไร้ประโยชน์ ให้พวกข้าหลุดออกไป ค่อยช่วยเจ้าทีหลังก็ยังไม่สาย’
กุมารทองมองตามมือที่ชี้ไปอย่างงง ๆ จากนั้นก็ไม่รู้ว่าอะไรดลใจมันขึ้นมา มันจึงเปลี่ยนเป้าหมายไปทางเฮงเฮงทันที ในเสี้ยววินาทีเดียวกันนั้นเอง บรึ้ม !
เสียงพื้นดินแตกแยกออก คลื่นพลังทำลายล้างที่เหนือภพคุ้นเคยถูกซัดผ่านมา เพียงแต่ว่าพลังทำลายล้างนี้อ่อนกว่าของเขามาก นี่คือ วิชากระแทกอากาศ ไม่รู้ว่ามันมาจากที่ใดและจากใคร แต่ที่แน่ชัดคือเมื่อเสียงดังราวกับระเบิดดังขึ้น หลังจากนั้นไม่กี่วินาที ต้นทับทิมยักษ์ที่เฮงเฮงซ่อนตัวอยู่ก็เกิดหักโค่นล้มลง ต้นทับทิมไม่ใช่เป้าหมายของผู้ทำการโจมตี แต่มันเป็นเพียงจุดสิ้นสุดของพลังทำลายล้างที่บังเอิญเป็นลูกหลงจากการต่อสู้ของคนอื่นเท่านั้น
“อ๊ากก อีกแล้ว”
เสียงกรีดร้องด้วยความตกใจปนหวาดเสียวของเฮงเฮงทำให้เหนือภพต้องอุดหู เขารู้ในทันทีว่าจะต้องเกิดอะไรขึ้นต่อไป
ตึง !!
ต้นทับทิมโบราณล้มครืนลงมาพร้อมกับร่างของเฮงเฮงที่กระโดดกลิ้งมานอนแอ้งแม้งอยู่ห่างจากร่มเงาต้นทับทิมที่เหนือภพหลบอยู่เพียงไม่ถึงนิ้วเท่านั้น หากเขากระเด็นไกลขึ้นอีกนิดเดียว เขาก็จะรอดพ้นจากเด็กผีที่เอาแต่ร่ำร้องชวนมาเล่นกันซ้ำไปซ้ำมาจนน่ารำคาญ
เฮงเฮงเคลื่อนไหวร่างกายไม่ได้แม้แต่น้อยเมื่อกุมารทองเหยียบอกเขาไว้ แม้กุมารทองจะดูเหมือนเด็กตัวเล็กที่น้ำหนักไม่น่าเกินยี่สิบกิโลกรัม แต่ความรู้สึกที่เฮงเฮงได้รับนั้นไม่ต่างจากถูกภูเขาทั้งลูกกดทับไว้ไม่มีผิด แค่หายใจก็ยังลำบาก อย่าพูดถึงการหลบหนีเลย
“หึ”
สางลำไพรเดินมาด้วยท่วงท่าสง่าราวกับผู้ชนะ เธอยิ้มมุมปากราวกับสาวร้ายกาจ ด้านหลังของเธอมีทศพลที่แขนขาดไปข้างหนึ่งเดินตามมา ใบหน้าของเขาในตอนนี้ช่างดูดุดันราวกับยักษ์ ส่วนเตชินท์ไม่รู้ว่าหายไปไหน เขาน่าจะยังติดพันการต่อสู้อยู่ไม่ไกลจากนี้ เพราะยังมีเสียงแว่วการต่อสู้ที่ดังอยู่อย่างต่อเนื่อง
เตชินท์กำลังปะทะกับชัยชาญ คนหนุ่มไฟแรงจากตระกูลแม่ทัพหลวงแห่งอมตะนคร หากดูแบบผิวเผินจะเห็นได้ชัดเจนว่าเขากำลังถูกชัยชาญโจมตีอยู่ฝ่ายเดียว
ทวนยาวจากมือแม่ทัพฟาดฟันเตชินท์อย่างต่อเนื่องซ้าย ขวา ซ้าย ขวา ตวัดขึ้น ตวัดลงก่อนจะทำการปิดฉากการโจมตีครั้งสุดท้ายด้วยการง้างทวนเต็มกำลัง แล้วฟาดจากบนลงล่างอย่างรุนแรง แต่เตชินท์ก็ต้านรับได้
อั่ก !
เตชินท์ถึงกับกระอักเลือดออกมา ท่าทางดูบาดเจ็บสาหัส แต่ชัยชาญก็ดูออกว่าเตชินท์เสแสร้งแกล้งทำ
“ข้าไม่เข้าใจ ทั้ง ๆ ที่ท่านก็เป็นคนมากฝีมือขนาดนี้ ทำไมถึงยังเก็บซ่อนมันไว้อยู่อีก”
ชัยชาญเอ่ยถามตรง ๆ อย่างห้าวหาญสมเป็นทายาทตระกูลแม่ทัพ ทว่าเตชินท์ยิ้มและตอบอย่างอ่อนแรง
“ข้าก็มีความสามารถเท่านี้แหละ”
“เฮอะ”
ชัยชาญรู้สึกไม่ชอบใจเตชินท์ หากเขาถ่อมตัวก็ว่าไปอย่าง แต่เขากลับแสดงท่าทางมีลับลมคมในตามแบบฉบับของพวกราชวงศ์ ราวกับดูถูกมันสมองของคนอื่นอยู่ตลอดเวลา
“ก็ดี ถ้าท่านตายด้วยทวนจันทร์เสี้ยวของข้า ก็อย่าโทษว่าข้าไร้ปรานีละกัน”
ชัยชาญรีดเร้นปราณอาคมของตัวเอง เขาเปิดใช้วิชาประจำตระกูลเต็มกำลังโดยไม่สนใจว่าบุรุษเบื้องหน้าเขาจะเป็นองค์ชายของเมืองอนันต์ หรือจะเป็นว่าที่คู่หมั้นขององค์หญิงบุษย์น้ำทองหรือไม่ เพราะสำหรับตระกูลแม่ทัพที่ไม่ยุ่งเรื่องการเมือง พวกเขาเชื่อฟังและสวามิภักดิ์แต่องค์เจ้าแคว้นผู้ปกครองอมตะนครแต่เพียงผู้เดียว
‘ปราณขุนศึกไร้พ่าย ขั้นที่ 3 ขุนศึกไร้เทียมทาน’
ทันทีที่ชัยชาญเปิดใช้ทักษะอาคมลับของตน ร่างกายก็บังเกิดออร่าสีทองแดงดุจเปลวเพลิงลุกท่วมตัว ดวงตาแดงก่ำราวกับมีเตาไฟลุกโชนอยู่ในดวงตา ยามเขาเหวี่ยงฟาดคมทวนไปข้างหน้าบังเกิดเสียงดังดุจฟ้าผ่า เกิดเป็นคลื่นอากาศแหลมคมที่ตัดผ่านต้นไม้ขาดเป็นสองท่อนได้อย่างง่ายดาย
เตชินท์ไม่ทันระวังกับการโจมตีแบบนี้ แขนซ้ายของเขาถูกคลื่นอากาศเชือดเฉือน เลือดสีแดงหลั่งรินอาบแขน มือขวารีบกุมปิดบาดแผลขณะเคลื่อนตัวหลบการโจมตีของชัยชาญที่ฟาดฟันคมทวนอย่างต่อเนื่อง จนเกิดเสียงโครมครามดังสนั่นหวั่นไหว
ทันใดนั้นเองกลุ่มชายหนึ่งหญิงสองก็พากันพุ่งตรงเข้ามาใกล้ หนึ่งในนั้นคือบุษย์น้ำทอง องค์หญิงเล็กแห่งแคว้นอมตะนคร เธอเปิดใช้ ปราณวิหคทองโนรี มือเรียวงามทั้งสองข้างถูกห่อหุ้มด้วยแสงสีทองเป็นรูปกรงเล็บนก นัยน์ตาของเธอแปรเปลี่ยนเป็นสีทองคำแวววาว ขณะพุ่งเข้าโจมตีชัยชาญ แม้เธอจะไม่ได้พิศวาสในตัวเตชินท์นัก บางครั้งยังแสนชังน้ำหน้า เบื่อหน่ายกับการไม่ได้ความของเขา แต่การแต่งงานระหว่างเธอกับเขาก็ถูกกำหนดเอาไว้แล้วเพื่อเหตุผลทางการเมือง ดังนั้นแม้จะไม่เต็มใจช่วย แต่ก็ต้องช่วย
“กล้าทำร้ายเขารึ”
บุษย์น้ำทองใช้กรงเล็บนกโนรีของตนพุ่งปะทะชัยชาญที่เปิดใช้การต่อสู้เต็มกำลัง กลิ่นอายสังหารและบารมีของแม่ทัพหนุ่มที่ผ่านศึกน้อยใหญ่มาแล้ว ทำให้บุษย์น้ำทองสั่นกลัวเล็กน้อย เธอรู้จักชัยชาญและภารกิจที่เขาเคยทำมาเป็นอย่างดี ถึงเขาจะนับว่าเก่งกาจในหมู่คนรุ่นเดียวกัน แต่เธอก็มั่นใจว่าเขาจะยั้งมือไว้ไมตรีให้เธอ เขาไม่กล้าทำอันตรายหลานคนเล็กที่องค์เจ้าแคว้นรักที่สุดเป็นแน่
“องค์หญิง ถอยไป ทางที่ดีท่านอย่าได้สู้กับข้า หากท่านได้รับบาดเจ็บเกรงว่าชีวิตข้าจะชดใช้ให้ท่านไม่ไหว”
ชัยชาญพูดขณะลังเลใจว่าจะก้าวถอยหลังหรือจะบุกไปข้างหน้า สู้ไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร จะชนะก็ไม่ได้ จะแพ้ก็ไม่ได้อีกนี่เป็นสถานการณ์ที่เขากระอักกระอ่วนใจเป็นอย่างมาก เขาจึงค่อย ๆ ถอยหลังไปรวมกับสิบทิศ ลูกพี่ลูกน้องของเขา
เตชินท์จ้องมองบุษย์น้ำทองด้วยความดีใจระคนปลาบปลื้ม เธอช่างเป็นองค์หญิงที่ดูน่ารัก งดงามและกล้าหาญในเวลาเดียวกัน เขารู้สึกโชคดียิ่งนักที่จะได้แต่งงานกับเธอผู้เป็นที่รัก